วันแม่แห่งชาติ เรียงความวันแม่ กลอน4วันแม่ คำคมวันแม่


3,122 ผู้ชม


วันแม่แห่งชาติ เรียงความวันแม่ กลอน4วันแม่ คำคมวันแม่

            วันแม่แห่งชาติ

   

สนเทศน่ารู้ : วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม

   

      วันแม่แห่งชาติ เรียงความวันแม่ กลอน4วันแม่ คำคมวันแม่

ความเป็นมา
งานวันแม่จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2486 ณ.สวนอัมพร โดยกระทรวงสาธารณสุข แต่ช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไป เมื่อวิกฤติสงครามสงบลง หลายหน่วยงานได้พยายามให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง ต่อมาวันแม่ที่รัฐบาลรับรอง คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 แต่ก็ต้องหยุดลงอีกในหลายปีต่อมา เนื่องจากกระทรวงวัฒนธรรมถูกยุบไป ส่งผลให้สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ ซึ่งรับหน้าที่จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย ได้จัดงานวันแม่ขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2515
แต่จัดได้เพียงปีเดียวเท่านั้น จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้กำหนดวันแม่ขึ้นใหม่ให้เป็นวันที่แน่นอน โดยถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และกำหนดให้ดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ คือ ดอกมะลิ

 วันแม่แห่งชาติ เรียงความวันแม่ กลอน4วันแม่ คำคมวันแม่
ดอกมะลิ สัญลักษณ์ของวันแม่

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 พระนามเดิม หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เป็นพระธิดาองค์ใหญ่ของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล (ภายหลังได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น พลเอกพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ)กับ หม่อมหลวงบัว กิติยากร เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2475 ณ บ้านของพลเอกเจ้าพระยาวงศานุประพัทธ์ (ม.ร.ว.สท้าน สนิทวงศ์) และท้าววนิดาพิจาริณี บิดาและมารดาของหม่อมหลวงบัว กิติยากร ตั้งอยู่ที่ 1808 ถนนพระรามที่ 6 อำเภอปทุมวัน จ.พระนคร  ได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า "สิริกิติ์" มีความหมายว่า "ผู้เป็นศรีแห่งกิติยากร"

วันแม่แห่งชาติ เรียงความวันแม่ กลอน4วันแม่ คำคมวันแม่
ตราประจำพระองค์

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระภาดา (พี่ชาย) 2 องค์ และและพระขนิษฐภคินี (น้องสาว) 1 องค์ ดังนี้ หม่อมราชวงศ์กัลยาณกิติ์ กิติยากร (ชาตะ พ.ศ. 2472) หม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ กิติยากร (ชาตะ พ.ศ. 2473) และ หม่อมราชวงศ์หญิง บุษบา กิติยากร (ชาตะ พ.ศ. 2477)

ในระหว่างยังทรงพระเยาว์ สถานการณ์บ้านเมืองไม่สู้สงบนัก เนื่องจากเพิ่งพ้นจากช่วงของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ไม่นาน หม่อมเจ้านักขัตรมงคลต้องทรงออกจากราชการ รัฐบาลแต่งตั้งให้ไปรับตำแหน่งเลขานุการเอกประจำสถานทูตสยาม ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ส่วนหม่อมหลวงบัวซึ่งมีครรภ์แก่ ได้เดินทางไปสมทบหลังจากให้กำเนิดหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์แล้ว โดยมอบหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ให้อยู่ในความดูแลของบิดาและมารดาของหม่อมหลวงบัว ดังนั้นจึงต้องอยู่ไกลจากบิดามารดาตั้งแต่อายุน้อย บางคราวต้องเดินทางไปต่างจังหวัด เช่น พ.ศ. 2476 หม่อมเจ้าอัปสรสมาน กิติยากร พระมารดาของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล ได้ทรงรับนัดดาตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปอยู่ที่จังหวัดสงขลา ปลายปี พ.ศ. 2477 หม่อมเจ้านักขัตรมงคลทรงลาออกจากราชการแล้วกลับมาประเทศไทย จึงทำให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ซึ่งขณะนั้นอายุได้ 2 ปี 6 เดือน ได้กลับมาอยู่รวมพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว ณ ตำหนักบริเวณถนนกรุงเกษม ปากคลองผดุงกรุงเกษม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

การศึกษา
พ.ศ. 2479 เมื่อหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์มีอายุได้ 4 ขวบ ก็ได้เข้ารับการศึกษาครั้งแรกในชั้นอนุบาลที่โรงเรียนราชินี ทว่าในขณะนั้น แม้เหตุการณ์ด้านการเมืองภายในประเทศไทยจะสงบลง แต่สถานการณ์ระหว่างประเทศก็ไม่สงบ กล่าวคือ สงครามมหาเอเชียบูรพาเริ่มแผ่ขยายมาถึงประเทศไทย กรุงเทพมหานครถูกโจมตีทางอากาศหลายครั้งจนการคมนาคมไม่สะดวก พระบิดาจึงให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ เพราะอยู่ใกล้วังพระบิดา ได้เรียนที่นั่นตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จนจบชั้นมัธยมศึกษา หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ได้เรียนเปียโน ซึ่งเรียนได้ดีและเร็วเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังได้ศึกษาภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสด้วย
พ.ศ. 2489 ครั้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง หม่อมเจ้านักขัตรมงคลต้องเสด็จไปดำรงตำแหน่งรัฐทูตวิสามัญและอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มประจำสำนักเซนต์เจมส์ ประเทศอังกฤษ ทั้งนี้โดยได้ทรงพาครอบครัวทั้งหมดไปอยู่ด้วย ในเวลานั้นหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ มีอายุได้ 13 ปีเศษ และเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้ว
ขณะที่อยู่ในประเทศอังกฤษ หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ได้ศึกษาต่อทั้งวิชาภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส และวิชาเปียโนกับครูพิเศษ หลังจากนั้นไม่นาน พระบิดาย้ายไปเดนมาร์กและฝรั่งเศส ตามลำดับ ขณะที่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ก็ยังคงเรียนเปียโน และตั้งใจจะศึกษาต่อในวิทยาลัยการดนตรีที่มีชื่อเสียงของกรุงปารีส
ระหว่างที่อยู่ในประเทศฝรั่งเศส หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ได้มีโอกาสรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช (ขณะนั้นทรงศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์) ซึ่งพระองค์เสด็จประพาสกรุงปารีส โดยทางรถยนต์จากสวิตเซอร์แลนด์ เพราะประสงค์จะเลือกซื้อรถยนต์พระที่นั่งแทนคันเดิม และยังได้รับชมการแสดงดนตรีของคณะที่มีชื่อเสียงด้วย ในระหว่างที่เสด็จพระราชดำเนินมายังกรุงปารีส ก็ได้ประทับที่สถานทูตไทยประจำประเทศฝรั่งเศสเช่นเดียวกันกับนักเรียนไทยคนอื่นในสมัยนั้น ทั้งนี้เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงโปรดการดนตรีเป็นพิเศษ ขณะที่หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ก็สนใจศิลปะเช่นกัน ทำให้เกิดความความสัมพันธ์ขึ้น

ทรงหมั้น
วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2491 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งโดยมีหม่อมหลวงบัวและหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ เข้าเฝ้าฯ เยี่ยมพระอาการเป็นประจำ และในช่วงระยะเวลาที่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์อยู่เฝ้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่สวิตเซอร์แลนด์นั้น สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (พระนามในเวลานั้น) ได้ทรงรับเป็นธุระจัดการให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เข้าศึกษาในโรงเรียน Pensionnat Riante Rive [ต้องการแหล่งอ้างอิง] ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำแห่งหนึ่งของโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหายจากอาการประชวรแล้ว ก็ได้ทรงหมั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เป็นการภายในเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492
หลังจากทรงหมั้นแล้ว หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ยังคงศึกษาต่อ กระทั่ง พ.ศ. 2493 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินนิวัตพระนครเพื่อร่วมพระ ราชพิธีถวายพระเพลิงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระองค์ท่านโปรดฯ ให้หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ตามเสด็จพระราชดำเนินกลับมาด้วย

อภิเษกสมรส

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงสายสะพายนพรัตน์ราชวราภรณ์เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสขึ้น ณ วังสระปทุม และโปรดเกล้าฯ สถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์
หลังจากครองราชย์สมบัติอย่างกะทันหัน พระบาทสมเด็จพระหัวอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นในวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 และโปรดฯ ให้เฉลิมพระนามาภิไธย สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ เป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี หลังจากนั้นทั้งสองพระองค์ได้เสด็จฯ กลับไปยังสวิตเซอร์แลนด์เพื่อทรงรักษาพระองค์และทรงศึกษาต่อ แล้วเสด็จฯ กลับมาอีกครั้งในปี พ.ศ. 2495
พระราชโอรสธิดา
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชโอรส และพระราชธิดา 4 พระองค์ ดังนี้
1. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประสูติ ณ สถานพยาบาลมองซัวซี นครโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2494 ต่อมาได้ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์ (ปัจจุบัน ทรงพระนามว่า ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญา สิริโสภาพรรณวดี) เพื่อสมรสกับนายปีเตอร์ เลด เจนเซ่น ชาวอเมริกัน ทรงมีพระโอรส 1 องค์ และพระธิดา 2 องค์
2. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักราดิศรสันตติวงศ์ เทเวศรธำรงสุรบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดชภูมิพลนเรศวรางกูร กิติสิริสมบูรณ์ สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร ประสูติ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2495 ต่อมา ทรงได้รับการสถาปนา ขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฏราชกุมาร เมื่อ พ.ศ. 2515
3. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ ประสูติ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2498 ต่อมาทรงได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระอิสริยยศ เป็น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี เมื่อ พ.ศ. 2520
4. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประสูติ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ 4 กรกฏาคม พ.ศ. 2500 ทรงอภิเษกสมรสกับ เรืออากาศโท (ยศในขณะนั้น) วีระยุทธ ดิษยะศริน ทรงมีพระธิดา 2 พระองค์
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
เมื่อ พ.ศ. 2499 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ออกผนวชเป็นเวลา 15 วัน ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน และระหว่างที่ผนวช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในภายหลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามาภิไธยเป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ปีเดียวกัน
กิจกรรมต่าง ๆ ที่ควรปฏิบัติในวันแม่แห่งชาติ
ดอกมะลิ ดอกไม้สัญลักษณ์วันเเม่
1. ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน หน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ
2. ร่วมจุดเทียนชัยถวายพระพรแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
3. การประดับไฟเฉลิมพระเกียรติ และประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน
4. จัดกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับวันแม่ เช่น การจัดนิทรรศการ การแสดง การประกวดต่างๆ เพื่อรำลึกถึงพระคุณของแม่
5. การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศล
6. นำพวงมาลัยดอกมะลิไปกราบขอพรจากแม่

วันแม่แห่งชาติ เรียงความวันแม่ กลอน4วันแม่ คำคมวันแม่ 

บรรณานุกรม 
วันแม่แห่งชาติ : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี      
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 


           Link     https://www.lib.ru.ac.th/

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


               เรียงความวันแม่

เรียงความวันแม่เรื่อง หยดหนึ่งน้ำนม

 

เมื่อเกิดมาบนโลกใบ นี้จนเริ่มจำความได้จวบจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ความทรงจำเก่าๆ ที่ไม่เคยจะเลือนหายไป แม้กระทั่งปัจจุบันความรู้สึกนั้นยังคงหอมกรุ่นอยู่ในหัวใจ เหมือนดอกมะลิที่บานตลอดเวลา ไม่มีวันที่จะเฉาหรือสูญสลายไปกับกาลเวลา คล้ายน้ำชุ่มฉ่ำคลายร้อนเมื่อยามกระหาย ความรู้สึกนั้นมันช่างเป็นอะไรที่พิเศษเกินคำบรรยาย แต่น้ำใดเล่าจะหอมหวานชุ่มฉ่ำอบอุ่นในจิตใจได้เท่ากับน้ำนมที่กลั่นด้วยใจ ของแม่ที่ลูกนี้ได้ดื่มกินจนเติบใหญ่ อ้อมกอดที่ถนุถนอมสายใยรักที่เชื่อมโยงระหว่างกันและกัน บอกถึงความรักอันสูงสุดที่ใครจะได้รับ จวบจนก้าวแรกแห่งชีวิตด้วยแรงแห่งน้ำนมอันบริสุทธิ์ สองเท้าเล็กๆก้าวย่างอย่างไม่มั่นใจล้มลุกคลุกคลานตลอดทางช่างยากลำบากยิ่ง นัก ไม่นานสองมือที่อบอุ่นประคับประคองร่างกายที่บอบบางให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แล้วก้าวสำคัญก็ผ่านพ้นไปด้วยดี เหนื่อยเหลือเกิน ยามหลับใหลน้ำนมที่ดื่มกิน สองมือโบกพัดเอาความเย็นให้คลายร้อนตลอดเวลา ยอมอดหลับอดนอน คอยปกป้องคุ้มครองไม่ให้โดนทำร้ายจากสิ่งใด จนกระทั่งเด็กน้อยเติบใหญ่ซุกซนตลอดเวลา ผีเสื้อโบกโบยบินไปตามทุ่งหญ้า ท้องนาอันกว้างใหญ่ หิ้งห้อยกลางคืนส่องแสงรำไร สองปากพร่ำเตือนสอนสั่งให้ระวังอันตราย ยกกิ่งไม้เล็กๆคอยไล่ให้กลับบ้าน หิวเหลือเกิน ข้าวร้อนๆ น้ำพริกหอมกรุ่น ฟักแฟงแตงกวาเต็มจานน่ากินจนอิ่มท้อง แม่จ๋าเหนื่อยไหม หยาดเหงื่อที่ไหลตามหน้าพลันตกลงพื้น แต่รอยยิ้มก็ยังไม่หายไปจากใบหน้าที่งดงามในสายตาของลูกคนนี้ กาลเวลาผ่านไปช่างรวดเร็วเหลือเกิน จนวันนี้ดูเหมือนอะไรๆจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ร่างกายที่แข็งแรง เนื้อหนังที่เปล่งปลั่ง เริ่มเหี่ยวย่น เริ่มอ่อนแรงลงไปทุกที แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่และไม่เคยเปลี่ยนแปลงได้เลย คือ ความห่วงใยที่มีให้ต่อกันเสมอ เหมือนเป็นโซ่แห่งความผูกผันคล้องใจทั้งสองดวงไว้ให้เป็นดวงเดียว ถึงเวลาแล้วหนอที่ลูกต้องออกไปเผชิญโลกภายนอกทำงานหาเลี้ยงตัวเอง คำบอกกล่าว ดูแลตัวเองให้ดีนะลูก ยังคงวนเวียนอยู่ในใจของลูกเสมอ ลูกไม่เคยลืมคำที่พร่ำสอนสั่งที่แม่บอกไว้ เหนื่อยกายเหนื่อยใจเมื่อยล้าสักเพียงใด ขอดูรูปของแม่ก็พอมีแรงสู้ต่อไปในวันข้างหน้า แม้อนาคตยังไม่รู้เป็นเช่นไร ก้าวสำคัญและก้าวแรกที่แม่มอบให้นั้น จะคอยเป็นพลังให้ลูกก้าวต่อไปในอนาคต หยดหนึ่งน้ำนมขาวบริสุทธิ์ที่แม่กลั่นออกมาจากใจที่อยู่ในเลือดของลูกมิเคย เจือจางสูญสลายไปแต่อย่างใด แต่มันยังคงหมุนเวียนภายในร่างกายของลูกอยู่เสมอ คอยเป็นสิ่งเตือนใจในพระคุณที่ล้นเหลือ ที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นยามที่ได้คิดถึงจนถึงทุกวันนี้

     

เรียงความเรื่อง แม่ของฉัน

จากใจเด็กน้อยบนดอย
ที่มาจาก www.doneteen.com

๑๒ สิงหาคมเป็นวันแม่ ลูกแน่วแน่ตั้งใจจะกราบแม่
แม่คอยสอนอบรมคอยดูแล พระคุณแม่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใด
แม่ ของฉันอายู 52 ปี เป็นผู้หญิงที่พร้อมจะดูแลลูกจะดูแลครอบครัวแม่ของฉันไม่เคยมีความสุขใน ชีวิตเลยเจอแต่ปัญหาไม่เว้นแต่ละวันไม่ว่า
จะเคลียดเรื่องลูกชายลูก สาวและ โรคภัยที่มาเยือน แม่ต้องเคลียดต้องทนทุกข์ทรมาน ทุกวันนี้แม่ของฉันถูกพี่ชายด่าทุกวัน เวลาแม่พูดอะไรไม่ถูกใจพี่ชายก็จะต่อว่า ทุกเช้าทุกเย็นแม่จะคอยหาอาหารให้ลูกๆ และสามีกินทั้งๆที่ตัวเองป่วยแม่ก็ยังหาอาหาร และทำทุกอย่างแม่ต้องใช้เงินตัวเอง ที่พี่ชายที่เป็นสามเณรให้เพื่อไปหาหมอแต่ตัวเองกลับนำเงินไปซื้ออาหารให้ ลูกแม่รักลูกเท่าๆกัน และรักลูกมากแม้กระทั่งลูกทำผิดแม่ก็ยังให้อภัย มีวันหนึ่งพี่ชายของดิฉันเมาสุรากลับ มาโมโหใส่แม่มาอาราวาดจนแม่นอน ไม่หลับทั้งคืน เกือบจะฆ่าแม่แต่ดีพ่อมาช่วยทัน แม่ก็ยังให้อภัยและมีครั้งหนึ่งดิฉันหนีเรียนไปค้างบ้านเพื่อนพอดิฉันกลับมา ถึงบ้านถูกพ่อด่า แต่แม่กลับเข้ามากอดดิฉันปลอบใจและบอกว่าไม่เป็นไร แม่ต้องเลี้ยงลูก 5 คน ด้วยความยากลำบาก จนกระทั่งลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาว แต่ลูกกลับไม่ใยดีแม่สร้างแต่ปัญหาให้แม่กลุ้มใจ ขึ้นเสียงกับแม่ไม่เคยทำงานช่วยแม่ สร้างภาระให้แม่และยังใช้แม่ซักผ้า และลูกบางคนไม่กล้าจะพาแม่ไปไหนมาไหนเพราะอายและกลัวว่าแม่จะทำให้อับอาย เพราะว่าแม่เป็นกะเหรี่ยงพูดไม่ชัดทำตัวเชยๆ ตอนที่ดิฉันอยู่ประถมดิฉันก็คิดอย่างนั้นแต่พอดิฉันโตขึ้นดิฉันก็คิดได้ ถึงแม้ว่าแม่จะไม่สวยจะไม่ดีพอแต่แม่ก็เป็นผู้ให้กำเนิดเรามาอุ้มท้องเรามา ตั้ง 9 เดือนก็เปรียบเสมือนแม่ยกก้อนหิน 9 กิโล ถ้าหากเรายกก้อนหิน 9 กิโล คงจะลำบากแต่แม่ก็ทำได้เพราะว่าแม่อดทน แม่เป็นได้ทั้งเพื่อนทั้งพ่อทั้งครูและเป็นคนที่ให้ ความอบอุ่นความสุขแก่ลูก ถ้าหากเราไม่มีแม่อยู่ด้วยแล้วเราจะรู้สึกเสียดายและเสียใจที่ไม่ได้ตอบแทน พระคุณท่าน มีเด็กหลายคนที่กำพร้าแม่ที่ขาดความอบอุ่นแต่เรามีพร้อมทุกอย่างเราควรทำดี ให้แม่ตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่มีวันหนึ่งแม่ไปผ่า
ตัดแม่ต้องนอนโรง พยาบาลหลายคืน ทำให้ดิฉันทำกับข้าวไม่เป็น จำสูตรการทำอาหารที่แม่สอนไม่ได้และไม่รู้ว่าจะทำอะไรกิน พอแม่กลับมาดิฉันก็ทำกับข้าวเป็นเพราะแม่คอยเตือนและมีแม่คอยอยู่ข้างๆ กว่าเราจะได้ดีและโตมาถึงขนาดนี้แม่ต้องทุ่มเท ขนาดไหนแม่อยากให้ลูกเรียนสูงๆ แม่พยายามหาเงินเพื่อจะส่งลูกเรียนแม่ไม่อยากให้ลูกลำบากเหมือนแม่ แม่ส่งลูกเรียน จนจบแต่สุดท้ายลูกบางคนกลับทำให้แม่ต้องเสียใจเพราะเรียนไม่จบสิ่งแบบนี้ทำ ให้แม่หมดกำลังใจที่จะสู้ ณ เวลานี้แม่ของดิฉัน ต้องคิดมากและเป็นห่วงพี่สาวที่ไปทำงานเพราะพี่สาวไม่โทรมาหาแม่มาหลาย อาทิตย์แล้ว ทำให้แม่ต้องกลุ้มใจจนกินไม่ได้นอน ไม่หลับจนความดันขึ้นสูง และแม่ห่วงพี่ชายกลัวว่า จะไม่มีภรรยาเพราะดื่มแต่สุรา ดิฉันสงสารแม่มาก ถ้าหากใครได้อ่านเรียงความ ของดิฉัน ดิฉันอยากให้ลูกทุกๆคนคิดและถามใจตัวเองว่าลูกบอกรักแม่หรือยังและรักแม่ หรือป่าวดูแลแม่ดีหรือยังและตอนนี้ทำให้แม่
กลุ้มใจ หรือป่าวรีบทำความดีตอนนี้ก่อนที่แม่จะไม่ได้อยู่กับเราก่อนที่แม่จะจากไป เวรกรรมมีจริงเราทำอะไรไว้กับแม่พอเรามีลูก ลูกของเราก็จะทำกับเราอย่างที่เราทำไว้กับแม่ อยากให้ลูกทุกคนมีจิตสำนึกบ้างที่เรายืนอยู่จุดนี้เพราะใคร การที่เราคลอดลูก ไม่ใช่เรื่องง่ายมันเป็นเรื่องทรมานแม่ต้องทนความเจ็บปวดและทะนุถนอมเรา อย่างดีแม่เคยซักผ้าป้อนข้าวป้อนน้ำให้เราตอนเล็กๆ แต่บางคนก็ยังใช้แม่ซักผ้าอยู่ทั้งๆที่ตัวเองก็โตแล้ว สุดท้ายนี้ดิฉันอยากให้แม่มีความสุขอยากให้แม่มีสุขภาพที่แข็งแรงอย่าให้โรค ภัย มาเบียดเบียนอยากให้แม่อยู่กับฉันไปนานและดิฉันอยากบอกแม่ว่าลูกขอโทษที่เคย ด่าไม่เคยเชื่อฟังและไม่เคยดูแลเอาใจใส่แม่ ต่อไปนี้หนูจะดูแลแม่จะเป็นคนดีจะตั้งใจเรียนเพื่อแม่
รักและเคารพแม่
จากใจเด็กน้อยบนดอย

 

         

เรียงความเรื่อง แม่

ที่มา kapook.com

แม่  เป็นภาระให้แก่ลูกทุกคนมาตั้งแต่เกิด นั่นเป็นความจริงที่เราไม่อาจจะปฏิเสธได้ ก็ลองคิดดูสิ ตั้งแต่เราเกิดมา ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเลย อยู่ดี ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็มาโอบอุ้ม ถูกเนื้อต้องตัวเรา มิวายที่เราจะแหกปากร้องไห้ขับไล่ไสส่งยายผู้หญิงคนนี้ขนาดไหน เธอก็ยังพยายามปลอบโยน เห่กล่อมเราอยู่นั่นแหละ เป็นภาระให้เราต้องจำใจเงียบ ยอมนอนดูดนมเธออยู่จั่บ ๆ ๆ

          พอเราเริ่มเตาะแตะ ตั้งไข่จะเดินไปไหนต่อไหนมั่ง คุณเธอก็ยังคอยเรียกหาเราอยู่นั่นแหละ 

          "มานี่มาลูก มานี่มา อีกนิดเดียวลูก อีกนิดเดียว อีกก้าวเดียว" ไม่รู้จะเรียกทำไมนักหนา ไอ้เราก็เดินล้มลุกคลุกคลานอยู่ เห็นมั้ย เป็นภาระที่เราต้องเดินไปให้เธอกอดอีก 

          โต ขึ้นมาอีกนิด เราเริ่มกินอาหารได้ หล่อนก็เอาอะไรนักหนาไม่รู้ เละ ๆ เทะ ๆ มาบดให้เรากิน ไอ้เราจะไม่กินก็ไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะน้อยใจ ก็เอาวะ เอาซะหน่อย เคี้ยวไปเเจ่บ ๆ อย่างนั้นแหละ แม่คุณก็ยิ้มปลื้ม คงนึกว่าเราอร่อยตายล่ะมั้งนั่นน่ะ กล้วยบดนะจ๊ะ เธอจ๋า ในปากฉันตอนนี้น่ะ ถ้าคิดว่ามันอร่อยขนาดนั้น ทำไมไม่ลองทานเองดูมั่งล่ะ
       
          ที นี้พอเราเริ่มพูดจารู้เรื่องขึ้นมาหน่อย คราวนี้ยังไงล่ะ ผู้หญิงคนนี้กลับขับไล่ไสส่งให้เราไปโรงเรียนซะอีก ไม่ไปก็ไม่ได้ด้วยนะ บางทีมีตีเราเข้าให้อีก ภาษาอะไรนักก็ไม่รู้ เอามาให้เราหัดอ่านหัดเรียนใช่มั้ย ลองคิดดูนะ สัปดาห์หนึ่งต้องไปโรงเรียนตั้งห้าวันน่ะ มันภาระหนักหนาแก่เราแค่ไหน

          แต่ พอถึงเวลาเราจะดูทีวี ดูหนังการ์ตูน นอนดึกขึ้นมาสักหน่อย ลองนึกย้อนไปสิ ใครกันเคี่ยวเข็ญให้เราไปนอนด้วย ตัวเองง่วงจะนอนคนเดียวก็ไม่ได้นะ ต้องบังคับให้เราไปนอนเป็นเพื่อนด้วย ใช่มั้ย ที่พูดนี่ไม่ใช่ลำเลิกหรอกนะ เพียงแค่อยากให้เห็นใจกันบ้างเท่านั้น

          วัน เวลาผ่านไป เราโตขึ้น แต่แม่ก็ยังไม่ยอมโตตามเราสักที ลูกอยากจะทำผมทำเผ้า แต่งเนื้อเเต่งตัวให้มันดูอินเทรนด์ ดูทันสมัย ใคร ใครกันเป็นตัวสกัดดาวรุ่ง พูดแล้วขนลุก ผู้หญิงคนนี้มีพัฒนาการไม่คืบหน้าไปไหนเลย ว่ามั้ย

 

         พอ เราสำเร็จจบการศึกษาเเล้วเป็นยังไง... เธอร้องไห้ครับ เชื่อเถอะว่าเธอต้องร้องไห้ ถ้าเราไม่เห็นก็แปลว่าเธอต้องแอบร้องไห้ มีอย่างที่ไหน เราคร่ำเคร่งร่ำเรียนมาแทบตาย แล้วตัวเองแท้ ๆ ที่เป็นคนเริ่มเรื่อง พอเราเรียบจบแทนที่จะดีใจดันมาร้องไห้ มีอย่างที่ไหน

          ดี นะว่าเราเข้าใจ คู่มือการเลี้ยงแม่ ก็เลยทำใจได้ ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้ขอไปฉลองการสำเร็จการศึกษากับพวกเพื่อน ๆ ที่นอกบ้านก่อน ก็แหม เรียนจบทั้งที จะมาให้นั่งดูผู้หญิงแก่ ๆ นั่งร้องไห้ทำไมล่ะ ใช่มั้ย

          เป็น หนุ่มเป็นสาวกันแล้วนี่ คราวนี้ใคร ๆ ก็ต้องอยากมีแฟน คนโน้นก็ไม่ดี คนนี้ก็เรื่องมาก ผมยาวไปมั่งล่ะ ดูไม่มีความรับผิดชอบมั่งล่ะ...แม่ แม่จะไปรู้อะไร แม่เคยคบกับเขาเหรอ

          ไม่ใช่แค่เรื่องคู่ครองเท่านั้นนะ แม่เขายังอยากรู้ไปจนถึงเรื่องอาชีพการงานด้วยว่าเราจะไปทำอะไร อยากเป็นอะไร

          แม่ ครับ แม่ไม่รู้สักเรื่องจะได้มั้ยพวกเราจะเป็นอะไรมันก็เรื่องของพวกเรา อนาคตของเรา ขอให้เราได้ตัดสินมันเอง แต่เรารับรองกับแม่ได้อย่างหนึ่งว่า เราจะไม่เป็นเหมือนแม่หรอก... เชย

          นับ จากบรรทัดแรก จนมาถึงบรรทัดนี้ เวลาก็ผ่านไปหลายปีแล้ว สมควรที่พวกเราจะแต่งงานมีครอบครัวเป็นของตนเองสักที ว่าแล้วเราก็ย้ายออกจากบ้านแม่ มายืนด้วยลำแข้งของตัวเอง อย่างที่แม่เคยพูดไง แล้วทำไมต้องมาทำตาละห้อยด้วยล่ะ วันที่เราย้ายออกมาน่ะ มันก็ไม่ได้ใกล้ มันก็ไม่ได้ไกลหรอกนะ ไอ้ที่ย้ายออกมาน่ะ แต่เวลามันรัดตัวจริง ๆ ใช้โทร.คุยกันก็ได้นะแม่นะ

          ถึง วันที่เรามีลูก แม่ยังพยายามอยากมาทำตัวเป็นภาระกับลูกเราด้วย เราบอกแม่ว่าไม่ต้องมายุ่งหรอก เราดูแลลูกของเราได้ เด็กสมัยนี้มันไม่เหมือนกับสมัยแม่แล้วล่ะ

          แม่ อายุเกือบหกสิบปีแล้ว โทร.มาไอแค่ก ๆ บอกไม่ค่อยสบาย เราบอกแม่ว่าอย่าคิดมาก ในใจเรารู้อยู่แล้วว่าแม่พยายามเรียกร้องความสนใจ นั่นเป็นพัฒนาการตามธรรมชาติของคุณแม่วัยนี้

          จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง คุณโทร.กลับไปที่บ้านแม่ แต่... ไม่มีคนรับสายแล้ว อย่าเพิ่งตกใจ แม่อาจจะออกไปทำบุญที่วัดตามประสาคนแก่ก็ได้ ลองโทร.เข้ามือถือแม่ดูซิ...ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก...

          อย่า เพิ่งด่วนสรุป มือถือแม่อาจจะแบตหมดก็ได้ ผู้หญิงคนนี้กระดูกเหล็กจะตายไป เธอต้องไม่เป็นอะไรแน่ ๆ คิดฟุ้งซ่านไปได้ ยังไงแม่ก็ต้องรอเราอยู่เหมือนเดิมน่ะแหละ ไปหาเมื่อไหร่ก็ต้องเจอ อย่างมากแกก็อาจจะงอนนิด ๆ หน่อย ๆ พอเห็นหลานตัวเล็ก ๆ วิ่งเข้าไปกอดก็ขี้คร้านจะอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้ง หลายวันผ่านไป ทำไมแม่ยังไม่โทร.กลับมาอีกนะ ทำบุญตักบาตรก็ไม่น่าจะรอคิวนานขนาดนี้ ชาร์จแบตมือถือไม่เต็มก็เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นแบตเตอรี่รถสิบล้อป่านนี้ไฟทะลักแล้ว

          วันนี้แวะไปหาแม่สักหน่อยดีกว่า ระหว่างทางที่คุณขับรถไป ลูกคุณซนเป็นลิงอยู่ข้าง ๆ ประโยคมากมายที่หลุดจากปากคุณ ล้วนเเต่เป็นคำที่แม่คุณเคยพูดมาแล้วทั้งสิ้น คุณเพิ่งสัมผัสได้ ภาพเก่า ๆ มากมายที่ผู้หญิงคนนั้นทำวิ่งวนอยู่ในหัวคุณ ช่างเถอะ.. เดี๋ยวเจอเธอแล้ว คุณจะสารภาพผิด แล้วทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น แล้วคุณก็ได้เจอ คนที่คุณรู้สึกว่าเธอเป็นภาระให้กับคุณมาตั้งแต่เกิด

         Link     https://variety.siam55.com

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                กลอน4วันแม่

กลอน 4 เป็นคำประพันธ์ประเภทกลอน ใน 1 บท มี 2 บาท 1 บาท มี 2 วรรค วรรคละ 4 คำ กลอน 4

สัมผัสบังคับของกลอนสี่ มี 4 แห่ง ดังนี้
1. คำท้ายวรรคแรก สัมผัสคล้องจองกับคำแรกของวรรคที่ 2
2. คำสุดท้ายของวรรคที่ 2 สัมผัสคล้องจองกับคำสุดท้ายของวรรคที่ 3
3. คำสุดท้ายของวรรคที่ 3 สัมผัสคล้องจองกับคำแรกของวรรคที่ 4
4. คำสุดท้ายของวรรคที่ 4 ของบทแรก สัมผัสคล้องจองกับคำสุดท้ายวรรคที่ 2 ของบทถัดไป

ตัวอย่างกลอนสี่
                ดวงจันทร์วันเพ็ญ           ลอยเด่นบนฟ้า
         แสงนวลเย็นตา                     พาใจหฤหรรษ์
         ชักชวนเพื่อนยา                    มาเล่นร่วมกัน

 

อัพเดทล่าสุด