สามเหตความดันต่ำ ความดันต่ำ ควรกินอะไร รักษาความดันต่ำ


1,985 ผู้ชม


สามเหตความดันต่ำ ความดันต่ำ ควรกินอะไร รักษาความดันต่ำ

            สามเหตความดันต่ำ

ความดันโลหิตต่ำ

                โรคความดันโลหิตนั้นไม่ได้มีแค่ความดันโลหิตสูง เท่านั้น แต่ภาวะความดันโลหิตต่ำก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง  เพราความดันต่ำจะทำให้คุณเวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย อ่อนแรง เป็นลมได้ง่าย  และมีอาการวิงเวียนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปลี่ยนท่าจากท่านอน มาเป็นยืนหรือนั่ง

สาเหตุของภาวะความดันโลหิตต่ำ

§ สาเหตุส่วนใหญ่ของภาวะความดันโลหิตต่ำ คือ ภาวะขาดสารอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกโปรตีน วิตามินซี วิตามินบี  ทำให้เนื้อเยื่อรอบๆผนังหลอดเลือดแดงไม่แข็งแรง และคลายตัวมากเกินไป

§ การสูญเสียโลหิต ทั้งแบบกะทันหัน เช่นอุบัติเหตุ หรือการสูญเสียโลหิตแบบเรื้อรัง เช่น บาดแผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้หรือที่ไต

§ การสูญเสียน้ำ เช่น เหงื่อ  ท้องเสีย

§ การติดเชื้อรุนแรง

§ โรคหัวใจ

§ การตั้งครรภ์

§   ภาวะซึมเศร้า

            การบำบัดภาวะความดันโลหิตต่ำ

Ø          การดื่มน้ำคั้นบีทรูทสด วันละ1-2 แก้ว สามารถช่วยปรับความดันได้เป็นอย่างดี

Ø          รับประทานอาหารที่มีโปรตีน วิตามินบี และวิตามินซีอย่างเพียงพอ เพราะอาหารเหล่านี้จะกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนต่อมหมวกไต ช่วยในการปรับระดับความดันโลหิตให้สูงขึ้น

Ø          การอาบน้ำหรือการแช่ตัวในน้ำเกลือ Epsom (เกลือแมกนีเซียมซัลเฟต)  โดยละลายเกลือกับน้ำในอัตราส่วน 1: 1   เกลือชนิดนี้มีขายทั่วไปตามร้านขายยา และนิยมใช้แช่ตัวในขบวนการล้างพิษอีกด้วยเนื่องจากเกลือชนิดนี้สามารถช่วยบรรเทาอาการคัน อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และช่วยชะล้างสารพิษ  สำหรับผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำ การแช่ตัวในน้ำเกลือ Epsom ประมาณ 10 – 20 นาทีก่อนนอน จะช่วยปรับความดันให้สูงขึ้น

Ø          นำลูกเกด 32 เม็ดมาแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน หลังจากนั้นเมื่อตื่นเช้ามา ให้เคี้ยวลูกเกดทีละเม็ดร่วมกับการดื่มน้ำ

Ø          บดใบกระเพรา 10 –15 ใบมาบดและผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา รับประทานเมื่อตื่นนอนตอนเช้า

Ø          โยคะ  ท่าโยคะบางท่าสามารถช่วยปรับสมดุลความดันได้ดี ในกรณีที่มีปัญหาความดันโลหิตต่ำ

1.    ท่าshoulder stand   


เริ่มจากนอนหงายราบกับพื้น วางมือคว่ำไว้ข้างลำตัว   หายใจเข้าพร้อมกับออกแรงวางมือไว้ที่พื้นพร้อมกับดันขาขึ้นจากพื้น   ค่อยๆยกสะโพกและหลังขึ้นจากพื้น   ค่อยๆหายใจออกพร้อมกับขยับมือจากพื้นมาวางพยุงที่หลังไว้   ค่อยๆปรับให้ขาและหลังตรงอยู่ในแนวเดียวกัน  จะรู้สึกว่าคางสัมผัสกับอยู่บริเวณคอหอย  หายใจเข้า-ออกลึกๆ เป็นจังหวะ

2.    ท่า plough

เป็นท่าต่อเนื่องจากshoulder stand  คือหลังจากที่ค้างให้แผ่นหลังและขาอยู่ในระนาบเดดียวกันในแนวตั้งสักพัดแล้ว เราจะค่อยๆวางขาลงที่พื้น ( เคลื่อนขาผ่านศีรษะไป) แล้ววางปลายเท้าลงที่พื้นโดยที่ขาทั้ง2ข้างอยู่ในท่าเหยียดตรง

3.    การฝึกหายใจ  มีผลต่อสมดุลของความดันโลหิต วิธีนี้สามารถฝึกได้ทั้งผู้ที่มีความดันโลหิตสูงและความดันต่ำ

โยคะ เป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง ซึ่งมีทุกท่าทางการเคลื่อนไหว มีความสัมพันธ์กับการหายใจ  จะเป็นการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ มีจังหวะ และรวบรวมสมาธิไว้ ณ จุดหนึ่ง  โดยแต่ละท่าจะเป็นการยืดและเหยียดกล้ามเนื้อทั้งสองข้าง  ผู้ฝึกจะมีความเชื่อว่าลมหายใจเป็นแหล่งกำเนิดของพลังงานทั้งหลายที่ร่างกายนำไปใช้   ดังนั้นการหายใจขณะฝึกโยคะจะเป็นการหายใจลึกๆ ช้าๆ เป็นจังหวะ และเมื่อหายใจเข้าสุดแล้วจะกลั้นลมหายใจไว้ขณะหนึ่งก่อนที่จะหายใจออกอย่างช้าๆและเป็นจังหวะเช่นกัน   โยคะจึงจัดเป็นศาสตร์ที่คงไว้ซึ่งความสมดุลระหว่างร่างกายและจิตใจ

การฝึกหายใจอย่างสมบูรณ์ สามารถฝึกด้วยวิธีการง่ายๆ ดังนี้

v   เริ่มจากนอนหงายหน้า วางมือไว้บนท้อง     ขณะหายใจเข้าทางจมูก ให้สังเกตว่าหน้าท้องมการพองขึ้น โดยดูจากนิ้วที่แยกห่างออกจากกัน  ค่อยๆปล่อยลมหายใจออก

v   เลื่อนมือมาไว้ที่กระดูกซี่โครง  ตอนนี้ให้หายใจเข้าแล้วสังเกตการขยายตัวของกระดูกซี่โครงแทน โดยดูจากนิ้วที่แยกห่างออกจากกัน  ค่อยๆปล่อยลมหายใจออก

v   เลื่อนมือมาวางไว้ที่คอ  หายใจเข้าโดยพยายามใช้หน้าอกช่วงบนเท่านั้น  จะสังเกตเห็นว่านิ้วจะถือยกสูงขึ้นขณะหายใจเข้า  และค่อยๆปล่อยลมหายใจออก

v   วางมือทั้ง 2 ข้างไว้ข้างลำตัว โดยหงายมือขึ้น  และทำการหายใจทั้ง 3 ขั้นที่ผ่านมา  เริ่มจากหายใจเข้าให้หน้าท้องพองขึ้น หายใจออก  จากนั้นใช้กล้ามเนื้อกะบังลม และกล้ามเนื้อหน้าอกตามลำดับ

สมดุลของการหายใจ (นาดิ โสดานา)

                นาดิ โสดานา เป็นศาสตร์หนึ่งที่พัฒนามาจากโยคะประเภทปราณยามา  ซึ่งเป็นการฝึกหายใจโดยตรง  เป็นการหายใจเข้า-ออกด้วยรูจมูกข้างเดียว  ซึ่งจะส่งผลถึงระบบประสาทและสร้างความสมดุลในการทำงานของสมองซีกซ้ายและขวา

                การฝึกหายใจด้วยวิธีนี้ ควรทำในช่วงเช้าและช่วงเย็น ครั้งละ 5 นาที ซึ่งในการฝึกนั้นไม่ต้องกลั้นลมหายใจ   สำหรับวิธีการฝึก มีขั้นตอนดังนี้

v   นั่งหลังตรง วางขาทั้ง 2 ข้างราบกับพื้น  หลับตา ทำใจให้ผ่อนคลาย

v   วางมือขวาไว้บนสันจมูก โดยให้นิ้วโป้งสัมผัสบนจมูกข้างขวา  ส่วนนิ้วกลางและนิ้วนาง สัมผัสกับจมูกด้านซ้าย

v   ข้อศอกขวาอยู่ชิดลำตัว (อยู่ในท่าที่จะไม่ทำให้เมื่อยแขน )  อย่าวางแขนบนพนักเก้าอี้

v   ใช้นิ้วโป้งปิดรูจมูกข้างขวาและหายใจออกด้วยรูจมูกข้างซ้าย  แล้วหายใจเข้าด้วยรูจมูกข้างซ้าย

v   ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางปิดรูจมูกข้างซ้ายและหายใจออกด้วยรูจมูกข้างขวา   แล้วหายใจเข้าด้วยรูจมูกข้างขวา

หมายเหตุ  คุณไม่จำเป็นต้องหายใจลึกๆ เพียงแค่หายใจช้าๆก็พอ                                                    

v   ทำตามขั้นตอนดังกล่าวประมาณ 5 นาที  หลังจากนั้นปล่อยแขนพัก นั่งหลับตาอีกประมาณ 1-2 นาที

สำหรับผู้ที่ฝึกใหม่ ในตอนแรกอาจจะรู้สึกหมุนศีรษะได้บ้าง และอาการดังกล่าวจะค่อยๆ ดีขึ้น

  เรียบเรียง โดยบริษัท กู๊ดเฮลท์ (ประเทศไทย) จำกัด 

             Link    https://www.goodhealth.co.th/

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


             ความดันต่ำ ควรกินอะไร

- ความดันคืออะไร
ความดันโลหิต คือ แรงดันของเลือดภายในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย มีการกำหนดค่าอยู่สองค่าคือ ค่าSystolic Blood Pressure SBP (เรียกไทยๆว่าความดัน"ตัวบน")
เป็นความดันเลือดขณะที่หัวใจบีบตัว เป็นช่วงที่แรงดันในเส้นเลือดสูงสุด

ค่า Diastolic Blood Pressure DBP (เรียกไทยๆว่าความดัน"ตัวล่าง") เป็นความดันเลือดขณะที่หัวใจคลายตัว เป็นช่วงที่แรงดันในเส้นเลือดต่ำสุด

นึก ภาพคนโดนตัดคอ เลือดที่พุ่งปรี๊ดขึ้นฟ้าสูงสุดคือจังหวะของSBP และช่วงที่เลือดไหลปรี่ก่อนที่จะพุ่งขึ้นอีกทีก็คือ DBP ...... นึกภาพไม่ออกใช่ไหมครับ ผมก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้เข้าใจ แต่ผู้อ่านหลายๆท่านคงจะอธิบายได้ (ฝากด้วยแล้วกัน..ขอบคุณล่วงหน้าครับ)

ความ ดัน(โลหิต)สูง ก็คือ ค่าความดันที่ทางการแพทย์ถือว่าสูงเกินไป ซึ่งเมื่อสูงเกินค่าหนึ่งเป็นเวลานานๆก็จะทำให้อายุสั้นลงจากการเป็นโรคหัว ใจโรคไตโรคหลอดเลือดสมอง (ถ้าอยากรู้ที่มา ลองถามหมอที่คุณรู้จักถึง Framingham studyสิครับ) อาจารย์แพทย์บางท่านไม่ใช้คำว่า โรคความดันสูง แต่ใช้คำว่า ภาวะความดันสูงเนื่องจากโดยปกติภาวะความดันสูงมักไม่ก่ออันตรายทันที (ยกเว้นสูงมากๆหรือมีโรคอื่นอยู่ก่อน)

- ความดันต่ำล่ะ
ในทางกลับกัน ความดันที่ต่ำกว่าปกติสามารถก่อผลเสียอย่างทันทีได้มากมาย เนื่องจากอวัยวะสำคัญหลายชนิดต้องการเลือดและความดันเลือดในระดับหนึ่งจึง จะทำหน้าที่ได้ดี เมื่อความดันต่ำลงมาก อวัยวะต่างๆก็จะเริ่มหยุดทำงานที่สำคัญๆได้แก่ ไต ตับ หัวใจ สมอง โดยเฉพาะสมองที่จะก่อให้เกิดอาการหน้ามืดเป็นลมหมดสติ และในที่สุดอาจจะเสียชีวิตได้ถ้าไม่ได้แก้ไขสาเหตุของความดันต่ำ อาการนี้ทางการแพทย์เรียกว่าShock

สาเหตุที่พบแบ่งตามลักษณะการเกิดและการรักษาได้แก่
Hypovolumic shock ช๊อคความดันต่ำจากการเสียเลือดหรือเสียน้ำจากร่างกายมากๆ พบในอุบัติเหตุ หรือการติดเชื้อบางอย่าง(ท้องร่วง)
Distributive shock เกิดช๊อคความดันต่ำจากการที่เส้นเลือดทั่วร่างกายขยายตัว จนปริมาณเลือดในร่างกายดูเหมือนมีน้อยลง(เมื่อเทียบกับพื้นที่ๆเพิ่มขึ้น) พบในการแพ้อาหารยาแมลง การกระทบกระเทือนทางระบบประสาทอย่างรุนแรง และการติดเชื้อในกระแสโลหิต
Cardiogenic shock ความดันต่ำช๊อคจากการที่หัวใจทำงานแย่ลง พอตัวปั๊มเลือดทำงานแย่ ความดันเลือดก็ลดลง พวกนี้เจอในโรคหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจวายทั้งหลาย
สามตัวนี้ ถ้าปล่อยไว้ ตาย... (บางทีรักษาไม่ไหวก็ตาย)
Symptomatic hypotension อื่นๆ ได้แก่โรคหรือภาวะใดๆที่ทำให้ร่างกายเกิดความดันต่ำขึ้นชั่วขณะ มีหลายๆตัว อันตรายบ้างไม่อันตรายบ้าง แต่อาการที่ตรงกันก็คือจะมีอาการหน้ามืด เป็นลม เหงื่อแตก ใจเต้นเร็ว หมดสติหรือเกือบหมดสติ
ดังนั้น ถ้ามีความดันต่ำเกิดขึ้นจริง อย่างน้อยๆก็ควรจะหน้ามืด หัวใจเต้นเร็ว หรือหมดสติครับ

-ความดันต่ำแบบไทยๆ
จากที่ได้บอกมาแล้วว่าอาการความดันต่ำทางการแพทย์เป็นอย่างไร คราวนี้มาดูความดันต่ำแบบไทยๆบ้าง
ความดันต่ำทางการแพทย์ เมื่อเลือดไปเลี้ยงสมองน้อย ก็จะมีอาการเริ่มที่วิงเวียน ตาลาย หน้ามืด เป็นลม ใจเต้นเร็ว
มอง แบบไทยๆ อาการวิงเวียน ตาลาย หน้ามืด ก็แปลว่าเป็นความดันต่ำ(ชัวร์) ... ตรรกเดียวกับ เสือมีสี่ขา สัตว์สี่ขาก็คือเสือ แม้ว่าจะร้องเมี้ยวๆกินปลาทูหูชี้วิ่งหนีหมาก็ตามที
ถ้าหากจะเอาให้ครบ ถ้วน กินไม่ได้นอนไม่หลับกระสับกระส่ายตาลายคล้ายจะเป็นลมขมในปากอยากอาเจียน เวียนหัวปวดกล้ามเนื้อ ฯลฯ ล้วนเป็นความดันต่ำได้ทั้งนั้นถ้าคนตรวจชวนเชื่อได้ดีพอ

-ที่มาและเส้นทางสู่การเป็นความดันต่ำ
มี คนไทยจำนวนไม่น้อยที่คิดหรือถูกบอกกล่าวว่าตนเองเป็นความดันต่ำ บางคนมารักษาที่รพ.หลังจากรักษากับหมอตามบ้านมาหลายปีซึ่งเมื่อเอายามาดูก็ ดูไม่ออกว่าเป็นยาอะไร บางคนตรวจแล้วก็ไม่พบว่าผิดปกติอะไร บางคนตรวจแล้วก็หาโรคเจอว่าเป็นโรคอื่นที่รักษาแล้วอาการดีขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นเหตุที่ทำให้เกิดการวินิจฉัยว่าเป็นความดันต่ำมีได้หลาย สาเหตุ
1. วัดความดันผิด ไม่ว่าเครื่องมือ ฝีมือ หรือวิธีการวัดความดัน ถ้าผิดจากปกติก็สามารถได้ค่าความดันผิดปกติได้
2. ความดันต่ำจริง พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ (งี้ชั้นก็แก่แล้วดิ - -") เนื่องจากร่างกายไม่ใหญ่โต ไม่ต้องการแรงดันเลือดมาก ความดันเลือดก็เลยต่ำ... แต่ต่ำโดยที่ไม่มีอาการอะไร เดินไปเดินมาใช้ชีวิตได้ปกติ ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องรักษาอะไร
3. เป็นโรคที่มีอาการเวียนหัวใจสั่นหน้ามืดใจไม่ดี หรืออาการอื่นๆ พี่แกเล่นบอกว่าเป็นความดันต่ำหมดทุกคน

การ รักษาของคนกลุ่มนี้ มักจะให้ยากินพวกยาวิตามินยานอนหลับยาสเตียรอยด์ หรือบางคนก็ให้ยาแก้หอบยาแก้หวัด(ซึ่งผลข้างเคียงคือความดันขึ้น) ยาฉีดก็มักจะมียานอนหลับวิตามินน้ำเกลือน้ำเปล่าหรือแม้กระทั่งการบูร (ตัวนี้ไม่คิดว่าจะได้เห็นแล้ว แต่ก็ยังเห็นญาติคนไข้ถือมาให้ดู)

ในคน ที่ร่างกายไม่ได้ผิดปกติ พอได้ยาเหล่านี้ไปกลับบ้านไปพักผ่อนนอนหลับก็ดีขึ้น ส่วนคนที่อาการดังกล่าวเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ พอเจอยาบางอย่างเข้าไปก็ยิ่งซ้ำเติมให้อาการหนักไปอีก

ดังนั้นข้อดี ของการรักษาแบบนี้คือหลายคนสบายใจ เพราะไปแล้วเจอโรคเจอการรักษา แต่ข้อเสียคือเสียเงินเสียทอง ถ้าโชคร้ายหนักๆอาจจะเสียชีวิต


-ถ้าโดนบอกว่าเป็นความดันต่ำ จะทำอย่างไร
เนื่อง จากผมเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน ดังนั้นก็อยากจะบอกว่าถ้าโดนทักแบบนี้ ก็ควรมาตรวจที่รพ. โดยบอกถึงสาเหตุที่ทำให้รู้สึกว่าร่างกายไม่ปกติ... ทำไมต้องไปหาหมอคนนั้น(ไม่ค่อยอยากจะเรียกว่าหมอเท่าไหร่นัก) และมีอาการอะไร

ที่ต้องทำอย่างนี้ เพราะว่าอาการเวียนหัวใจสั่นหน้ามืด ซึ่งเป็นอาการที่มักถูกเหมาว่าเป็นความดันต่ำนี้ ต้องไปแยกจากกลุ่มโรค หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจขาดเลือด กลุ่มโรคเส้นเลือดสมอง ความดันสูง โลหิตจาง ฯลฯ ซึ่งหากมัวแต่ไปกินยาความดันต่ำของหมอชาวบ้าน ก็จะทำให้เสียโอกาสในการรักษาและมีผลเสียตามมาอย่างมากมาย
ถ้าเป็นโรคอื่นๆทั่วไป ที่สามารถรักษาได้ ก็จะได้รักษาได้
หรือถ้าหมอหาไม่เจอ ก็จะได้สบายใจหรือหาการรักษาอื่นๆต่อไป

-หมอตรวจไม่เจออะไรเลย จะเป็นโรคนี้หรือเปล่า
ก็ ต้องบอกไว้ว่าใช่ว่าทุกคนที่มาตรวจที่รพ.ด้วย"โรคความดันต่ำ"จะเจอว่าเป็น โรค บางคนอาจจะเจอ ในขณะที่บางคนอาจจะตรวจไม่เจออะไรเลยไม่ว่าจะตรวจร่างกายหรือเจาะเลือดx- rayไปแล้ว

มีอยู่คนนึง (ซึ่งตั้งแต่ทำงานเป็นหมอมาก็มีคนนี้นี่แหละคนเดียวที่ถาม) ถามผมว่าจะเป็นโรคCFSหรือเปล่า ซึ่งรายนี้ง่ายที่จะบอกว่าไม่ใช่ เพราะตรวจเจอโรคจริงๆหลายโรค
เจ้าโรคCFSที่ว่ามีชื่อเต็มว่าChronic fatigue syndrome ในระบบการแพทย์ไทยสมัยก่อนไม่เคยมีสอน จนกระทั่งผมเรียนจบก็ยังไม่มีสอน ได้แต่อ่านเจอเอาในหนังสือหรืออินเตอร์เนท โดยสาระสำคัญคือมีน้ำตาลในเลือดต่ำและมีอาการอ่อนเพลียเบื่อหน่ายใจสั่นโดย ที่ตรวจไม่พบความผิดปกติอื่นๆ ฯลฯ

ขอเน้นว่าโรคนี้ไม่ควรที่จะไปตรวจเจอความผิดปกติอื่นที่อธิบายอาการผิดปกติได้
ดัง นั้นหากบังเอิญไปอ่านเจอมาว่าอาการที่คุณเป็น ไปเหมือนกับโรคCFSหรือโรคอื่นใดก็ตาม คุณก็ยังควรมาตรวจอยู่ดีว่าตกลงเป็นโรคนี้หรือเป็นโรคอื่น

เพราะอย่าง ไรเสียก็ตาม เจ้าโรค CFS นี้ การรักษาหรือลดอาการให้ดีขึ้นก็คือการ ลดอาหารพวกเนื้อสัตว์และแป้งขาวข้าวขาวทั้งหลาย เปลี่ยนไปกินปลาและข้าวกล้องธัญพืช ผักผลไม้ รวมทั้งการแบ่งเวลาออกกำลังและผ่อนคลายจิตใจ
ไม่ต้องใช้ยาครับ และพ่วงท้ายสามารถป้องกันโรคเบาหวานความดันไขมันหัวใจได้อีกด้วย

จาก... หมอแมว

                 Link    https://sesai.exteen.com/

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

            รักษาความดันต่ำ

ภาวะความดันต่ำที่เกิดจากภาวะขาดน้ำตาล ส่วนใหญ่เกิดจากการติดหวาน (ฟังดูแปลกแต่จริง)
ทั้งนี้เพราะการกินขนมหรือน้ำที่เป็นน้ำหวาน พลังงานที่ได้เข้าไปส่วนใหญ่จะเป็นไปในรูปของน้ำตาลเชิงเดี่ยว ที่ถูกย่อยดูดซึมได้เร็ว แต่ก็เผาผลาญได้รวดเร็วเช่นกัน เปรียบเสมือนใช้ฟางเป็นเชื้อจุดไฟ เมื่อกินน้ำตาลประเภทนี้เข้าไป ระดับน้ำตาลในเลือดจะขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ทำให้มีอาการสดชื่นอย่างรวดเร็ว แต่ระดับน้ำตาลที่ขึ้นสูงนี้จะอยู่ไม่นาน แล้วก็ลดระดับลงมาใกล้ปกติ
ในขณะที่ร่างกายจะตอบสนองต่อระดับน้ำตาลที่สูงขึ้นด้วยการหลั่งอินซูลินออกมา ซึ่ง Action ของอินซูลินนี้จะทำให้ระดับน้ำตาลลดต่ำลง
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ อินซูลินจะต้องใช้เวลาในการสร้างและหลั่งออกมา ถ้าเรากินน้ำตาลเชิงเดี่ยวที่เผาผลาญได้เร็ว กว่าอินซูลินจะออกมา น้ำตาลพวกนี้ก็ถูกใช้ไปหมดแล้ว แต่เมื่ออินซูลินออกมาก็จะกดระดับน้ำตาลที่กลับมาสู่ระดับปกติให้ลดต่ำลงไป มากกว่าปกติ จนมีอาการหน้ามืด ความดันต่ำได้ง่าย คนพวกนี้ก็จะต้องรีบหาอะไรหวานๆ ใส่ปาก ทำให้มีนิสัยกินบ่อยหิวบ่อยด้วยเหตุนี้เอง แต่โดยรวมก็ไม่ได้รู้สึกสดชื่นอะไร กลับจะทำให้เหนือ่ยเพลียได้ง่ายขึ้นด้วย
วิธีแก้ก็คือให้หันมากินน้ำตาลเชิงซ้อนซึ่งต้องใช้เวลาในการย่อยและดูดซึมก็จะช่วยแก้ปัญหาได้มาก
น้ำตาลเชิงซ้อน Complex Sugar ได้แก่พวก Polysaccharides (โพลีแซคคาไรด์) ซึ่งพบในพืชประเภทข้าว ถั่ว ผัก ตลอดจนเซลลูโลส

             Link   www.yahoo.com

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อัพเดทล่าสุด