แพทย์เตือนใช้ 'ฮัลโหล' เสี่ยงสูญเสียการได้ยิน


694 ผู้ชม


แพทย์เตือนใช้ 'ฮัลโหล' เสี่ยงสูญเสียการได้ยิน

แพทย์เตือนใช้
รศ.นพ.ภาคภูมิ สุปิยพันธุ์ ประธานราชวิทยาลัยโสต สอ นาสิก แห่งประเทศไทย กล่าวว่า เท่าที่ผ่านมา ยังไม่มีการวิจัยที่บ่งชี้ชัดเจนว่าการใชโทรศัพท์ส่งผล กระทบต่อหูและสุขภาพของผู้ใช้อย่างไร แต่มีแนวโน้มทำให้สูญเสียการได้ยิน เนื่องจากในการใช้โทรศัพท์ ซึ่งบางครั้งมีเสียงดังมากจะทำลายระบบเซลล์ประสาทหูชั้นในจนเกิดความเสื่อม ส่วนกรณีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์ส่งผลต่อระบบประสาทหูหรือไม่นั้น อาจารย์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการวิจัยพบว่า แม้ยังไม่สามารถบ่งชี้ชัดเจนได้ แต่มีแนวโน้มอาจเป็นต้นเหตุหนึ่ง จำเป็นต้องอาศัยการวิจัยต่อเนื่องและเก็บข้อมูลคนไข้เพิ่มมากขึ้น

รศ.นพ.ภาคภูมิ กล่าวอีกว่า การที่ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือมีอาการปวดหูนั้น เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ คือ 1.การใช้โทรศัพท์ในลักษณะกดแนบแน่นกับหูเป็นเวลานาน เกิดการอักเสบของกระดูกใบหูทำให้เจ็บปวด 2.การใช้สมอลทอล์กหรือบลูทูธด้วยการเสียบเข้าช่องหูเพื่อฟังเสียงแทนการใช้ โทรศัพท์แนบหูโดยตรงจะเกิดอาการเจ็บ เพราะจะเป็นการกดระบบประสาทในบริเวณนั้นและเนื้อเยื่อมีการเจ็บเป็นแผลได้ และ 3.การเปิดเสียงโทรศัพท์ที่มีความดังมากๆ จะปวดหูได้เช่นกัน โดยเฉพาะในคนไข้ที่มีปัญหาประสาทหูเสื่อมมาก่อนเนื่องจากระดับความดังของ เสียงที่ได้ยินจะมากกว่าคนปกติทั่วไป

"การ ใช้โทรศัพท์แต่ละครั้งควรใช้แต่พอสมควร ไม่ควรเกิน 30 นาทีต่อครั้ง เพราะหากนานจะทำให้เกิดแรงกดที่กระดูกใบหูทำให้ปวดหูได้ การใช้สมอลทอล์กหรือบลูทูธควรสลับเปลี่ยนข้างของการเสียบเข้าช่องหู ไม่ควรเสียบหูใดหูหนึ่งหูเดียว ที่สำคัญอย่าเปิดเสียงดังเกินไป หรือเร่งเสียงมากทำให้สูญเสียการได้ยินได้ ส่วนเรื่องที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทำลายระบบประสาทหูและการก่อให้เกิดมะเร็ง สมองยังไม่มีรายงานทางวิชาการที่แน่ชัด" รศ.นพ.ภาคภูมิกล่าว และว่า คนไข้ที่มาพบแพทย์ด้วยอาการปวดหูส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ ได้แก่ 1.การแคะหูจนทำให้ผิวหนังช่องหูอักเสบเป็นฝี หรืออักเสบรุนแรง 2.มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในหู 3.อวัยวะอื่นเป็นโรคเช่น ปวดฟันจนปวดร้าวมาถึงหู, ทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน, ข้อต่อขากรรไกรอักเสบ และการติดเชื้อไวรัสจนเซลล์ประสาทที่เลี้ยงช่องหู ใบหูอักเสบ ทั้งนี้ ผู้ที่มีอาการปวดหูเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แล้วอาการปวดหายไป ไม่น่าเป็นห่วง แต่สำหรับผู้ที่มีอาการปวดแล้วหายแล้วอีก 30 นาที-1 ชั่วโมงกลับมาปวดใหม่ หรือปวดเรื่อยๆควรไปพบแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีอาการอื่นร่วมด้วยอาทิ หูอื้อ ได้ยินน้อยลง น้ำหนวกไหล มีเสียงดังในหู หรือเวียนหัวไม่ควรนิ่งนอนใจเพราะเป็นสัญญาณ บ่งบอกว่าเป็นโรคหูค่อนข้างชัดเจน

ที่มา : เว็บไซต์ scimath

อัพเดทล่าสุด