นิทานสอนใจคน นิทานสอนใจในการทำงาน นิทานสอนใจ คนทํางาน


11,083 ผู้ชม


นิทานสอนใจคน นิทานสอนใจในการทำงาน นิทานสอนใจ คนทํางาน

เล่านิทานสอนงานทีม : คนก่ออิฐ

มีช่างก่ออิฐอยู่ในทำงานใกล้ๆ กัน 3 คน คนหนึ่งทำด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อน อิดโรยเฉื่อยชา อีกคนก็ดีขึ้นมาหน่อย มีความกระตือรือล้นมากขึ้น แต่ว่าทำไปก็มองนาฬิกาไป แต่ว่าคนที่ 3 ทำงานด้วยความกระฉับกระเฉง และก่ออิฐก้อนแล้วก้อนเล่า โดยที่ไม่ได้สนใจอย่างอื่น

ไปถาม 3 คน นี้ว่าทำอะไรอยู่ คนแรกก็ตอบว่า ผมกำลังก่ออิฐครับ คนที่สองบอกกำลังก่อกำแพง แต่คนที่ 3 บอก กำลังสร้างโบสถ์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

ทั้งสามคนทำงานอย่างเดียวกัน แต่ว่าความกระตือรือล้น ความกระฉับกระเฉง ความตื่นตัวต่างกัน

คนแรกทำอย่างขอไปที คนที่สองทำไปก็ดูเวลาไป แต่คนที่สามทำอย่างมีความสุข ทำงานอย่างเดียวกันแต่มีความรู้สึกแตกต่างกัน เพราะอะไร

พอเขารู้ เขามองด้วยความรู้สึกว่าแต่ละคนทำงานต่างกัน แต่ละคนให้ค่าของงานไม่เหมือนกัน คนที่คิดว่าตัวเองก่ออิฐ ก็รู้สึกว่าตัวเองทำไปไม่ค่อยมีคุณค่า ก็ทำไปด้วยความเฉื่อยเนือย

อีกคนเห็นงานของตัวเองมันกว้างขึ้นมาหน่อย เพราะว่ากำลังก่อกำแพง ก็รู้สึกมีความกระฉับกระเฉงมากขึ้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะดูเวลา เพราะเขารู้สึกว่าเขามาทำก็เพื่อมีเงินใช้ ก็รอว่าเมื่อไรเวลาจะหมดเสียที

https://www.9mot.com

...................................................................

นิทานสอนใจคน นิทานสอนใจในการทำงาน นิทานสอนใจ คนทํางาน

นิทานสอนใจคน นิทานสอนใจในการทำงาน นิทานสอนใจ คนทํางาน
ขอบคุณภาพประกอบจาก dhammaforever.com
นิทานสอนใจคน นิทานสอนใจในการทำงาน นิทานสอนใจ คนทํางาน
นิทานสอนใจคน นิทานสอนใจในการทำงาน นิทานสอนใจ คนทํางาน
       นานมาแล้วมีชายคนหนึ่งชื่อ ว่า ทิฐิ เขาเป็นคนที่มีนิสัยอวดดื้อถือดี ไม่ต่างจากชื่อ เพราะเมื่อได้ลองเชื่อมั่นในสิ่งใดแล้ว ทิฐิคนนี้ก็จะยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นไม่เปลี่ยน และจะไม่ยอมรับฟังข้อคิดเห็นที่ผิดไปจากความเชื่อเดิมโดยเด็ดขาด แม้ว่านี่จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นคนเอาจริงเอาจัง และเคร่งครัดกับชีวิต แต่บางครั้งเขาก็ดื้อรั้นมากเกินไปจนขาดเหตุผล และทำให้สูญเสียสิ่งดี ๆ ในชีวิตไปมากมาย โดยที่เขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน
       
       กล่าวสำหรับทิฐิ เขาไม่ใช่คนร่ำรวย ดังนั้นจึงต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาใช้จ่าย กระทั่งมีฐานะขึ้นมาในระดับหนึ่ง ทิฐิจึงคิดที่จะหยุดพักตัวเองจากการงาน แล้วเดินทางไปเรื่อย ๆ เพื่อเที่ยวชมโลกกว้าง เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น ทิฐิจึงจัดการฝากบ้านไว้กับญาติพี่น้อง แล้วเก็บสัมภาระออกเดินทางทันที
       
       ทิฐิเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ชมนั่นแลนี่ และพูดคุยกับผู้คนที่อยู่ในที่เหล่านั้นมากมาย การท่องโลกกว้างของทิฐิน่าจะทำให้เขามีความรู้ดี ๆ หรือเกิดทัศนคติใหม่ ๆ ขึ้นมาบ้าง แต่เมื่อไรก็ตามที่มีคนกล่าวคำซึ่งผิดไปจากความรู้หรือความเชื่อมั่นเดิมของ เขา ทิฐิก็จะรีบกล่าวแก่คน ๆ นั้นทันทีว่า
       
       "นั่นไม่ถูกเลยนะ ที่จริงแล้วมันต้องเป็นดังที่ข้ารู้มาต่างหาก"
       
       สิ่งนี้เองทำให้การเดินทางไปทั่วโลกของเขา แทบจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดขึ้นในชีวิตของเขาเลย
       
       กระทั่งวันหนึ่งทิฐิได้พลัดหลงเข้าไป ในดินแดนแห่งทะเลทรายอันแสนแห้งแล้ง และไร้ผู้คนสัญจร เขาหลงทางอยู่ในดินแดนแห่งนั้นสามวันสามคืน จนกระทั่งอาหาร และน้ำดื่มร่อยหรอและหมดลงในที่สุด ทิฐิจึงเดินต่อไปไม่ไหว เขาล้มลงนอนบนผืนทรายอย่างคนสิ้นเรี่ยวแรง
       
       แต่ทิฐิยังไม่อยากตายตอนนี้ ดังนั้นแม้ร่างกายจะอ่อนระโหยโรยแรงขนาดไหน แต่เขาก็รวบรวมพลังใจของตนเฝ้ากล่าวคำภาวนาขอความเมตตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ช่วยเหลือเขาด้วย
       
       "ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดเมตตาข้า ผู้ซึ่งไม่เคยเบียดเบียนใคร ขอทรงประทานน้ำมาให้ข้าได้รักษาชีวิตของตนเองไว้ แม้เพียงหนึ่งหยดก็ยังดี" แล้วในตอนนั้นเอง ทิฐิก็เห็นชายแปลกหน้าชาวเยอรมันคนหนึ่งเดินตรงมาหาเขา ทิฐิดีใจสุดจะกล่าว แล้วรีบพูดขึ้นทันทีว่า
       
       "โอ...ท่านผู้เป็นความหวังของข้า โปรดแบ่งน้ำของท่านให้ข้าดื่มด้วยเถิด"
       
       ชายคนนั้นยื่นถุงหนังสีน้ำตาลในมือให้แก่ทิฐิ แล้วกล่าวว่า
       
       "นี่คือ วาสซ่าร์ จงดื่มเสียสิ"
       
       แต่ทิฐิไม่อยากได้วาสซ่าร์ เขาอยากได้น้ำ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธที่จะรับถุงหนังสีน้ำตาลจากชายแปลกหน้าคนนั้น ชายคนนั้นจึงเดินจากไป
       
       ทิฐิภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง คราวนี้มีชายชาวจีนคนหนึ่งเดินถือถุงหนังสีแดงเข้ามายื่นให้แก่ทิฐิ
       
       "นี่คือ น้ำ ใช่หรือไม่" ทิฐิถามชายชาวจีน
       
       "นี่คือ ซือจุ้ย จงดื่มเสียสิ" ชายชาวจีนตอบ
       
       ทิฐิรู้สึกไม่พอใจ ตอนนี้เขากระหายน้ำมากเหลือเกินแล้ว แต่ทำไมชายผู้นี้จึงนำซือจุ้ย มามอบให้แก่เขาเล่า ทิฐิจึงปฏิเสธถุงหนังสีแดงของชายชาวจีน ชายชาวจีนจึงเดินจากไป
       
       ทิฐิเริ่มภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีก และครั้งนี้มีผู้หญิงชาวอินเดียคนหนึ่งมาปรากฏกายตรงหน้าของเขาในแทบจะทันที
       
       "เธอผู้มีใจเมตตา ขอน้ำให้ข้าดื่มหน่อยเถิด" ทิฐิพึมพำคำอ้อนวอนออกจากริมฝีปากที่แห้งผาก
       
       "นี่คือ ปานี จงดื่มเสียสิ" หญิงชาวอินเดียกล่าวพร้อมกับยื่นถุงหนังสีเขียวให้กับทิฐิ แต่นั่นทำให้ทิฐิโกรธมาก เขารวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ยกแขนปัดถุงหนังสีเขียวให้พ้นหน้า แล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า
       
       "ข้าไม่เอาของ ๆ เจ้า ข้าจะตายเพราะขาดน้ำอยู่แล้ว ข้าต้องการน้ำเท่านั้น!"
       
       หญิงอินเดียเมื่อได้ฟังดังนั้นก็เดินจากไปอีกคน ทิฐิเฝ้าอ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีใครนำอะไรมายื่นให้เขาอีกแล้ว
       
       จิตของทิฐิกำลังหลุดลอยออกจากร่างที่ใกล้แตกดับ แล้วในตอนนั้นเอง เสียง ๆ หนนึ่งก็ดังแว่ว ๆ ให้ได้ยินว่า
       
       "ทิฐิคนถือดีเอ๋ย เราช่วยเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่เคยให้โอกาสตนเองเลย หากเจ้าเปิดใจให้กว้าง และยอมรับในข้อดีของสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเสียบ้าง เจ้าก็คงรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในถุงหนังทั้งสามนั้น ต่างก็เป็นน้ำดื่มบริสุทธิ์ทั้งสิ้น"
       
       เมื่อสิ้นเสียงแว่วนั้น ทิฐิคนถือดีก็สิ้นลมหายใจทันที
       
       บทสรุปของผู้แต่ง
       
       เรื่องราวของทิฐินั้น สอนให้เราเปิดตาตนเองให้กว้าง แล้วมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวด้วยสายตา และหัวใจที่ไร้อคติ หากปิดกั้นหัวใจ และสายตาเอาไว้ ก็อาจพลาดสิ่งดี ๆ ในชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งบางครั้งสิ่งดี ๆ เหล่านั้นก็อาจจะไม่หวนกลับมาหาอีกแล้ว
       
       หรืออีกนัยหนึ่ง นิทานเรื่องนี้กำลังบอกทุกคนซึ่งนับถือศาสนาต่างกัน แต่กำลังยืนอยู่บนโลกใบเดียวกัน จงอย่าลืมว่าศาสนาทุกศาสนานั้นถือกำเนิดขึ้นด้วยความปรารถนาที่จะให้มีคนดี ๆ อยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก แม้คำสอนบางประการจะแตกต่างกัน แม้เสียงสวดมนต์จะเป็นคนละเสียง และธรรมเนียมปฏิบัติก็ไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย แต่เราทุกคนล้วนได้รับการปลูกฝังให้เติบโตเป็นคนดีเหมือนกัน
       
       ดังนั้นขอให้เปิดใจตัวเองให้กว้าง และเคารพในคำสอนของศาสนาอื่น ๆ ถึงแม้จะไม่ได้เป็นศาสนิกชนของศาสนานั้น อาจจะนำคำสอนชองเขามาประยุกต์ใช้กับตัวเองบ้าง ถ้าพบว่ามันเข้ากันได้ดีกับการดำเนินชีวิต ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน หากจะนำคำสอนเหล่านั้นมาปฏิบัติ ในเมื่อทุกศาสนาล้วนหมายมั่นที่จะพิชิตยอดเขาเดียวกัน นั่นคือ "ยอดเขาแห่งความดี ความรัก และความเมตตา"
       
       ///////////////
       
       ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

แต่คนที่ 3 เขารู้สึกว่าเขากำลังได้สร้างโบสถ์ กำลังสร้างวัด และคนไทยเมื่อรู้สึกว่าตัวเองได้มีส่วนสร้างวัด ก็รู้สึกปิติขึ้นมา มันไม่ใช่ผลตอบแทนที่เป็นเงิน แต่มันคือบุญกุศล เกิดความปิติ แรงจูงใจที่ทำให้เกิดเขาทำงานนั้น มันไม่ใช่เป็นเรื่องของรายได้หรือผลตอบแทนแต่ว่าเป็นศรัทธาที่โยงกับความรัก

เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่า การทำงานอย่างเดียวกัน ก่ออิฐเหมือนกัน แต่มีความรู้สึกต่างกันเพราะว่ามองงานนั้นต่างกัน เราจะเห็นได้ว่าเราเห็นคุณค่าของงานเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

คนที่ทำงานโดยคิดเพียงแค่ที่ว่าสิ่งที่ฉันทำมันเป็นเพียงรายได้หรือแค่ อาชีพอย่างหนึ่ง เขาอาจจะทำแล้วก็รอว่าเมื่อไรเงินเดือนจะออก เมื่อไรจะถึงวันหยุด เมื่อไรจะถึงวันเสาร์อาทิตย์

เพราะว่าเขาไม่ได้ทำงานมุ่งหมายมากไปกว่าการมีผลตอบแทน หรือเงินเดือน แต่คนที่เขาทำงานและเห็นว่างานที่เขาทำมีคุณค่า มีส่วนในการสร้างสรรค์ประเทศ มีส่วนในการทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้า หรืออย่างน้อยก็มีส่วนทำให้บริษัทองค์กรเจริญงอกงาม

https://www.manager.co.th

อัพเดทล่าสุด