นิทานสอนใจเด็ก นิทานสอนใจเกี่ยวกับครอบครัว นิทานสอนใจ เรื่องความกตัญญู


18,002 ผู้ชม


นิทานสอนใจเด็ก นิทานสอนใจเกี่ยวกับครอบครัว นิทานสอนใจ เรื่องความกตัญญู

นิทานสอนใจ : เรื่องสองพี่น้อง

นิทานสอนใจเด็ก นิทานสอนใจเกี่ยวกับครอบครัว นิทานสอนใจ เรื่องความกตัญญู

นิทานสอนใจเด็ก นิทานสอนใจเกี่ยวกับครอบครัว นิทานสอนใจ เรื่องความกตัญญู
นิทานสอนใจเด็ก นิทานสอนใจเกี่ยวกับครอบครัว นิทานสอนใจ เรื่องความกตัญญู
นิทานสอนใจเด็ก นิทานสอนใจเกี่ยวกับครอบครัว นิทานสอนใจ เรื่องความกตัญญู

มีครอบครัวชาวนาครอบครัว หนึ่งมีลูกชายสองคน ทั้งสองเป็นพี่น้องที่รักกันมากจนกระทั่งพ่อแม่แก่เฒ่า และสิ้นอายุขัยไป สองพี่น้องจึงแยกย้ายกันไปสร้างครอบครัวของตนเอง แต่ก็ยังปลูกบ้านที่ในหมู่บ้านเดียวกัน และไปมาหาสู่และรักใคร่กันเสมอ สองพี่น้องยังคงยึดอาชีพชาวนาปลูกข้าวเลี้ยงชีพเช่นเดียวกับพ่อแม่และใช้ ชีวิตสันโดษพอเพียง แม้จะไม่มีเงินทองร่ำรวยอะไรแต่ก็มีความสุขตามอัตภาพ มิได้ลำบากยากแค้นอะไรนัก
       อยู่มาปีหนึ่ง ชาวนาคนพี่ทำนาได้ข้าวมากกว่าทุก ๆ ปี จึงมีใจคิดเผื่อแผ่ไปถึงน้องชาย เขากล่าวกับภรรยาของตนในเย็นวันหนึ่งว่า
       "เธอจะว่าอย่างไร หากฉันจะเอาข้าวที่เราเก็บเกี่ยวได้ในปีนี้ไปแบ่งให้น้องชายของฉันบ้าง"
       "ทำไมหรอจ๊ะ นาของน้องชายเธอได้ข้าวไม่ดีนักหรือ" ภรรยาของชาวนาผู้พี่เอ่ยถาม
       "เปล่าหรอกจ้า นาของน้องชายฉันก็ให้ข้าวรวงดีไม่แพ้ของเราหรอก แต่ฉันเห็นว่าครอบครัวของเขามีหลายปากท้องต้องให้เลี้ยงดู ทั้งตัวเขา เมียเขา และลูกเล็ก ๆ อีกหลายคน ส่วนเรานั้นมีกันแค่สองผัวเมีย ชึ่งฉันคิดว่า แค่ข้าวเพียงไม่กี่กระสอบก็น่าจะทำให้เราสองคนอิ่มท้องไปจนถึงปีหน้าได้ แล้ว" ชาวนาผู้พี่กล่าว
       "อืม ฉันเห็นด้วยจ้ะ น้องชายของเธอก็มีน้ำใจกับเราสองคนเสมอมา เมื่อมีผักผลไม้ดี ๆ เกิดขึ้นในไร่นาของเขา เขาก็นำมาให้เราทุกครั้ง เมื่อเรามีข้าวมากจนเหลือกิน เธอก็จัดแบ่งไปให้ครอบครัวของน้องชายเธอบ้างเถิดจ้ะ"
       เมื่อภรรยาสนับสนุนเป็นอย่างดีเช่นนั้น ชาวนาผู้พี่ก็จัดการบรรจุข้าวลงกระสอบขนาดใหญ่ แล้วรอจนมืดค่ำจึงค่อยแบกกระสอบข้าวกระสอบนั้นไปยังบ้านของน้องชาย และทิ้งกระสอบข้าวไว้ข้างนอกประตูบ้านอย่างเงียบเชียบ ที่ต้องทำแบบนี้เพราะชาวนาผู้พี่เกรงว่า ถ้าเอาไปให้ตอนกลางวันแล้วน้องชายรู้ น้องชายอาจจะปฎิเสธข้าวของเขาเพราะความเกรงใจก็เป็นได้
       วันรุ่งขึ้น เมื่อชาวนาผู้พี่ไปนับกระสอบข้าวที่เหลืออยู่ในยุ้งเขาต้องประหลาดใจเพราะปรากฏว่า กระสอบข้าวยังมีจำนวนเท่าเดิม
       "เอ เมื่อคืนเรานำข้าวไปให้น้องหนึ่งกระสอบ แล้วทำไมข้าวเราจึงเหลืออยู่เท่าเดิม หรือว่าเราจะนับผิด ถ้าอย่างนั้นเราเอาข้าวไปให้น้องสักหนึ่งกระสอบแล้วกัน" พี่ชายผู้พี่บอกกับตัวเอง
       คืนวันนั้นเข้าก็เอาข้าวอีกกระสอบไปให้น้องชาย แต่พอเช้าวันต่อมา เมื่อเขาเข้าไปนับก็ปรากฏว่าข้าวยังคงเหลือเท่าเดิมเหมือนครั้งแรก
       "เอ๊ะ! จะให้เชื่ออย่างไรนี่" ชายผู้พี่ร้อง "ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องเอาข้าวไปให้น้องเราอีกกระสอบหนึ่ง" คืนนั้นชาวนาผู้พี่จึงแบกกระสอบข้าวไปบ้านน้องชายอีกหนึ่งกระสอบเป็นรอบที่ สาม
       แสงจันทร์ส่องแสงเจิดจ้าในคืนวันนั้น ชายผู้พี่มองเห็นร่างของใครคนหนึ่ง กำลังแบกกระสอบข้าวตรงมาทางเขา ชายผู้พี่จ้องเขม็งตามองอีกครั้ง จึงเห็นว่า ร่างของคนคนนั้นก็คือน้องชายของเขานั่นเอง ชาวนาผู้พี่ และชาวนาผู้น้องต่างหยุดวางกระสอบข้าวลงบนพื้น แล้วมองหน้ากันอย่างงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วทั้งสองร้องขึ้นมาพร้อมกันว่า
       "เอ๊ะ! พี่เองเหรอที่เอาข้าวมาวางไว้หน้าบ้านของฉันน่ะ"
       "อ๊ะ แก่เองเหรอน้องรักที่เอาข้าวมาวางไว้ในยุ้งข้าวของพี่ทุกคืน"
       แล้วทั้งสองก็พากันหัวเราะด้วยความขบขันเป็นเวลานาน ต่างคนต่างก็รู้สึกรักและผูกพันกับอีกคนมากขึ้น โดยไม่ต้องพูดจาอะไรมากไปกว่านั้นอีกแล้ว
บทสรุปของผู้แต่ง
       สองพี่น้องชาวนารักใคร่กันดี เพราะมีน้ำใจไมตรีให้เแก่กันอยู่เสมอ เขาอาจจะรักกันบนพื้นฐานความเป็นพี่น้องก็จริง แต่เราก็สามารถรักและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่นอย่างจริงใจได้ โดยไม่ต้องเป็นอะไรกับเขาเลย เพราะความรัก ความเมตตา และความปรารถนาอยากจะให้ผู้อื่นมีความสุขนั้น ไม่ใช่คุณธรรมที่สงวนไว้เฉพาะพี่น้องร่วมสายโลหิต แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนควรปฏิบัติต่อกันเสมือนเช่นนั้น ถ้าทำได้แบบนี้ สังคมของเราคงน่าอยู่ขึ้นมาก เพราะเราจะมีแต่พี่น้องที่รักกันอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง แม้ในความเป็นจริง ทุกคนอาจไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลยก็ตาม
       ดังนั้น จำไว้เถิดว่า การช่วยเหลือคนที่อ่อนด้อยกว่าด้วยความแบ่งปันนั้นจะสร้างความสุขให้แก่ตัว เราเองมากมาย อย่ากลัวเลยว่า ถ้าแบ่งสิ่งที่เราพอจะมีให้แก่ผู้อื่นแล้ว เราจะไม่มีอะไรเหลือเลย เพราะถ้าเรามีใจที่พร้อมจะแบ่งปัน และช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดเวลาก็จะไม่มีใครต้องเสียอะไรไป เนื่องจากเมื่อเราแบ่งปันบางสิ่งให้คนอื่นเพื่อช่วยเหลือเขา เขาก็จะแบ่งปันบางอย่างเพื่อช่วยเหลือเรา หากเราต่างก็ช่วยเหลือกันดีเช่นนี้ เราก็ไม่ต้องสูญเสียอะไรไป และยังคงมีเท่าเดิมเหมือนกันทุกคน ดังเช่นชาวนาสองพี่น้องที่แม้จะแบ่งข้าวของตัวเองให้อีกฝ่าย แต่พวกเขาก็ยังมีข้าวอยู่เท่าเดิม ด้วยน้ำใจแห่งการแบ่งปันนั่นอย่างไรเล่า
       ///////////////
       ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

https://www.manager.co.th

..................................................................................

นิทานสอนใจ : ซาลาเปาในกล่องวิเศษ

นิทานสอนใจเด็ก นิทานสอนใจเกี่ยวกับครอบครัว นิทานสอนใจ เรื่องความกตัญญู

นิทานสอนใจเด็ก นิทานสอนใจเกี่ยวกับครอบครัว นิทานสอนใจ เรื่องความกตัญญู
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
นิทานสอนใจเด็ก นิทานสอนใจเกี่ยวกับครอบครัว นิทานสอนใจ เรื่องความกตัญญู
นิทานสอนใจเด็ก นิทานสอนใจเกี่ยวกับครอบครัว นิทานสอนใจ เรื่องความกตัญญู

       กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีครอบครัวฐานะยากจน แต่ละวันไม่มีอาหารเพียงพอให้ทุกคนรับประทาน ต้องทนอดมื้อกินมื้อตามยถากรรม แต่กระนั้นทุกคนในครอบครัวก็ไม่เคยประกอบพฤติกรรมไม่สุจริต พวกเขายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง และมักปฏิบัติธรรม สวดมนต์ก่อนนอน รวมทั้งนั่งสมาธิเป็นประจำทุกวัน โดยพ่อแม่ของครอบครัวนี้จะอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอเพียงให้ลูก ๆ ของพวกเขามีอาหารรับประทานพออิ่มท้องไปวัน ๆ เท่านั้น
       
       วันหนึ่งขณะที่ทุกคนในครอบครัวกำลังสวดมนต์กันอยู่นั้น พลันเกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์ขึ้น ฑูตสวรรค์องค์หนึ่งก็ปรากฎกายต่อหน้าพวกเขาและมอบกล่องวิเศษกล่องหนึ่งให้ แก่ผู้เป็นพ่อ พร้อมกับบอกว่า
       
       "นี่คือกล่องวิเศษ ในกล่องนี้จะมีซาลาเปาอยู่สองลูกให้พวกเจ้า แต่มีข้อแม้ว่าพวกเจ้าจะต้องหยิบกินเพียงวันละหนึ่งลูกเท่านั้น ส่วนอีกลูกก็ให้อยู่ในกล่องเช่นเดิม ถ้าทำดังนี้พวกเจ้าจะไม่มีวันอดและมีซาลาเปากินไปตลอดชีวิต"
       
       กล่าวจบฑูตสวรรค์ก็หายวับไป
       
       ดังนั้นผู้เป็นพ่อจึงเปิดกล่องวิเศษออก และปฏิบัติตามคำของฑูตสวรรค์อย่างเคร่งครัด โดยเขาหยิบซาลาเปาออกมาจากกล่องวิเศษเพียงลูกเดียวเท่านั้นแล้วแบ่งให้ทุกคน ในครอบครัวรับประทาน ซาลาเปาในกล่องวิเศษนี้รสชาติเลิศรสยิ่ง และน่าแปลกที่แม้ทุกคนจะได้รับประทานไปเพียงคนละนิดคนละหน่อย แต่แค่นั้นก็ทำให้พวกเขาอิ่มท้องได้ตลอดทั้งวัน
       
       วันรุ่งขึ้นผู้เป็นพ่อก็เปิดกล่องวิเศษเพื่อกินซาลาเปาอีก ปรากฎว่ามีซาลาเปาอยู่ในกล่องวิเศษสองลูกเท่ากับเมื่อวาน เขาจึงหยิบซาลาเปาลูกหนึ่งมาแบ่งให้ทุกคนในครอบครัวรับประทานแล้วปิดฝากล่อง วิเศษลงโดยไม่แตะต้องซาลาเปาอีกลูกเช่นเดิม
       
       วันถัดมาซาลาเปาก็เพิ่มมาอีกหนึ่งลูกเช่นเดิม ผู้เป็นพ่อก็ทำทุกอย่างเหมือนเดิม เป็นเช่นนี้ไปทุกวัน ทำให้ครอบครัวนี้แม้จะไม่ได้ร่ำรวยขึ้น แต่ทุก ๆ คนก็ได้อิ่มท้องแลดูอ้วนท้วมสมบูรณ์ขึ้นจนเป็นที่สงสัยของชายเพื่อนบ้าน
       
       ชายเพื่อนบ้านเฝ้าสังเกตครอบครัวยากจนอยู่นานก็ไม่เห็นว่าครอบครัว นี้มีทรัพย์สินอะไรที่น่าจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่คนในบ้านกลับดูสมบูรณ์พูนสุขอย่างผิดหูผิดตา ในที่สุดเมื่อเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว ชายเพื่อนบ้านจึงไปสอบถามจากภรรยาของชายยากจนว่า
       
       "ขอโทษเถอะพี่สาว ระยะหลังมานี้ข้าสังเกตเห็นว่าครอบครัวของท่านดูมีความสุขขึ้น และเด็ก ๆ ก็ไม่ร้องไห้เพราะความหิวโหยเหมือนแต่ก่อน แต่กลับออกมาวิ่งเล่นอย่างร่าเริงและดูจะอ้วนท้วมขึ้นทุกวัน ไม่ทราบว่าพวกท่านได้ไปประกอบอาชีพอะไรมาหรือ จึงทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นเช่นนี้"
       
       ด้วยความที่ครอบครัวนี้ปฏิบัติตนในศีลธรรมอันดีมาโดยตลอด ภรรยาชายยากจนจึงกล่าวตอบเพื่อนบ้านอย่างไม่คิดจะโกหกปิดบังว่า
       
       "พวกเราหาได้ร่ำรวยเงินทอง และยังคงยากจนอยู่เช่นเดิม เพียงแต่บ้านของเราได้รับความเมตตาจากฑูตสวรรค์โดยท่านได้มอบกล่องวิเศษให้ แก่บ้านเรา ในกล่องใบนั้นมีซาลาเปาอยู่สองลูก และเราจะหยิบมากินได้เพียงวันละหนึ่งลูกเท่านั้น"
       
       "วันละหนึ่งลูก!" ชายเพื่อนบ้านร้องลั่น "แค่นั้นจะพอหรือ ในเมื่อบ้านของท่านมีคนอยู่ตั้งหลายคน"
       
       "พอสิ แค่ซาลาเปาหนึ่งลูกนั้นก็ทำให้พวกเราอิ่มท้องและมีแรงทำงานได้ตลอดทั้งวัน แต่เราต้องหยิบมากินแค่วันละหนึ่งลูกนะ แล้ววันต่อไปซาลาเปาจะเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งลูก เป็นเช่นนี้เรื่อยไปโดยไม่มีวันหมด" ภรรยาชายยากจนบอกเล่าอย่างพาซื่อโดยไม่ได้สังเกตเห็นความละโมบที่ฉายชัดอยู่ ในแววตาของชายข้างบ้านเลย
       
       หลังจากวันนั้นกล่องวิเศษก็หายไปจาก บ้านของครอบครัวยากจน ทุกคนในครอบครัวเสียใจมาก แต่ก็ไม่รู้จะตามไปเอาคืนจากที่ไหน พวกเขาจึงต้องทำใจยอมรับความอดอยากด้วยการสวดมนต์อธิษฐานขอให้มีอาหารประทัง ชีวิตอีกเช่นเดิม
       
       ผ่านไปหลายวัน ฑูตสวรรค์ก็มาปรากฏกายอีกครั้ง พร้อมกับถามว่า
       
       "เราให้กล่องวิเศษพวกเจ้าไปแล้ว ทำไมยังอดอยากกันอีก หรือพวกเจ้าไม่ทำตามที่เราบอก"
       
       ชายผู้เป็นพ่อรีบตอบฑูตสวรรค์ว่า
       
       "ข้าแต่ฑูตสวรรค์ พวกเราไม่กล้าฝืนคำสั่งของท่านหรอก เพียงแต่ที่เราต้องกลับมาอดอยากเช่นเดิมก็เพราะมีขโมยมาขโมยกล่องวิเศษที่ ท่านมอบให้พวกเราไปน่ะขอรับ"
       
       ฑูตสวรรค์นิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า
       
       "เอาอย่างนี้ เราจะมองกล่องวิเศษให้เจ้าอีกหนึ่งใบ ทุกวันให้เจ้าปิดประตูหน้าต่างในบ้านให้หมด พร้อมกับลงกลอนให้แน่นหนา แต่ห้ามเปิดกล่องวิเศษใบนี้เด็ดขาดจนกว่าจะล่วงเข้าวันที่เจ็ด"
       
       แล้วฑูตสวรรค์ก็มอบกล่องวิเศษใบใหม่ให้แก่ครอบครัวยากจน แล้วหายวับไป
       
       ครอบครัวยากจนทำตามคำบอกของฑูตสวรรค์อย่างเคร่งครัด จนชายข้างบ้านรู้สึกผิดสังเกตอีก เขาจึงตะล่อมถามภรรยาแสนซื่อของชายยากจนอีกครั้ง
       
       "ระยะห้าหกวันนี้ ข้าสังเกตบ้านท่านไม่ค่อยเปิดประตูหน้าต่างเลยนะ พวกท่านทำอะไรกันอยู่ในนั้นหรือ จึงต้องการความมิดชิดถึงเพียงนั้น"
       
       ภรรยาชายยากจนก็ตอบโดยไม่ปิดบังอีกเช่นเคยว่า
       
       "กล่องซาลาเปาวิเศษของเราถูกขโมยไป ฑูตสวรรค์จึงมอบกล่องวิเศษใบใหม่ให้บ้านเรา แต่พวกข้าก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าข้างในเป็นอะไร เพราะฑูตสวรรค์กำชับให้เราปิดประตูหน้าต่าง และลงกลอนให้แน่นหนาไปจนถึงวันที่เจ็ดจึงจะเปิดกล่องออกดูได้ว่ามีสิ่งใด อยู่ในนั้น แต่พรุ่งนี้ก็จะครบเจ็ดวันแล้วล่ะ"
       
       ได้ฟังดังนั้น ความละโมบก็กระโจนเข้าครอบงำจิตใจชายข้างบ้านอีก
       
       "กล่องใบนั้นจะต้องเป็นของเรา...พรุ่งนี้เราจะกินซาลาเปาทั้งสองลูก ในกล่องใบแรกให้หมด และเอากล่องเปล่า ๆ ไปสับเปลี่ยนกับกล่องวิเศษใบที่สองจากบ้านเจ้าคนยากจนพวกนั้น พวกมันจะได้ไม่สงสัย และนึกว่าฑูตสวรรค์เล่นตลกกับพวกมันเอง..ในกล่องใบที่สองคงมีเงินทองมากมาย ที่เพิ่มทุกวันไม่มีวันหมดดังเช่นกล่องซาลาเปาใบแรกอีกเป็นแน่"
       
       ชายข้างบ้านคิดอย่างย่ามใจ
       
       เช้ามืดอันเงียบสงัด ขณะที่ทุกคนกำลังหลับสบาย ชายข้างบ้านเปิดกล่องวิเศษใบแรกออกมาแล้วกินซาลาเปาสองลูกจนหมดโดยไม่แยแส เขาคิดว่ากล่องใบที่สองจะต้องให้อะไรกับเขามากกว่าซาลาเปาเพียงแค่สองลูก หลังจากนั้นก็ย่องไปที่บ้านของครอบครัวยากจนและงัดหน้าต่างเพื่อเข้าไปขโมย กล่องวิเศษใบที่สอง โดยนำกล่อวิเศษใบแรกไปสับเปลี่ยนด้วย
       
       เมื่อได้กล่องวิเศษใบที่สองแล้ว ชายข้างบ้านก็รีบกลับมาที่บ้านของตนเอง เขาปิดประตูหน้าต่างทุกบานอย่างแน่นหนาที่สุด แล้วค่อย ๆ แง้มฝากล่องออกดูอย่างตื่นเต้น
       
       ทันทีที่ฝากล่องถูกเปิดออก แมลงมีพิษมากมายก็พุ่งตัวออกมาและบินเข้าไปรุมกัดต่อยชายข้างบ้านอย่างเอา เป็นเอาตาย จนเขาวิ่งหนีออกจากบ้านแทบไม่ทัน ว่ากันว่าชายข้างบ้านจอมโลภคนนี้ถูกแมลงมีพิษไล่กัดต่อยไปจนสุดหล้าฟ้าเขียว และไม่มีใครเคยพบเห็นเขาอีกเลย
       
       ฝ่ายครอบครัวยากจนนั้น เมื่อถึงเวลาเปิดฝากล่องออกก็พบซาลาเปาสองลูกอยู่ในกล่องเหมือนเดิม พวกเขาดีใจมากรีบสวดมนต์ขอบคุณฑูตสวรรค์เป็นการใหญ่ จากนั้นมาครอบครัวยากจนก็มีซาลาเปาในกล่องวิเศษที่ช่วยให้พวกเขาอิ่มท้องและ มีความสุขตลอดมา
       
       บทสรุปของผู้แต่ง
       
       น่าแปลกใจที่ดูเหมือนว่า มนุษย์จะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวในโลกนี้ที่ไม่รู้จักพอ เมื่อมีแล้วก็ต้องมีอีก เมื่อมีมากก็ต้องมีเพิ่ม เพราะฉะนั้นปัญหาที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ก็คือความโลภ แต่ความโลภมิใช่คนผิด มนุษย์ต่างหากที่ผิดเพราะมีความโลภ ดังนั้น หลาย ๆ ครั้งความโลภก็สอนมนุษย์ด้วยบทเรียนที่แสนเจ็บแสบ ด้วยการทำให้มนุษย์ที่มีความโลภสูญสิ้นทุกอย่างจนไม่มีอะไรเหลืออีกเลยใน ชีวิต
       
       /////////////
       
       ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

https://www.manager.co.th

นิทานสอนใจเด็ก นิทานสอนใจเกี่ยวกับครอบครัว นิทานสอนใจ เรื่องความกตัญญู

อัพเดทล่าสุด