นิทานสอนใจ นิทานสอนใจอิสลาม นิทานสอนใจ+อิสลาม


16,237 ผู้ชม


นิทานสอนใจ นิทานสอนใจอิสลาม นิทานสอนใจ+อิสลาม

                
                  กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ราชสีห์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำบนภูเขา ด้านล่างของเชิงเขาเป็นสระน้ำสระใหญ่ มีหญ้าเขียวสดอ่อนไสวขึ้นตามเชิงเลนขอบสระ สัตว์เล็ก ๆ เช่น กระต่าย แมวป่า ฯลฯ ต่างมาเที่ยวเล่น เล็มหญ้าอยู่ตามเชิงเลนขอบสระกันมากมาย
                                
                  วัน หนึ่ง ขณะที่ราชสีห์ยืนมองลงไปที่เชิงเขา ก็พบเนื้อตัวหนึ่งมาเล็มหญ้าอยู่ ราชสีห์ต้องการจับเนื้อนั้นมาเป็นอาหาร จึงกระโดดจากภูเขาสุดกำลัง หวังจับเนื้อให้ได้ แต่ปรากฏว่าราชสีห์ตกลงไปติดในเชิงเลนขึ้นไม่ได้ เท้าทั้ง 4 ฝังลงไปดังเสา ต้องยืนอดอาหารอยู่ถึง 7 วัน
                                
                  ระหว่าง นั้น สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งหากินเพลินอยู่ก็มาพบเข้าก็ตกใจกลัว ทำท่าจะหนี ราชสีห์จึงขอร้องให้ช่วย "อย่าหนีเลย เราติดหล่มขึ้นไม่ได้มา 7 วันแล้ว ช่วยชีวิตเราทีเถิด"
                                
                  สุนัขจิ้งจอกเข้าไปใกล้สีหะ พลางกล่าวว่า "เรากลัวว่าเมื่อช่วยท่านได้แล้ว ท่านจะจับเรากินเป็นอาหารเสีย"
                                
                  ราชสีห์ ยืนยันว่าอย่ากลัวเลย พร้อมรับรองว่าจะไม่กินสุนัขจิ้งจอก หากแต่จะสนองคุณที่ช่วย สุนัขจิ้งจอกรับคำมั่นสัญญาแล้ว ก็ช่วยคุ้ยเลนรอบ ๆ เท้าของราชสีห์ออก ขุดลำรางให้น้ำไหลเข้ามา ทำให้เลนเหลว จากนั้นก็มุดเข้าไปใต้ท้องราชสีห์ เอาศีรษะดันท้อง พร้อมร้องดัง ๆ ว่า "นาย พยายามเข้าเถิด"
                               
                  สีหะ ออกแรงตะกายขึ้นมาจากเลนได้ ก็วิ่งไปยืนบนบกพักเหนื่อยครู่หนึ่ง แล้วลงสระ ล้างโคลนอาบน้ำระงับความกระวนกระวาย จากนั้นจึงจับกระบือตัวหนึ่ง ฆ่าให้ตาย แล้วฉีกเนื้อมาวางไว้ข้างหน้าสุนัขจิ้งจอก ขอให้สุนัขจิ้งจอกกินก่อน ส่วนตนจะกินทีหลัง
                                
                  สุนัข จิ้งจอกคาบเอาเนื้อชิ้นหนึ่งวางไว้ เมื่อสีหะถามว่าเนื้อชิ้นนี้เพื่อใคร สุนัขจิ้งจอกก็บอกว่า เพื่อนางสุนัขจิ้งจอก ราชสีห์จึงตอบว่า จงเอาไปเถิด เราเองก็จะเก็บส่วนหนึ่งไว้เพื่อนางสิงห์เหมือนกัน
                                
                  สัตว์ ทั้งสองกินเนื้อจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็คาบเนื้อไปฝากนางสุนัขจิ้งจอกและนางสิงห์ โดยราชสีห์ได้ชวนครอบครัวของสุนัขจิ้งจอกไปอยู่กับตนบนถ้ำที่ภูเขา รับว่าจะเลี้ยงดูให้มีความสุข
                                
                  สัตว์ 2 ตระกูลนี้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข สุนัขจิ้งจอกกับราชสีห์ นางสิงห์กับนางสุนัขจิ้งจอก และลูก ๆ ของสัตว์ทั้งสองก็สนิทสนมกลมเกลียวกันอย่างดี
                                
                  จำเนียร กาลล่วงมา นางสิงห์คิดว่าไฉนหนอ ราชสีห์สามีเราจึงรักนางสุนัขจิ้งจอกและลูก ๆ ของมันนัก อาจจะเคยลอบได้เสียกันหรือไม่ จึงได้เสน่หามากมาย อย่ากระนั้นเลย เราจะหาอุบายให้นางสุนัขจิ้งจอกไปเสียจากที่นี่ คิดได้ดังนั้นแล้ว ระหว่างที่สีหะสามีตนและสุนัขจิ้งจอกไปหากิน ก็กลั่นแกล้งข่มขู่นางสุนัขจิ้งจอกนานัปการ อาทิว่า ทำไมอยู่ที่นี่นานนัก ไม่ไปที่อื่นบ้าง ส่วนลูกสิงห์ก็ข่มขู่ลูกสุนัขจิ้งจอกเช่นกัน
                                
                  เมื่อ สุนัขจิ้งจอกกลับมา นางสุนัขจิ้งจอกก็เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้สามีฟัง และตั้งข้อสงสัยว่า ไม่ทราบว่าที่นางสิงห์ทำไปนั้น ทำไปโดยพลการ หรือทำตามคำสั่งของราชสีห์
                                
                  สุนัข จิ้งจอกได้ฟังดังนั้น จึงเข้าไปหาสีหะและพูดว่า "นาย ข้าพเจ้าอยู่ในสำนักของท่านก็นานแล้ว ผู้อยู่ร่วมกันนานเกินไป ทำให้ความรักจืดจางลงได้ ผู้ใดไม่พอใจให้คนอื่นอยู่ในสำนักของตนก็ควรจะขับไล่ไปเสียเถิด จะเหน็บแนมเอาประโยชน์อะไรกัน" พร้อมเล่าพฤติการณ์ของนางสิงห์ให้ราชสีห์ฟังทุกประการ พร้อมกับถามว่า
                                
                  "พญา เนื้อ ผู้มีกำลังอยากให้ใครไป ก็ย่อมไล่ไปได้ นี้เป็นธรรมดาของผู้มีกำลังทั้งหลาย ดูกร ท่านผู้มีเขี้ยวโง้งโปรดทราบเถิดว่า บัดนี้ ภัยเกิดจากที่พึ่งเสียแล้ว"
                                
                  ราชสีห์ ฟังคำสุนัขจิ้งจอกแล้วก็ถามนางสิงห์ว่า เป็นความจริงหรือ ที่ขู่เข็ญนางสุนัขจิ้งจอก นางสิงห์รับว่าเป็นความจริง ราชสีห์จึงว่า นางไม่รู้หรือ เมื่อเราไปหากินครั้งโน้นนานมาแล้ว เราไม่กลับมาถึง 7 วัน เพราะเหตุไร นางสิงห์ตอบว่าไม่ทราบ
                                
                  สีหราช จึงเล่า เรื่องทั้งปวงที่ตนติดหล่มให้นางสิงห์ฟังและว่า สุนัขจิ้งจอกนี้เป็นสหายผู้ช่วยชีวิตเรา มิตรที่สามารถดำรงมิตรธรรมไว้ได้ ชื่อว่าอ่อนกำลังย่อมไม่มี ตั้งแต่นี้ไปอย่าได้ดูหมิ่นสหายของเราและครอบครัวของเขาเลย พร้อมย้ำว่า
                                
                  "แม้ ว่ามิตรเขามีกำลังน้อย แต่เขาดำรงอยู่ในมิตรธรรม เขานับว่าเป็นทั้งญาติ ทั้งพี่น้อง ทั้งมิตรสหาย เธออย่าได้ดูหมิ่นสุนัขจิ้งจอกที่ช่วยชีวิตเราไว้"
                                
                  นาง สิงห์รู้ว่าตนเข้้าใจผิด จึงขอขมาโทษ ตั้งแต่นั้นมา สัตว์ทั้งสองสกุลก็กลมเกลียวรักใคร่กันดังเดิม เมื่อพ่อแม่สิ้นชีวิตลงแล้ว ลูกของสัตว์ทั้งสองก็มีไมตรีต่อกันมาถึง 7 ชั่วอายุ
                         
                         
                  นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
                         
                         - คนดี หรือแม้สัตว์ที่ดี ย่อมรู้อุปการะที่ผู้อื่นทำแล้วแก่ตน และพยายามหาทางทำตอบแทนเท่าที่กำลังความสามารถของตนมีอยู่
                         - เพื่อนรักกัน อาจแตกกันได้ เพราะภรรยาของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะฉะนั้น อย่าหูเบาฟังแต่เสียงภรรยาตนข้างเดียว
                         
                         
                  ขอบคุณนิทานดี ๆ จากหนังสือ "เพื่อเยาวชน" สำนักพิมพ์คนรู้ใจ
                  
                  ที่มา
                  
                   https://www.obm16.com/index.php?topic=1213.0

นิทานสอนใจ นิทานสอนใจอิสลาม นิทานสอนใจ+อิสลาม

  นิทานสอนใจ : เรื่องถ้วยเก่ากับยายแก่               
              
                                                               

                  นิทานสอนใจ นิทานสอนใจอิสลาม นิทานสอนใจ+อิสลาม

               

                  ภาพจาก loupiote.com

               

                      ครั้ง หนึ่ง มีบ้านหลังหนึ่งมีสามี ภรรยา ลูกชาย และอาม่าแก่ๆคนหนึ่ง อาม่าแก่มากและไม่แข็งแรง  มีอาการมือสั่นตลอดเวลา ทำให้ถือของลำบาก  โดยเฉพาะเวลาทานข้าวร่วมกับครอบครัว อาม่าจะถือชามข้าวได้ลำบากและทำข้าวหกลงบนโต๊ะตลอดเวลา     ลูกสะใภ้อาม่าก็รู้สึกหงุดหงิดและรำคาญกับเรื่องนี้มาก จึงปรึกษากับสามีว่า     นางทนไม่ได้ที่เห็นอาม่าทานข้าวหกเลอะเทอะเกลื่อนโต๊ะ มันทำให้นาง กินข้าวไม่ลง สามีก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเขาไม่สามารถ   หาวิธีทำให้มืออาม่าหายสั่นได้

               

                      จาก นั้น ไม่กี่วัน    ลูกสะใภ้ก็พูดกับสามีเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกว่า    จะไม่แก้ไขอะไรเลยหรือ  นางทนไม่ได้แล้ว    หลังจากโต้เถียงกันไปสักพัก    สามีก็ยอมแก้ไขตามคำแนะนำของภรรยา  นั่นคือ    เมื่อถึงเวลาทานข้าว  เขาก็จัดโต๊ะให้แม่นั่งแยกต่างหาก   ตามลำพังคนเดียว  โดยใช้ถ้วยข้าวราคาถูก ๆ บิ่น ๆ    เพราะอาม่าชอบทำถ้วยแตกบ่อย ๆ

               

                       เมื่อถึงเวลาทานข้าว อาม่าเศร้าใจมาก   เพราะอาม่าก็ไม่มีปัญญาจะแก้ไขอะไรได้    นางนึกถึงอดีตที่นางเคยเลี้ยงดูลูกชายด้วยความรักเสมอมา   นางไม่เคยปริปากบ่น หรือย่อท้อต่อความเหนื่อยยาก    เวลาที่ลูกชายเจ็บไข้  นางก็ดูแลเขาเป็นอย่างดี   เวลาที่เขามีปัญหา  นางก็ช่วยแก้ไขทุกครั้ง   สภาพร่างกายของนางที่ทรุดโทรมเป็นที่รำคาญของลูกสะใภ้ในวันนี้    ก็คือผลจากการอดทน ตรากตรำทำงานหนักมาเป็นเวลายาวนานในวันก่อน ๆ    เพื่อให้ลูกชาย..หรือสามีของลูกสะใภ้ในวันนี้ได้เล่าเรียน..    มีความรู้..มีอาชีพการงานที่ทำให้ลูกเมียอยู่สุขสบาย   แต่ตอนนี้อาม่าเสียใจมาก..รู้สึกว่า..ตัวเองไร้ค่า..ถูกทอดทิ้ง 

               

                    หลายวันผ่านไป..    อาม่ายังคงเศร้าสร้อย รอยยิ้มเริ่มจางหายจากใบหน้า     หลานชายตัวน้อยของอาม่าซึ่งเฝ้าจับตาทุกอย่างมาโดยตลอด    ก็เข้าไปปลอบใจและบอกคุณย่าว่า เขารู้ว่า..    คุณย่าเสียใจมากแค่ไหน  ที่ถูกพ่อแม่ของเขาปฏิบัติต่อท่านเช่นนี้    และเขาก็บอกท่านว่า  เขามีวิธีที่จะให้อาม่าได้กลับ    ไปทานข้าวร่วมกับทุกคนได้เหมือนเดิม

               

                      ความหวังเริ่มเบ่งบานขึ้นในหัวใจของหญิงชรา    นางถามหลานชายว่าจะทำอย่างไร    เด็กน้อยได้แต่ตอบเพียงว่า "เย็นนี้ขอให้คุณย่าแกล้งทำชามข้าว    ของคุณย่าตกให้มันแตก..เหมือนกับไม่ได้ตั้งใจนะครับ"   อาม่าได้ฟังก็แสนจะแปลกใจ    แต่หลานชายตัวน้อยก็คงยืนกรานให้คุณย่าทำตามที่เขาบอก    และบอกว่าที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าทีของเขาเอง

               

                        และแล้ว..เมื่อได้เวลาอาหารเย็น    หญิงชราก็ตัดสินใจลองทำตามที่หลานพูด  เพื่อจะดูว่า    หลานชายมีแผนการอะไร  นางจึงยกถ้วยข้าวใบเก่าที่เต็มไปด้วยรอยบิ่นขึ้น    แล้วแกล้งปล่อยลงบนพื้น  เหมือนกับทำหลุดมือ     ถ้วยข้าวเก่าใบนั้นหล่นแตกกระจายไม่มีชิ้นดี!!!!! ลูกสะใภ้เห็นดังนั้น  ก็ลุกขึ้น  เตรียมจะด่าว่าอาม่าทันที    แต่แล้ว..ลูกชายตัวน้อยของเธอ  กลับรีบชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า

               

                     "ว้า..คุณย่าทำไมทำชามแตกซะเละหมดล่ะครับ   นี่ผมอุตส่าห์ตั้งใจไว้ว่า..จะเก็บชามใบนี้ไว้ให้คุณแม่ผมใช้ต่อ..  แล้วเนี่ยผมจะเอาชามเก่าที่ไหนมาให้คุณแม่ผมใช้  ตอนแกแก่เท่าคุณย่าล่ะครับ??"

               

                  ลูก สะใภ้เมื่อได้ยินลูกชายพูดเช่นนี้ก็ถึงกับอึ้งงงงง....หน้าซีด ด่าไม่ออกอีกต่อไป    นางรู้สึกได้ทันทีว่า... ทุกสิ่งที่นางทำลงไปในวันนี้ย่อมจะเป็นตัวอย่าง    ให้ลูกชายของนางปฏิบัติต่อนางในวันหน้าเมื่อนางแก่ตัวลงเช่นกัน    นางรู้สึกอับอายและสำนึกผิดต่อการกระทำของตัวเอง   ตั้งแต่นั้นมา  ทุกคนในบ้านก็นั่งทานข้าวร่วมกันตลอดมา

แหล่งข้อมูล https://muslimchiangmai.net

อัพเดทล่าสุด