รักษาโรคปากเบี้ยว ดาราที่เป็นโรคปากเบี้ยว วิธีรักษาโรคปากเบี้ยว
รักษาโรคปากเบี้ยวเครียด! ระวัง "โรคปากเบี้ยว" จะถามหา
ได้ดูข่าวทางโทรทัศน์ว่ามีนักแสดงเป็น ‘โรคปากเบี้ยว' เราก็ยังคงเฉยๆ ก็แค่รับรู้ข่าวสาร และไม่รู้ด้วยว่า ‘โรคปากเบี้ยว' เกิดจากอะไร แล้วจะหายหรือเปล่า คิดว่ายังไงก็คงไม่เกิดกับเราหรือคนรอบข้างของเราแน่ แต่แล้วเพื่อนสาวห้องข้างๆ ก็วิ่งหน้าตาตื่นเหมือนโดนผีหลอกตอนเช้า ครั้นได้สติ เธอจึงเล่าเรื่องราวให้ฟัง
อาการของเธอคือ แปรงฟันอยู่ดีๆ พอบ้วนน้ำออกจากปาก น้ำไม่ออกจากปากตรงๆ เหมือนทุกที แต่ไหลออกข้างๆ ก็ลองทำซ้ำอยู่หลายรอบก็ปรากฏว่าเหมือนเดิม ก็ยังคิดว่าไม่เป็นไร พออาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ในขณะที่กำลังปัดแก้ม แล้วต้องยิ้มเพื่อให้ปัดโหนกแก้มได้นั้น เธอก็ตกใจสุดขีด เพราะปากของเธอเบี้ยวไปข้างหนึ่ง งานเข้าแล้วทีนี้ แต่เดี๋ยวก่อน คุ้นๆ เหมือนนั่งดูข่าวเมื่อหลายวันก่อนว่า ‘โรคปากเบี้ยว' นี้มันจะหายเอง แต่เพื่อนสาวคนนี้คงไม่อยากรอให้หายเองจึงรีบไปหาหมอทันที
เมื่อไปพบหมอจึงได้ทราบว่า โรคปากเบี้ยวสามารถเกิดได้กับทุกคน ทุกเพศ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะยามที่ร่างกายของเราอ่อนแอก็มีสิทธิ์ที่จะป่วยได้ และนอกจากจะบ้วนน้ำไม่ตรง หรือยิ้มแล้วปากเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ยังมีอาการอื่นๆ อีก เช่น กินอาหารแล้วติดกระพุ้งแก้ม ตาอาจจะแดงเพราะหลับตาไม่ลง ต้องระวังตาอักเสบให้มาก
ส่วนปัจจัยการเกิดของโรคปาก เบี้ยวนั้นอยู่ที่ "เส้นประสาทเส้นที่ 7" ซึ่งเป็นเส้นสำคัญที่มาเลี้ยงใบหน้าของเรา โดยสิ่งที่ทำให้เส้นประสาทเกิดงอแงและล้มป่วยขึ้นมาก็มีหลายประเด็น
1. ติดเชื้อ โดยเฉพาะไวรัสอย่าง เริม งูสวัด ทำให้เส้นประสาทอักเสบและหน้าเบี้ยว
2. ความเครียด ทั้งทางกายและใจ ส่งผลให้เส้นประสาทอักเสบ และทำงานผิดปกติ
3. โรคประจำตัว อาทิ หลอดเลือดสมองตีบ ไขมันอุดตัน มีสิทธิ์ทำให้เบี้ยวทั้งหน้า แล้วยังจะเกิดการเป็นอัมพาตครึ่งซีกอีกด้วย รวมทั้งคนที่เป็นโรคเบาหวานก็มีโอกาสเป็นได้
4. เหตุอื่นๆ เช่น ฉีดหน้าเพื่อเสริมความงามแล้วเกิดผลข้างเคียง เนื้องอกในสมอง อุบัติเหตุต่อเส้นประสาท ผลกระทบจากการผ่าตัด เป็นต้น
ที่สำคัญเลยก็คือต้องแยกให้ออกว่า หน้าเบี้ยวนี้เกิดจากปลายประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอักเสบอย่าง เดียว หรือถ้ามีเหตุจากทางสมอง จะมีอาการขาและแขนไม่มีแรง เพราะเกิดจากเส้นเลือดในสมองแตกและอุดตัน
ทางบำบัดเมื่อป่วยด้วยโรคหน้าเบี้ยว
อย่าเพิ่งตกใจไป ยิ่งกลุ้มใจก็ไม่ทำให้หน้าหายเบี้ยว เพราะโรคนี้เกิดมาจากความเครียดจัดๆ และโรคนี้จะค่อยๆ ดีขึ้นเองโดยไม่ต้องกินยา ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยการกินอาหารบำบัดเส้นประสาท อาทิ กินวิตามินบีรวม น้ำมันปลา มากินสลับกับอาหารสด อย่างผักคะน้า และมะเขือเทศ เพราะจะช่วยบำรุงเส้นประสาทไม่ให้เสื่อมไวหรือติดเชื้อได้ หรือไปหาหมอเพื่อรักษา ในกรณีที่รู้แน่แล้วว่า หน้าเบี้ยวที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากการติดเชื้อ หรือเหตุอื่นๆ ก็จะได้แก้อย่างตรงจุด ส่วนระยะเวลาของอาการจะประมาณ 3-4 อาทิตย์จะรู้สึกว่าดีขึ้น แต่หากเป็นมากจะขยับหน้าไม่ได้ และลิ้นไม่รู้รส อย่างนี้ก็อาจเป็นเดือน หรือนานเป็นปี หายได้แต่ไม่ 100% สามารถจะสังเกตว่าดีขึ้นหรือยังได้ด้วยการเลิกคิ้ว หรือลองปิดตา หรือขยับกล้ามเนื้อบริเวณหน้าดู ถ้าขยับได้บ้างหรือหลับตาได้พอมิด แสดงว่าเป็นไม่มากแล้ว และอาการกำลังดีขึ้น
ป้องกันก่อนโรคปากเบี้ยวจะถามหา
เลี่ยง นอนดึก นอนไม่พอถือเป็นปัจจัยเสี่ยงหน้าเบี้ยว เพราะถือเป็นความเครียดอย่างหนึ่ง รวมทั้งคนที่อยู่ดึก ดื่มแอลกอฮอล์ หรือทำงานไม่เป็นเวลาก็มีสิทธิ์เป็น ควรออกกำลังกายตั้งแต่ยังไม่ป่วย แต่ห้ามออกกำลังกายที่หนักเกินไปตอนกำลังเป็นอยู่ เพราะมันจะกลายเป็นความเครียดที่กระตุ้นหน้าเบี้ยวได้ และสลายพฤติกรรมเสี่ยงทั้งหลาย เช่น ทำงานไม่มีวันพัก เครียดสะสม สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ทานอาหารซ้ำซากหนักไขมัน
หลังจากนี้ เธอเบาใจได้กว่าครึ่ง และเมื่อเธอไปทำงาน ก็จะพยายามจะไม่ยิ้มหรือพูด และกลับมานวดกล้ามเนื้อใบหน้าอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญเลย เธอเน้นย้ำกับเพื่อนที่ทำงานด้วยกันว่า พยายามลดความเครียด อย่าเก็บสะสม เพราะโรคปากเบี้ยวจะถามหา และฝากถึงคนทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่มีวันหยุดด้วยว่า ‘โรคปากเบี้ยว' มันเกิดได้ไม่ยากนะจะบอกให้
โรคหน้าเบี้ยว หากเป็นเฉพาะบริเวณใบหน้าอย่างเดียว เรียกว่า ‘เบลล์ พัลซี่' (Bell's Palsy)
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ดาราที่เป็นโรคปากเบี้ยว
โรคปากเบี้ยว ปากเบี้ยวโรคฮิตที่ดาราชอบเป็น
อาชีพ นักแสดงและนักร้องเป็นอาชีพที่ไม่มีกำหนดเวลาการทำงานที่แน่นอน อย่างถ่ายละคร หนัง โฆษณา ฯลฯ บางครั้งไม่สามารถกำหนดได้เวลางานจะสิ้นสุดลงเมือไหร่ จึงทำให้ดารานักแสดงทั้งหลายไม่มีตารางการพักผ่อนที่แน่นอนเหมือนคนอื่นทั่ว ไป
ดังนั้นนักแสดงและนักร้องจึงเป็นกลุ่มอาชีพหนึ่งที่เสี่ยงต่อการ เจ็บป่วยได้ง่าย เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอหรือพักผ่อนไม่เป็นเวลา บางคนได้พัก 1 วัน ทำงาน 6 วัน ยิ่งอยู่ในช่วงที่ขาขึ้น ดาราบางคนแถบจะเวลากินก็ไม่ได้กิน เวลานอนก็ได้นอน การพักผ่อนบางครั้งต้องอาศัยการนอนบนรถยนต์เวลาที่ต้องเดินทางไปทำงานก็มี
สำหรับโรคฮิตๆ ที่คนบันเทิงเจ็บป่วยเช่น “เส้นเสียงอักเสบ” ซึ่งเกิดขึ้นกับนักร้องอย่าง ตูน บอดี้แสลม , ดา เอ็นโดรฟิน, ตุ้ย-เกียรติกมล ล่าทา หรือ ตุ้ย AF3 และ ณัฐ ศักดาทร หรือ นัท เอเอฟ 4 โดยทุกคนต้องหยุดพักงานเพื่อเข้ารับการรักษา ต้องหยุดพักงานไปเลย
อีกโรคที่เริ่มเห็นเป็นกัน แม้จะยังไม่มากก็ตามที่ แต่ถือว่าเป็นอันตรายอยู่เหมือนกัน สำหรับคนทำงานวงการบันเทิง คือ “โรคปากเบี้ยว”
อย่างดาราหนุ่ม โอ อนุชิต เป็นนักแสดงคนแรก ๆ คนแรกที่เจอกับโรคดังกล่าว ซึ่งเขาเปรยว่า ป่วยเป็นโรคไวรัสลงปลายประสาท ทำให้มีอาการปากเบี้ยว หน้าชา ต้องทำกายภาพบำบัด 1 เดือน สาเหตุของการป่วยเนื่องจากพักผ่อนน้อย
อีกคนวงการบันเทิงคือผู้จัดการดาราชื่อดัง เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร ถึงจะไม่ได้ทำงานละคร หนัง แต่ก็คงคอยดูแลดาราในสังกัดของตัวเอง ซึ่งผู้จัดการดาราคนดังถูกเมาธ์ว่า สาเหตุมาจากพิษของการทำศัลยกรรมที่เกาหลีเลยทำให้ให้ปากเบี้ยว ซึ่งเจ่าตัวออกมาชี้แจงเผยสาเหตุ เพราะพักผ่อนน้อย และเครียด พอสะสมมากๆ เข้าปลายประสาทก็รู้สึกชา ทางแพทย์เลยให้พักผ่อนให้เพียงพอ
อีกหนึ่งหนุ่ม ณัฐ ศักดาทร หรือ นัท เอเอฟ 4 ที่เคยเส้นเสียงอักเสบคราวนี้เจ้าตัวเจอกับโรค Belle's Palsy (เบลส์ พอลซี่) หรือโรคปลายประสาทอักเสบคู่ที่ 7 (ใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก) ทำให้นักร้องหนุ่ม ต้องทำการพักรักษาตัวด่วน ซึ่งนักร้องหนุมเผยว่าที่ป่วยก็เพราะเกิดจากการทำงานอย่างหนัก และไม่ค่อยได้พักผ่อน ทั้งเขียนหนังสือ เข้าห้องอัดเพลง และซ้อมละครเวที
คนบันเทิงรายล่าสุดที่เจอกับโรคนี้คือ พลอย เฌอมาลย์ บุญศักดิ์ นั้นเพราะเกิดจากความเครียด ทำงานหนัก เห็นได้เลยว่าช่วงนี้สาวพลอยมีทั้งงานละคร หรัง และออกอีเว้นท์ต่างๆ เยอะมาก ทำให้พักผ่อนน้อยบวกกับความเครียดเลยทำให้นางเอกสาวเป็นโรคดังกล่าว ซึ่งเธอใช้วิธีการรักษาด้วยการฝังเข็มมัน และต้องต้องบริหารกล้ามเนื้อหน้าบ่อยๆ
ไม่น่าเชื่อว่าแค่เพียงไม่นาน มีนักแสดงนักร้องในวงการบันเทิงไทยเริ่มทะยอยป่วยเป็นโรคปากเบี้ยวเยอะพอ สมควร นั้นเพราะการทำงานที่หักโหม ไม่ค่อยได้พัก ดังนั้นจึงขอเตือนสติดาราคนอื่นๆ ที่ทำงานจนไม่พักผ่อน หากไม่รู้จักระวังและป้องกันคุณอาจต้องเจอกับโรคที่ร้ายแรงกว่านี้ก็ได้...
ที่มา Bangkok-Today
เพื่อช่วยให้ฟื้นจากโรคปากเบี้ยวเร็วขึ้น ควรบริหารกล้ามเนื้อใบหน้า ด้วยการฝึก "ยิ้มกว้าง" อันประกอบด้วยการฉีกยิ้ม ยิงฟัน แล้วใช้มือยกมุมปากข้างที่เป็นอัมพาตขึ้นตามไปด้วย ทำวันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 5-10 นาที
ที่มา :
นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ
มูลนิธิหมอชาวบ้าน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วิธีรักษาโรคปากเบี้ยว
วิธีประคบ-นวดหน้า-บริหารใบหน้าเมื่อเป็นโรคปากเบี้ยว
เมื่อเป็นโรคปากเบี้ยว คุณสามารถช่วยเหลือตนเองอย่างง่ายๆ ด้วยการประคบน้ำอุ่น นวดหน้าและบริหารกล้ามเนื้อใบหน้า
1. การประคบน้ำอุ่น
อุปกรณ์ที่ใช้
-ผ้าขนหนูผืนเล็ก 2-3 ผืน
-ผ้าพลาสติกหรือถุงพลาสติกที่สะอาด ขนาดใหญ่กว่าหน้าเล็กน้อย
-กะละมังขนาดไม่ใหญ่นัก 1 ใบ
-น้ำอุ่นจัดๆ (ไม่ใช่น้ำเดือด)
วิธีประคบ เอา น้ำอุ่นจัด ๆ ใส่อ่าง แช่ผ้าขนหนู 2-3 ผืนลงไปสักครู่ แล้วเอาขึ้นมา 1 ผืน บิดพอไม่ให้มีน้ำไหลหยดออกมาจากผ้าเวลาประคบ พับให้ได้ตามความยาวของรูปซีกหน้า แล้วประคบดานที่เป็น ขณะประคบให้ปิดเปลือกตาข้างนั้นให้สนิท แล้วเอาผ้าพลาสติกหรือถุงพลาสติกปิดทับข้างบนผ้าขนหนูเพื่อไม่ให้ความร้อน หมดไปเร็วนัก เมื่อความร้อนค่อยลดลงให้เปลี่ยนเอาผ้าขนหนูผืนใหม่ที่แช่อยู่ในน้ำอุ่นจัด ขึ้นมาประคบแทนด้วยวิธีการเหมือนเดิม ทำซ้ำๆ กันเช่นนี้ รวมเวลาทั้งหมดประมาณ 20-30 นาที แล้วซับหน้าให้แห้ง
2. การนวดหน้า
เมื่อประคบหน้าเสร็จ เริ่มนวดหน้าด้วยตนเอง โดยยืนอยู่หน้ากระจกส่องหน้า
วิธีนวด
-วาง สันมือและบางส่วนของฝ่ามือที่แก้มทั้งสองข้างให้แนบสนิท แล้วเคลื่อนมือเป็นวงกลม เริ่มจากเคลื่อนเข้าหาจมูกขึ้นข้างบนไปทางลูกตา และออกข้างนอกไปทางหูแล้วลงข้างล่าง ทำซ้ำ ๆ กันประมาณ 40-50 รอบ ระหว่างที่เคลื่อนมือผิวแก้มจะติดไปกับมือด้วย ต้องให้รู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวอยู่ใต้ผิวหนัง ถ้ามือเราไปถูขัดสีกับผิวหนังมาก ๆ จะเหมือนกับเวลาถูขี้ไคล แล้วรู้สึกร้อนแสบบนผิวหนัง ไม่ได้ประโยชน์ในการรักษาหน้าเท่าที่ควร แรงกดเวลานวดจะต้องไม่น้อยเกินไปและไม่มากจนทำให้เจ็บและหน้าช้ำ แต่จะต้องพอดี หลังจากนวดเสร็จหน้าจะแดงขึ้น ถ้าหน้าไม่แดงก็ไม่ได้ผล แสดงว่าเราไม่สามารถช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดได้
ต่อไปเลื่อนมือมาวาง ที่ขมับทั้งสองข้าง แล้วนวดแบบเดียวกัน การหมุนเริ่มจากทิศทางเข้าหาตาขึ้นหน้าผาก ออกด้านนอก ลงมาข้างล่าง และวนเช่นเดิม ทำ 40-50 รอบ
-แล้วย้ายมาทำที่หน้าผาก ในทิศทางเข้าหากันตรงกลาง ขึ้นไปข้างบนเชิงผมออกข้างนอก ลงข้างล่างไปทางตา และวนเช่นเดิม ทำ 40-50 รอบเช่นกัน
ข้อควรทำ
ถ้า หากว่ากล้ามเนื้อข้างที่เสียพอมีแรงบ้าง ขณะนวดที่แก้มและหน้าผาก เมื่อหมุนมือขึ้นไปให้ทำท่ายิ้ม และเลิกหน้าผากตามไปด้วย จะเป็นการช่วยเสริมให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
3. การบริหารกล้ามเนื้อใบหน้า
หลัง จากการนวดหน้า ควรบริหารกล้ามเนื้อหน้ากระจก ระหว่างทำ ให้มองกระจกไปด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าทำถูกต้อง การบริหารทำทีละมัด มัดละ 5 ครั้ง โดยเกร็งกล้ามเนื้อเต็มที่แล้วปล่อยให้พักถือว่าเป็น 1 ครั้ง เมื่อทำครบทุกมัดแล้วเริ่มต้นทำใหม่อีก ควรทำให้บ่อย ๆ เพราะปกติแล้วคนเราแสดงสีหน้าอยู่เกือบตลอดเวลา
ในการบริหารทุกท่า ถ้ากล้ามเนื้อซีกที่เสียยังทำงานไม่ได้ ให้ใช้มือช่วยพยุงทำในทิศทางเดียวกับการหดตัวของกล้ามเนื้อ โดยดูเปรียบเทียบกับข้างที่ปกติ
ท่าบริหารคือ
(1) เลิกหน้าผาก
(2) ขมวดคิ้ว
(3) หลับตาให้แน่นแล้วลืมตา
(4) ย่นจมูก
(5) หัวเราะเห็นฟันแล้วหุบ
(6) ยิ้มเหยียดมุมปากไม่เห็นฟันแล้วปล่อย
(7) ทำปากจู๋บีบเข้าหากันให้แน่น
(8) ผิวปาก
(9) อมลมไว้ในกระพุ้งแก้มทั้ง 2 ข้าง โดยไม่ให้ลมรั่วออกทางมุมปากข้างที่เสีย และให้ปลายแหลมตรงกลางของริมฝีปากอยู่ในแนวกึ่งกลางหน้า อย่าให้เบี้ยวไปข้างเดียว
(10) หุบปาก ดูดน้ำลายอย่างแรงเพื่อให้ด้านในของแก้มกดทับฟัน แล้วปล่อย (ไม่ใช่เอามือไปกดแก้มให้ติดกับฟัน)
(11) หัดพูดคำว่า อุ อะ โอะ โอ บ่อย ๆ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++