รีวิวครีมหน้าเด้ง ชุดครีมหน้าเด้ง มหน้าเด้งระวัง 'โรคไต'


983 ผู้ชม


รีวิวครีมหน้าเด้ง ชุดครีมหน้าเด้ง มหน้าเด้งระวัง 'โรคไต'
โจ๋นิยมครีมหน้าเด้งระวัง 'โรคไต'

รีวิวครีมหน้าเด้ง ชุดครีมหน้าเด้ง มหน้าเด้งระวัง
แพทย์ผิวหนังแฉวัยรุ่น-วัยทำงานเสพติดครีม หน้าเด้งหรือไวท์เทนนิ่ง เหตุกลัวไม่สวย หน้าไม่ใส ส่งผลข้างเคียงทำให้เป็นโรคไต เพราะ มีส่วนผสมของสารสเตอรอยด์และสารปรอท เผยมียาตัวใหม่ฤทธิ์แรงกว่า แถมยังแพงกว่า แค่ 10-15กรัม ราคาสูงถึง 800-1,800บาท แพทยสภาชี้โทรทัศน์ดาวเทียมรวมทั้งเคเบิลทีวี โฆษณาชวนเชื่อเอาดารา บุคคลที่มีชื่อเสียงมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ หลอกลวงผู้บริโภค ปีที่ผ่านมาดำเนินคดีทั้งหมอจริง-หมอปลอมไปแล้วกว่า 400คดี

เมื่อ วันที่ 1 มี.ค. สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย จัดเสวนาเรื่อง “เหรียญ 2ด้านของผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเสริมความงาม ที่ประชาชนต้องรู้” โดย นพ.ชูชัย ตั้งเลิศสัมพันธ์ อนุกรรมการประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันวัยรุ่นและวัยทำงานนิยมใช้ครีมหน้าขาวหรือไวท์เทนนิ่งกันมาก เนื่องจากขาดความมั่นใจกลัวว่าตนเองจะหน้าไม่ขาว ไม่สวยตามค่านิยมของคนเอเชีย และกระแสโฆษณาของสังคม ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์หน้าขาวหรือไวท์เทนนิ่งขึ้นมากมาย เพราะคิดว่าใช้แล้วไม่เกิดอันตราย หาซื้อได้ง่าย ทั้งที่ขายอย่างถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย แม้กระทั่งผลิตภัณฑ์บางประเภทได้รับการจดทะเบียนจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แต่ก็เป็น อย.ปลอม ที่สำคัญผลิตภัณฑ์ประเภทขายตรงน่ากลัวมาก เพราะซื้อขายกันจำนวนมากๆ และมีผู้ใช้มาก โดยไม่รู้ว่าครีมหน้าขาวส่วนใหญ่มีส่วนผสมของยาสเตอรอยด์ ที่มีส่วนผสมของสารปรอท ใช้แล้วมีผลข้างเคียงคือ การแพ้ยา ระคายเคือง เมื่อสะสมเป็นจำนวนมากจะเกิดพิษต่อไตได้ ทั้งนี้ ผู้ใช้ครีมหน้าขาวที่มีส่วนผสมของสารสเตอรอยด์ เมื่อใช้ในระยะแรกจะได้ผลหน้าจะเรียบ เมื่อได้ผลก็ต้องใช้ต่อไปเพื่อคงความหน้าเรียบไว้และต้องใช้ยาในปริมาณมาก ขึ้นและตัวยาแรงขึ้น จนไม่สามารถหยุดใช้ได้ กลายเป็นการติดยา และเมื่อหยุดใช้ผิวหนังจะเกิดการอักเสบไม่สามารถออกแดดได้

นพ.ชู ชัยกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ที่น่าเป็นห่วงคือ ปัจจุบันมียาไวท์เทนนิ่งตัวใหม่ที่ไม่ใช้สารสเตอรอยด์เป็นส่วนผสม แต่จะมีส่วนผสมจากสารที่รุนแรงขึ้นคือ สาร Protopic และ Elidel ขณะนี้มีวางจำหน่ายแล้ว เพียงแต่ยังไม่แพร่หลาย เนื่องจากมีราคาแพง ยาปริมาณ 10-15กรัม จะมีราคาระหว่าง 800-1,800บาท และมีผลข้างเคียงต่อผิวหนังรุนแรง ส่วนการควบคุมทำได้ลำบาก เพราะระบบสาธารณสุขของประเทศไทยยังไม่เข้มแข็ง

ด้าน พญ.อรยา กว้างสุขสถิตย์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากสถิติของสถาบันแพทย์ผิวหนังพบว่าสิวเป็นโรคที่พบเป็นอันดับ 1และคนไข้ส่วนใหญ่มักนิยมซื้อยาตามร้ายขายยาใช้เองมากกว่าการมาพบแพทย์ โดยเฉพาะการไปซื้อยาโรแอคคูเทน ซึ่งมีกรดวิตามินเอขนาดสูงมารับประทานเอง โดยเชื่อว่าเป็นยาวิเศษสามารถรักษาสิวได้ทุกชนิด กินแล้วนอกจากรักษาสิวได้แล้วยังหน้าใส ทั้งยังมีการใช้ยาอย่างพร่ำเพรื่อเนื่องจากหาซื้อได้ง่าย ทั้งๆ ที่เป็นยาซึ่งสั่งจ่ายได้เฉพาะแพทย์เท่านั้น ทำให้ผู้ป่วยกลายเป็นโรคตับผิดปกติ ไขมัน และระดับน้ำตาลในเส้นเลือดสูง มีอาการปวดศีรษะรุนแรงจากความดันในสมองสูง ปวดกระดูก ลำไส้ใหญ่อักเสบจากการขาดเลือด ทางด้านจิตใจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า นอกจากนี้ ในกรณีที่ตั้งครรภ์มีผลให้ทารกพิการ 100เปอร์เซ็นต์ได้

นพ.สุทัศน์ ดวงดีเด่น อนุกรรมการจริยธรรม กล่าว ว่า สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญมากในการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ด้านสาธารณสุข แต่ขณะเดียวกันก็มีสื่อมวลชนอีกกลุ่มหนึ่งโฆษณาเกินจริงและให้ข้อมูลไม่ถูก ต้องผ่านสถานีวิทยุชุมชนถึง 7,600สถานีและโทรทัศน์ดาวเทียม รวมทั้งเคเบิลทีวีจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะโฆษณาขายผลิตภัณฑ์เสริมความงาม อาหารเสริม มีการใช้แพทย์ ดารา พิธีกร ที่มีชื่อเสียงมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ทั้งๆที่บุคคลดังกล่าวไม่เคยใช้ผลิตภัณฑ์เสริมความงามเลย แต่มาโฆษณาให้เพราะผลประโยชน์เรื่องอื่น ทำให้ประชาชนแยกแยะได้ยากและหลงเชื่อ เมื่อใช้ตามแล้วไม่ได้ผลทำให้ผู้บริโภคเดือดร้อน ทั้งนี้ ในปี 2554แพทยสภาได้ดำเนินคดีกับแพทย์และบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นแพทย์เชี่ยวชาญ ด้านผิวหนัง แต่ความจริงคือเรียนหมอมาทางไปรษณีย์จากต่างประเทศ แต่ไม่ได้เป็นหมอที่เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและไม่ได้รับการยอมรับเป็นแค่หมอ ทางไปรษณีย์ กว่า 400คดี ทั้งหมอจริงและหมอไปรษณีย์ใช้สื่อโทรทัศน์ดาวเทียมและเคเบิลทีวีโฆษณาอวด อ้างสรรพคุณตัวยาและคลินิกของตนเองซึ่งไม่ได้มาตรฐานถือว่ามีความผิด ที่สำคัญปัจจุบันในประเทศมีแพทย์ด้านผิวหนังเพียง 477 คน และในจำนวน 477 คน มี 50-60 คน ที่ไม่ได้ประกอบวิชาชีพแพทย์แล้ว ทั้งนี้ไม่อยากให้คนไทยโดนหลอก หากเจอการโฆษณาชวนเชื่อให้แจ้งมาที่แพทยสภาได้ทันที

ที่มา : เว็บไซต์ scimath

อัพเดทล่าสุด