โรคน้ําในหูไม่เท่ากัน ชื่อยารักษา มีอะไรบ้าง ยาแก้โรคน้ําในหูไม่เท่ากัน โรคน้ําในหูไม่เท่ากัน ชื่อทางการแพทย์


2,675 ผู้ชม


โรคน้ําในหูไม่เท่ากัน ชื่อยารักษา มีอะไรบ้าง ยาแก้โรคน้ําในหูไม่เท่ากัน โรคน้ําในหูไม่เท่ากัน ชื่อทางการแพทย์

              โรคน้ําในหูไม่เท่ากัน ชื่อยารักษา

น้ำในหูไม่เท่ากัน โรคอันตรายที่ควรรู้

โดย Anonymous | วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552

รู้สึก วิงเวียน รู้สึกหมุน อ่อนแรง  อย่านิ่งนอนใจ ชี้เสี่ยงเป็นได้

 

 

 

                แย่แล้ว แย่แล้ว!! คุณมีอาการเหล่านี้หรือเปล่า ???  รู้สึก วิงเวียน โลกหมุนได้ทั้งใบทั้งๆ ที่หลับตา และเมื่อลืมตาขึ้นก็ยังไม่หยุดหมุน... หรือเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังเคลื่อนไหวทั้งที่จริงแล้วคุณกำลังยืน นั่ง หรือนอนอยู่กับที่โดยไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ เลย  และ เริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างที่กำลังทำมีการเคลื่อนไหวมากกว่าที่เราขยับจริงแล้ว ละก็ นั่นเป็นสัญญาณเตือนบ่งบอกให้คุฯรู้ว่า ระบบการทรงตัวของร่างกายในหูชั้นใน ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยรักษาการทรงตัวของร่างกาย รักษาการมองเห็นให้คงที่ ควบคุมการเคลื่อนไหวของคุณเริ่มมีปัญหาแล้ว และนี่บ่งบอกได้ว่าคุณกำลังเป็น “โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน” แล้ว

 

              “โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน” เป็น โรคที่แรงดันน้ำในช่องหูชั้นในผิดปกติ ของเหลวที่อยู่ภายในส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายในจะคั่งมาก ทำให้การไหลเวียนไม่สะดวก แรงดันที่เพิ่มขึ้นในหูชั้นในจะขัดขวางการทำงานของกระแสประสาทที่เกี่ยวกับ การได้ยินและการทรงตัว ทำให้สูญเสียการได้ยินและความสมดุล จึงทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะขึ้น เมื่อแรงดันมากขึ้นผู้ป่วยจะรู้สึกตึงๆ ในหูข้างที่ผิดปกติ

            โรค แรงดันน้ำในช่องหูชั้นในผิดปกติ ส่วนใหญ่มักจะไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ในกลุ่มที่ทราบสาเหตุจะเรียกว่า กลุ่มอาการมีเนีย ได้แก่ โรคซิฟิลิส หูน้ำหนวก เป็นต้น เพราะฉะนั้นโรคนี้จึงรักษาไม่หายขาด เพียงแต่สามารถรักษาอาการเวียนศีรษะให้หายเป็นปกติได้เท่านั้น อาการผิดปกติอาจเกิดขึ้นกับหูเพียงข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ ระยะแรกๆ มักเป็นข้างเดียว แต่เมื่อเป็นนานๆ เข้า โอกาสที่หูข้างที่สองจะเป็นร่วมด้วยก็มีมากขึ้น

            ส่วนอาการของโรคที่ พบบ่อยๆของโรคน้ำในหูไม่เท่ากันจะเริ่มต้นกันด้วยอาการเวียนศีรษะที่รู้สึก เหมือนกำลังหมุนไปพร้อมๆกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออก ลักษณะอาการคือจะเกิดขึ้นในทันทีทันใด อาจจะเป็นอยู่นานกว่า 20 นาที ถึง 2-3 ชั่วโมง อาการดังกล่าวมักเป็นรุนแรง แต่ไม่ทำให้หมดสติหรือเป็นอัมพาต เมื่อหายเวียนศีรษะ ผู้ที่เป็นจะมีความรู้สึกเหมือนเป็นปกติ

ต่อมาเป็นอาการ หูอื้อ อาจจะเป็นชั่วคราวหรือถาวรก็ได้ ถ้าเป็นระยะแรกๆ จะสูญเสียการได้ยินแค่ชั่วคราว หลังจากหายเวียนศีรษะแล้ว การได้ยินจะกลับมาเป็นปกติ แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะบ่อยๆ หรือเป็นมานาน อาการหูอื้อมักจะเป็นถาวร บางครั้งอาจถึงขั้นหูหนวกไปเลยก็เป็นได้

อาการที่มีเสียงดังในหูและ อาการตึงๆ ภายในหูคล้ายกับมีแรงดัน ผู้ป่วยจะมีเสียงดังในหูข้างที่ผิดปกติ และจะเกิดแรงดันของน้ำอาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากันนี้อาจเป็นได้ตลอดเวลา หรือเป็นเฉพาะขณะที่เวียนศีรษะ

 

แล้วเมื่อเป็นแล้วควรทำอย่างไร.....


               
ง่ายๆ เพียงมีการควบคุมอาหาร ลดอาหารที่มีรสชาติเค็ม โดยจำกัดเกลือ ขอแนะนำนะค่ะว่าให้เติมเกลือลงในอาหารวันละไม่เกิน 2 กรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชาเท่านั้น   ส่วนการรักษาโดยการใช้ยาเรามีหลายชนิดมาแนะนำเช่นกันค่ะไม่ว่าจะเป็น  ยาขับปัสสาวะ เพื่อลดสภาวะอาการบวมและคั่งของน้ำในหูชั้นใน   ยาลดอาการเวียนศีรษะและคลื่นไส้อาเจียน ควรใช้ในขณะที่มีอาการเท่านั้น   ยากล่อมประสาทและยานอนหลับ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยผ่อนคลายและนอนหลับได้เป็นปกติ และ   ยาขยายหลอดเลือด เพื่อช่วยลดอาการบวมและคั่งของน้ำในหูชั้นใน
       
               หาก ยังไม่ดีขึ้นก็ควรที่จะไปรับการรักษาจาก แพทย์เพื่อที่จะรับการพิจารณาและทำการผ่าตัดต่อไป แต่สิ่งที่ดีที่สุดของการรักษาคุณควรที่จะรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่และทำร่างกายให้แข็งแรง สมบูรณ์ เพียงแค่นี้โรคต่างๆก็ไม่สามารถมาเคาะประตูหน้าบ้านของคุณได้แล้ว

Link     https://www.thaihealth.or.th

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


                  มีอะไรบ้าง ยาแก้โรคน้ําในหูไม่เท่ากัน

 สวัสดีค่ะคุณเต่าญี่ปุ่นและพี่น้องบ้านกลมกลิ้ง ได้ทราบข่าวเรื่องคุณเต่าญี่ปุ่นกำลังประสบกับโรคเวียนศรีษะที่เกิดจากน้ำใน หูไม่สมดุล
จึงอยากเสนอยาของแพทย์ทางเลือก ซึ่งเคยใช้ได้ผลกับตัวเอง
เมื่อหลายปีก่อนเคยเป็นโรคนี้เหมือนกันค่ะ เป็นโรคที่ทรมานสุดๆ
มีอาการเป็นพักๆ เป็นๆหายๆ วันนึงได้อ่านหนังสือนิตยสารดิฉัน มีคอลัมภ์ชื่อเป็นหู เป็นตา
ผู้ เขียนคือ คุณศิเรมอร อุณหธูป เธอเขียนว่ารู้จักกับคุณประกายเพชร ซึ่งเป็นแพทย์ทางเลือก แล้วได้ตำรายาปรับน้ำในหูให้สมดุลมาจากคุณประกายเพชร
เลยลองทำ ยาทานตามที่คุณประกายเพชรแนะนำ แปลกจังตั้งแต่นั้นจนปัจจุบันนี้ไม่เคยเป็นโรคนี้อีกเลย เดชะบุญจริงๆยังนึกขอบพระคุณคุณศิเรมอร อุณหธูป และคุณประกายเพชร ที่ทำให้เราไม่ต้องทรมานด้วยโรคนี้อีกต่อไป
แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลทุกคนหรือเปล่านะคะ อยากให้ลองเผื่อจะช่วยได้
ยาแก้อาการมึนงงจากโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
คุณประกายเพชรแนะนำให้ตำพริกไทยดำ 3 เม็ดจนละเอียด
ชงกับน้ำร้อน1ถ้วย รอจนน้ำเริ่มอุ่นตัวเสียก่อนจึงเติมน้ำผึ้งแท้ๆลง
ไป 1 ช้อนกาแฟ คนให้เข้ากัน ดื่มทุกวันตอนไหนก็ได้
เธอรับรองว่าหายเลย เพราะช่วยปรับสมดุลน้ำในหูโดยตรง
จะได้ไม่ต้องผ่าหรือขึ้นเขียง
ตอนที่เป็นโรคนี้ส่วนตัวแล้วคิดว่าพริกไทย 3 เม็ดนี้ดูจะน้อยไป
เลยตักพริกไทยดำบดละเอียดใส่ไปแบบไม่ได้นับเม็ด แต่ก็ไม่มากจนกลืนไม่ลง จิบบ่อยๆ พอหายขาดแล้วก็ไม่ได้ทำอีกเลยค่ะ
ขออวยพรให้คุณเต่าหายจากอาการนี้โดยเร็วนะคะ
ขอลงตำรายาอีกตัวที่คุณประกายเพชรได้แนะนำไว้ เพราะเห็นว่าสมาชิกบ้านนี้เดินทางข้ามประเทศกันบ่อย เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้าง
สำหรับคนที่มีอาการตะครั่นตะครอเนื่องจากการเปลี่ยนที่ เปลี่ยนอากาศ คุณประกายเพชรเธอมีคนไข้เป็นพวกสจ๊วตกับแอร์โฮสเตส
ที่ต้องเดินทางขึ้นเครื่องไปประเทศต่างๆ แล้วไม่สบาย เธอได้ให้ทำแบบนี้ค่ะ
ให้ตำพริกไทยดำ 15 เม็ด
ลูกกระวาน 2 เม็ด
เม็ดผักชี 1 ช้อนกาแฟ
ตำ ให้ละเอียดใส่ขวดแก้วเล็กๆ พกติดกระเป๋าไปบินด้วย หากมีอาการตะครั่น ตะครอเนื่องจากการเปลี่ยนที่ เปลี่ยนอากาศ จะได้เทผสมน้ำร้อน 1 ถ้วยกาแฟ (แบบmug) รอให้น้ำอุ่นแล้วเติมน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนกาแฟ ชงให้เข้ากันแล้วดื่ม ขณะที่อุ่นๆค่อนไปในทางร้อน (ย้ำ สูตรนี้สำหรับคนที่อยู่ไม่เป็นที่ต้องเดินทางบ่อย เดินทางข้ามประเทศ ข้ามทวีป)
ยังมียาตัวอื่นรักษาโรค กระเพาะ ลำไส้ของคุณประกายเพชรแนะนำไว้อีกบ้าง ถ้าเพื่อนๆสนใจ จะทยอยนำมาลงให้นะคะ แต่ตอนนี้ขอลงยารักษาอาการที่คุณเต่าญี่ปุ่น กำลังเป็นอยู่ก่อนค่ะ

Link     https://www.pantown.com

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


 

               โรคน้ําในหูไม่เท่ากัน ชื่อทางการแพทย์

       เวียนหัว จากโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน                          

"เวียนหัว" จากโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

คน ไข้ มีอาการเวียนศีรษะ มักถูกเหมาเอาว่าเป็นโรคน้ำในหูชั้นในไม่เท่ากัน ถึงกับมีคนไข้เข้าใจผิดคิดว่า เกิดจากน้ำเข้าไปในหูขณะอาบน้ำ ทำให้เกิดอาการขึ้นมาจริง ๆ แล้ว ตำแหน่งที่เกิดโรคคือ หูชั้นใน ที่อยู่ลึกเข้าไปหลังแก้วหู ไม่เกี่ยวกับน้ำเข้าหูจากภายนอก

phyathaihospital_meniere1

ใน หูชั้นใน ประกอบด้วยระบบการทรงตัวและระบบการได้ยินที่อยู่ติดกัน ในระบบนี้มีน้ำอยู่ภายใน แต่ถ้ามีความผิดปกติใด ๆ ก็ตามที่ทำให้   ปริมาณน้ำเพิ่มมากผิดปกติ ก็จะทำให้การไหลเวียนไม่  สะดวก ขัดขวางการทำงานของกระแสประสาททั้ง การได้ยินและการทรงตัว ก็จะทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะทรงตัวไม่ดี สูญเสียการได้ยิน และตึงๆ หน่วงๆ ในหูข้างนั้น

โรคน้ำในหูชั้นในไม่เท่ากัน หรือ โรคเมเนียร์ (Meniere's disease) พบค่อนข้างบ่อย เป็นโรคที่พบอันดับสองของสาเหตุอาการเวียนศีรษะ มักเป็นหูข้างใดข้างหนึ่งก่อน และมีประมาณ 15-20% ที่เป็นหูทั้งสองข้าง

 สาเหตุของโรค
  
- ส่วนใหญ่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด
  
- กลุ่มที่มีปัจจัยที่อาจจะเป็นสาเหตุ เช่น
    
1. กรรมพันธุ์ มีโครงสร้างหูชั้นในผิดปกติ แต่กำเนิด
     2. โรคภูมิแพ้
     3. การติดเชื้อไวรัส, หูชั้นกลางอักเสบ, หูน้ำหนวก, ซิฟิลิส
     4. ประวัติเคยประสบอุบัติเหตุที่ศีรษะ
     5. โรคทางกาย เช่น เบาหวาน, ไทรอยด์, ไขมันในเลือดสูง

 อาการของโรค
    1. อาการเวียนศีรษะ อาการเกิดขึ้น ทันทีทันใด อยู่เฉยๆ ก็เป็นขึ้นมาและคงอยู่นาน   เกินกว่า 20 นาที (บ่อยครั้งที่เป็นนานหลายชั่วโมง) และอาจรุนแรง แต่ไม่ทำให้หมดสติ หรือเป็นอัมพาต นอกจากนี้อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เหงื่อออก, คลื่นไส้, อาเจียน
    2. การได้ยินลดลง ขณะมีอาการเวียน ศีรษะ ซึ่งระยะแรกอาจเป็นๆ หายๆ การได้ยินมักจะดีขึ้นเมื่ออาการเวียนศีรษะหายไป แต่ถ้าเป็นซ้ำ ๆ กันหลาย ๆ ครั้ง การได้ยินมักจะเสื่อมลงเรื่อย ๆ และไม่กลับคืนมา จนหูตึงได้
    3. หูอื้อ เสียงดังในหู ซึ่งเกิดขึ้นในหูข้าง ที่ผิดปกติ อาจเป็นตลอดเวลา หรือเฉพาะเวลาเวียนศีรษะก็ได้
    4. อาการหนักๆ หน่วงๆ ในหู คล้าย มีแรงดันในหู บางคนอาจบอกว่าปวดหน่วง ๆ  ความถี่ของอาการแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเป็นปี   ละครั้ง บางคนเป็นหลาย ๆ เดือนครั้ง ไม่แน่นอน

phyathaihospital_meniere2

 การวินิจฉัย
การ ซักประวัติอย่างละเอียด และการตรวจร่างกายจะช่วยในการวินิจฉัย ถ้าคนไข้มาด้วยอาการครบ 3-4 อย่าง ดังกล่าวก็มักให้การวินิจฉัย ซึ่งพบว่า 50% เท่านั้น ที่มีอาการเด่นชัด ในกรณีที่อาการไม่ชัดเจน ก็จำเป็นต้องอาศัยการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เพื่อช่วยในการวินิจฉัย ดังนี้
  
1. การตรวจการได้ยิน (Audiogram)
  
2. การตรวจการทรงตัว (Electrony stagmography ; ENG)
    
- เพื่อดูว่าเป็นหูข้างใด ที่มีพยาธิสภาพ
     - ความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน
     - แยกโรคจากเวียนศีรษะที่เกิดจากระบบประสาทส่วนกลาง
     - พบว่า 50% ของผู้ป่วยน้ำในหูชั้นใน  ไม่เท่ากัน มีความผิดปกติของการตรวจนี้
  
3. การตรวจคลื่นไฟฟ้าในหูชั้นใน (Electro cochleography; ECOG) เป็นการวัดการได้ยินระดับหูชั้นใน พบว่า มีความไว 65-70% ในการ ตรวจพบความผิดปกติของคนไข้ แต่มีความเฉพาะเจาะจงสูง (Specificity) 95% (คือถ้าตรวจออกมาได้ผลบวก ค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นโรคนี้)
   4. การตรวจการได้ยินระดับก้านสมอง (Auditory Brainstem Response; ABR)    เป็นการวัดการได้ยินระดับก้านสมอง เพื่อแยก    โรคที่เกี่ยวกับเส้นประสาทการได้ยินหลังหูชั้นใน   เข้าไปอีก เช่น การตรวจหาเนื้องอกที่ประสาทการ ได้ยิน
   5. การทำ เอ็มอาร์ไอ หรือ ซีที สแกนสมอง และหูชั้นใน มักไม่จำเป็นในการวินิจฉัย แต่อาจใช้กรณีช่วยแยกโรคที่สงสัยว่าเกิดจากเนื้องอกที่เส้นประสาทการได้ยินหรือการทรงตัว

 การรักษา
  
1. การปฏิบัติตัว
    
- ขณะมีอาการควรหลีกเลี่ยงการขับรถ,  การยืนที่สูง
     - พักผ่อนให้เพียงพอ การอดนอนมักกระตุ้นให้มีอาการ
     - งดอาหารเค็ม
     - พยายามลดความเครียด
     - งดเหล้า, บุหรี่, ชา, กาแฟ
     - หลีกเลี่ยงเสียงดังมาก ๆ
     - การบริหารประสาทการทรงตัว จะทำให้สมองปรับตัวเร็วขึ้น

   2. การให้ยา 80% จะหายได้ด้วยการให้ยา ได้แก่
     - ยาขับปัสสาวะ
     - ยาขยายหลอดเลือด
     - ยาแก้อาการเวียนศีรษะ
     - ยาแก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน
     - ยากล่อมประสาท หรือยานอนหลับ

   3. การฉีดยา Gentamicin เข้าหูชั้น กลาง เพื่อให้ซึมเข้าหูชั้นใน เพื่อควบคุมอาการ  เวียนศีรษะ ใช้ในกรณีที่กินยาไม่ได้ และยังเวียน  ศีรษะอยู่

   4. การผ่าตัด ใช้ในกรณีคนไข้มีอาการมาก และรักษาวิธีการใช้ยาข้างต้นไม่ได้ผล

 Link   https://www.phyathai.com/phyathai

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อัพเดทล่าสุด