อาการโรคเริม การตรวจวินิจฉัยโรคเริม โรคเริม


1,303 ผู้ชม


อาการโรคเริม การตรวจวินิจฉัยโรคเริม โรคเริม

             อาการโรคเริม

 อาการโรคเริม การตรวจวินิจฉัยโรคเริม โรคเริม โรคเริมคืออะไร ? อาการโรคเริม การตรวจวินิจฉัยโรคเริม โรคเริม    
อาการโรคเริม การตรวจวินิจฉัยโรคเริม โรคเริม    
          โรคเริม เป็นโรคผิวหนังและเยื่อบุ (บริเวณปากและอวัยวะเพศ) ที่พบบ่อยชนิดหนึ่งเกิดจาก เชื้อไวรัส ที่มีชื่อว่า เฮอร์ปีซิมเพลกซ์ (Herpes simplex virus) ซึ่งมี 2 ชนิด คือ เฮอร์ปีซิมเพลกซ์ 1 และ เฮอร์ปีซิมเพลกซ์ 2 ส่วน เฮอร์ปีซิมเพลกซ์ 2 เกิดโรคเฉพาะที่อวัยวะเพศ ปัจจุบันพบว่าไวรัสทั้ง 2 ชนิดก่อโรคได้กับผิวหนังทั้ง 2 แห่ง    
อาการโรคเริม การตรวจวินิจฉัยโรคเริม โรคเริม    


     เชื้อ herpes virus [HSV]เป็นสาเหตุที่สำคับของการติดเชื้อเริมที่ผิวหนัง ริมฝีปาก และ อวัยวะเพศ และอาจจะติดเชื้อที่ส่วนอื่นของร่างกายและอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ลักษณะ ผื่นของโรค herpes จะเหมือนกันไม่ว่าเกิดที่ไหน จะเป็นตุ่มน้ำเล็กๆบนผิวหนังที่อักเสบสีแดง      

   
อาการโรคเริม การตรวจวินิจฉัยโรคเริม โรคเริม    


     การติดเชื้อจะเกิดขึ้นได้ ต้องมีสภาพการณ์ดังนี้ มีเชื้อไวรัสในน้ำเหลืองจากแผล น้ำลาย น้ำเหลือง หรือน้ำอสุจิ (Semen) แล้วเชื้อไวรัสต้องเข้าสู่ผิวหนังที่มีรอยถลอกหรือรอยแผล และอาจจะเข้าสู่เยื่อเมือก เช่น บริเวณปากและอวัยวะเพศ

      เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกายแล้วจะมีกระบวนการติดเชื้อ ดังนี้
           เฮอร์ปีส์ไวรัสจะแทรกซึมเข้าไปในเซลล์ผิวหนังที่อยู่ชั้นล่างๆ ของผิวหนังโดยที่บางครั้งก็ไม่มีอาการ แต่บางรายไวรัสจะแบ่งตัวและทำงายเซลล์ผิวหนังจึงมีการอักเสบทำให้มีตุ่มน้ำ ใสเกิดขึ้นเป็นกลุ่ม อยู่บนปื้นแดง เมื่อตุ่มน้ำแห้งหรือแตกไปจะเกิดเป็นสะเก็ด แล้วหายโดยไม่มีแผลเป็น
           ภายหลังการแบ่งตัวครั้งแรกแล้ว ไวรัสจะเข้าไปตามเส้นประสาทที่เลี้ยงผิวหนังบริเวณที่เกิดโรคแล้ว เข้าไป แฝงตัวอยู่ ที่ปมประสาท โดยไม่มีการแบ่งตัว ทำให้ไวรัสและเซลล์อยู่ด้วยกันได้เป็นปกติ
           เราไม่ทราบแน่ชัดว่ามีช่วงใดบ้างที่ไวรัสจะมีการแบ่งตัวและแพร่กระจายออกมา จากเซลล์ ที่แฝงตัวอยู่ ในช่วงนี้ เองที่จะพบไวรัสในของเหลวของร่างกาย ทำให้เกิดการติดเชื้อแก่ผู้สัมผัสได้ บ่อยครั้งที่การแบ่งตัวของ ไวรัสเกิดขึ้นโดยไม่มีอาการ

   
อาการโรคเริม การตรวจวินิจฉัยโรคเริม โรคเริม    


อาการของโรคเริมเป็นอย่างไร

          อาการของโรคเริมขึ้นอยู่กับว่าเป็นโรคในครั้งแรกระยะแฝง (ไม่มีอาการ) หรือระยะเป็นซ้ำ

อาการทั่วไปของการเป็นโรคครั้งแรก

          ผื่นผิวหนังและอาการปวด ภายหลังจากได้รับเชื้อ 2-12 วัน จะมีอาการดังนี้
           มีรอยบวมแดงบริเวณที่ติดเชื้อ ซึ่งจะกลายเป็นตุ่มน้ำใสเป็นกลุ่มอย่างรวดเร็ว ตุ่มน้ำใสจะแห้ง ไปภายใน 7-10 วัน และหายโดยไม่มีแผลเป็น ตุ่มน้ำในบริเวณที่ชื้นแฉะจะเป็นอยู่นานกว่า อาจจะมี อาการคันร่วมด้วยได้
           เมื่อสะเก็ดหลุดแล้วจะไม่ติดต่อ
           เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกายแล้ว อาจจะแพร่กระจายไปยังเยื่อเมือกที่อยู่ไกลออกไปได้โดยผ่าน ทางเซลล์ประสาท
           ในการติดเชื้อเฮอร์ปีส์ครั้งแรกอาจจะมีอาการอยู่นาน 2-3 สัปดาห์ แต่อาการปวดจะเป็นนาน 1-6 สัปดาห์

อาการอื่น ๆ
ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการเตือนก่อน จะมีผื่นขึ้นได้ ดังนี้
           มีไข้ (อาจจะถึง 38.9 องศาเซลเซียส) ปวดศรีษะ ครั่นเนื้อ ครั้นตัว คล้ายจะเป็นหวัดมีอาการ อยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ นอกจากนี้ ต่อมน้ำเหลืองในบริเวณใกล้รอยโรคอักเสบและโตขึ้น
           ระยะแฝงและแพร่เชื้อ
           ระยะแฝง ภายหลังจากการเป็นครั้งแรก โรคจะเข้าสู่ระยะแฝง ซึ่งเป็นระยะที่ไม่มีอาการ และ ไม่ติดต่อ
           ระยะแพร่เชื้อโดยไม่มีอาการ ใน บางเวลาที่แม้ไม่มีอาการแต่จะมีการแบ่งตัวของไวรัส และแพร่ กระจายไปในของเหลว ของร่างกาย ทำให้ผู้อื่นติดเชื้อได้ประมาณ 1 ใน 3 หรือครึ่งหนึ่ง ของผู้ ที่มีเชื้อแพร่กระจายเกิดขึ้นโดยไม่มีอาการ
           ระยะเป็นซ้ำ

อาการในระยะเป็นซ้ำ
โรคเริมมักจะมีอาการเป็นซ้ำ โดยมีอาการดังนี้
           อาการเตือน ก่อน ผื่นของโรคเริมจะเกิดขึ้น มักจะมีอาการเตือนนำมาก่อน อาจจะมี อาการ คัน ปวด หรือเสียว ๆ ในบริเวณที่จะเป็นโรค โดยเป็นอยู่ 2 ชั่วโมง ถึง 2 วัน ร่วมกับมีอาการปวด ศรีษะ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้รอยโรคไต
           ผื่นขึ้น ในระยะเป็นซ้ำจะเหมือนในระยะแรก เพียงแต่มีอาการน้อยกว่าและหายเร็วกว่า บางครั้งจะเป็นเพียงรอยอักเสบหรือถลอกเล็กน้อย
           ปัจจัยที่กระตุ้น ยัง ไม่ทราบแน่ว่าอะไรเป็นสาเหตุให้มีการเกิดซ้ำของโรคเริม แต่มีปัจจัย หลายอย่างที่ทำให้เกิด ได้แก่ แสงแดด ลม ไข้ ความกังวลและความเครียด การมีประจำเดือน การบาดเจ็บ และภูมิต้านทานของร่างกายต่ำลง โรคเริมที่ปากอาจจะเกิดขึ้นภายใน 3 วัน หลังการถอนฟัน หรือ รักษารากฟัน และเกิดขึ้นได้ในการทำเลเซอร์ลอกผิว
           ช่วงเวลาในการเกิดโรคซ้ำ ใน การเกิดโรคซ้ำอาจจะมีระยะห่างเป็นวัน สัปดาห์ หรือเป็นปี โดยทั่วไปในช่วงแรกภายหลังการติดเชื้อครั้งแรกจะเกิดโรคซ้ำได้ถี่กว่า ต่อเมื่อร่างกายสร้างภูมิคุ้ม กันได้มากขึ้นจะเป็นห่างขึ้นและรุนแรงน้อยลง
           บริเวณที่พบโรคเริมที่ผิวหนังได้บ่อย คือ ปาก และอวัยวะเพศ ในที่นี้จะกล่าว ละเอียด เฉพาะโรคเริมที่ปาก
      โรคเริมที่ปาก
           มักจะเป็นที่ริมฝีปาก ในการติดเชื้อครั้งแรกอาจจะเป็นเยื่อเมือในปากด้วย โรคเริมที่หน้า บริเวณแก้มและจมูกพบได้น้อย

      โรคเริมที่ปากครั้งแรก
           อาจจะมีอาการปวดมาก โดยเฉพาะถ้าเป็นในเด็กตุ่มน้ำใสจะเกิดที่ริมฝีปาก แต่อาจจะ ขึ้นที่ลิ้นได้ เมื่อตุ่มน้ำใสแตกจะเป็นแผลเจ็บที่มีเยื่อสีเหลืองคุมอยู่ ก่อนแผลจะหายภายใน 7-14 วัน อาจมีน้ำลายมากขึ้นและมีกลิ่นปาก อาการอื่น ๆ ที่พบได้น้อย คือ มีไข้หนาวสั่นปวดกล้ามเนื้อ กลืน ลำบากและหูได้ยินเสียงลดลง ในเด็กแผลโรคเริมมักจะเป็นในปาก ในผู้ใหญ่มักจะเป็น ในลำคอส่วนบน
      โรคเริมที่ปากระยะเป็นซ้ำ
           ส่วนใหญ่ผู้ใหญ่มักจะเป็นปีละ 2-3 ครั้ง โรคเริมชนิดเป็นซ้ำมักจะมีอาการน้อยกว่า และหาย เร็วกว่า แผลเริมในระยะที่เป็นซ้ำมักจะเป็นที่ขอบริมฝีปากด้านนอก
      การติดต่อของโรคเริมที่ปาก
           พบเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ในน้ำลายและนำเหลืองของผู้ป่วยที่ยังมีแผลอยู่ มีความชุกมากในเด็ก ระยะก่อนวัยเรียน ติดต่อได้ง่ายโดยการสัมผัส โดยเฉพาะการจูบกัน นอกจากนี้ อาจจะติดกันได้จาก การใช้แปรงสีฟันหรือใช้ภาชนะในการดื่มหรือกินด้วยกัน
      ใครบ้างมีโอกาสติดโรค
           ทุกคนมีโอกาสติดโรคเริมที่ปากได้ มากกว่าร้อยละ 85 ของประชากรโลกติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปี ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเริมที่ปาก
           การติดเชื้อครั้งแรกเกิดขึ้นในวัยเด็กเป็นส่วนใหญ่อุบัติการณ์สูงสุดในวัย เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 3 ขวบ เด็กในชุมชนแออัดและสุขอนามัยไม่ดีมีโอกาสติดเชื้อมากกว่า

   
อาการโรคเริม การตรวจวินิจฉัยโรคเริม โรคเริม    


      การรักษา
           ในกรณีที่เป็นครั้งแรก มีอาการรุนแรง การให้ยากินอะไซโคลเวียร์ (Acyclivir) ภายใน 48 ชั่วโมงแรกจะทำให้อาการของโรคหายเร็วขึ้น ดังนั้น ในกรณีที่เป็นครั้งแรก และไม่ได้รับยาอะไซ โคลเวียร์ ใน 2 วันแรกอาจจะให้การรักษาโดยประคบด้วยนำเกลือวันละ 4-5 ครั้งและทายาครีมพญา ยอ (เสลดพังพอนตัวเมีย)
           ในกรณีที่เป็นโรคเริมระยะเป็นซ้ำ การให้ยากินอะไซโคลเวียร์ไม่ได้ช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น และไม่ได้ลดโอกาสในการเป็นซ้ำ ผู้ป่วยส่วนมากจะมีอาการไม่มากหากมีอาการปวด การประคบด้วย น้ำเกลือ หรือน้ำเย็นวันละ 4-5 ครั้ง จะลดอาการลงได้ ภายหลังประคบแผลหากได้ทาด้วยครีม พญายอจะทำให้โรคหายได้เร็วขึ้น
           การใช้ยาอะไซโคลเวียร์ชนิดทาไม่ได้ผลดีกว่าครีมพญายอ
      สิ่งสำคัญประการหนึ่ง คือการรักษาสุขอนามัยที่ดี ผู้ที่เป็นโรคเริมต้องระวังอย่าจับบริเวณที่ เป็นแผล และต้องล้างมือบ่อย ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ไปติดผิวหนังส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะที่ตา และเพื่อป้องกันไม่ให้ไปติดผู้อื่น
      ยาสมุนไพรรักษาโรคเริมชนิดใหม่
           แป๊ะตำลึงหรือจักรนารายณ์ (Gynura procumbens) มีสรรพคุณที่ระบุในตำรายาไทย เป็นยาใช้ภายนอก บรรเทาอาการอักเสบ ปวดบวม ผื่นคัน แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย พืชในสกุลเดียว กับแป๊ะปึง คือ ว่านมหากาฬ (G.psudochina var. hispida) มีสรรพคุณบรรเทาอาการอักเสบ เนื่องจากเริม และงูสวัสสารสกัดเอทานอลจากส่วนเหนือดินของแป๊ะตำปึงสามารถบรรเทาอาการคัน อักเสบและสมานแผล
           จากการศึกษาด้านพฤษเคมีและคุณสมบัติทางชีวภาพพบว่า สารสกัดเอทานอลมีคุณสมบัต ิต้านไวรัสเฮอร์ปีส์ และสารสำคัญที่แสดงฤทธิ์ต่านไวรัสเฮอร์ปีส์ คือสารผสมของกรดคาฟีออยควินิก (3, 5- และ4, 5-di -0-caffeoyl quinic acids)
           จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าว ร่วมกับการศึกษาในสัตว์ทดลองไม่พบว่าแป๊ะตำปึง มีพิษ แป๊ะตำปึงจึงเป็นสมุนไพรที่มีศักยภาพเป็นยาทาภายนอก บรรเทาอาการอักเสบ ระคายเคือง ที่ผิวหนัง อันเนื่องมาจากการแพ้แมลง สัตว์ กัดต่อย และโรคเริม
      แป๊ะตำปึง (Gynura procumbens)
           โครงการรักษาโรคเริมที่ปากด้วยสมุนไพรแป๊ะตำปึง การพัฒนาสมุนไพรเพื่อใช้รักษาโรค ใน แนวทางวิทยาศาสตร์ คือพัฒนาให้เป็นยาทาสำเร็จรูป เพื่อสะดวกในการใช้เป็นแนวทางหนึ่งที่จะประ หยัดเงินตราในการซื้อยาจากต่างประเทศ เป็นการส่งเสริมอาชีพของเกษตรกรไทย และพัฒนา อุตสาหกรรม การผลิตยา สมุนไพรไทย
           ขณะนี้ที่หน่วยโรคผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กำลังทดลองใช้ยานี้ใน ผู้ป่วยที่เป็นโรคเริมที่ปากในระยะเป็นซ้ำ อายุมากกว่า 18 ปี และมีอาการ กำเริบภายในไม่เกิน 48 ชั่วโมง      

               Link    https://www.thaigoodview.com

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 
                การตรวจวินิจฉัยโรคเริม

โรคเริม ภัยจากไวรัสที่กำราบได้

โรคเริม ภัยจากไวรัสที่กำราบได้
คุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับโรคเริมนี้มาก่อน แต่น่าแปลกที่คนพูดถึงกันน้อยในขณะที่มีคนเป็นโรคนี้กันมาก บางคนอาจกำลังสงสัยว่าติดโรคนี้เข้าให้แล้วหรือเปล่า มีคนนับล้านที่เคยมีอาการของโรคนี้มาก่อน และเกิดความรู้สึกผิดหรือวิตกว่าโรคเริมจะทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตาม ปกติ
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว แม้ว่าปัจจุบันเราจะยังไม่สามารถรักษาโรคเริมให้หายขาดได้ แต่ประคองโรคได้และใช้วิธีป้องกันก็จะไม่กลับมากำเริบซ้ำอีกเลย
โรคเริมไม่ใช่เรื่องใหม่ โรคใหม่เพราะพบว่ามีการบันทึกถึงโรคนี้มาตั้งแต่ยุคโรมันโบราณ สมัยจักรพรรดิทิเบอเรียสเคยให้ออกกฎหมายห้ามการจูบกันในที่สาธารณะ เพื่อพยายามป้องกันการแพร่กระจายของโรคเริมบริเวณริมฝีปาก
แต่ในปัจจุบันทัศนคติต่อการมีเพศสัมพันธ์ช่างตรงกันข้ามกับในอดีตเสีย เหลือเกิน ทำให้การติดเชื้อเริมสูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน สิ่งนี้คงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุบัติการณ์ของโรคเริมบริเวณอวัยวะสืบ พันธุ์พุ่งขึ้น จนเป็นหนึ่งในโรคที่ติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ที่พบได้มากที่สุดในปัจจุบัน
โรคเริม  ภัยจากไวรัสที่กำราบได้
ทุกคนมีส่วนช่วยลดโอกาสของการกระจายของโรคเริมได้ หากว่าเรียนรู้ที่จะป้องกันตัวเองและป้องกันการแพร่กระจายไปสู่คนอื่น
เริม คืออะไร
เริมเป็นเชื้อไวรัสที่มีขนาดเล็ก มาก มีหน้าที่เพียงอย่างเดียวตลอดชีวิตของมันคือการเพิ่มจำนวน มันจะทำงานโดยหลอกล่อให้เซลล์ของร่างกายสร้างไวรัสจำนวนมากขึ้นมา ซึ่งเชื้อไวรัสจะแพร่กระจายไปยังเซลล์ข้างเคียงได้ หากกระบวนการนี้ดำเนินไปโดยไม่ถูกตรวจพบ ไวรัสเริมก็จะแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย แต่อย่างไรโชคยังเข้าข้างมนุษย์ที่มีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายคอยต่อสู้กับ ผู้รุกรานด้วยกองทัพเม็ดเลือดขาว ซึ่งจะช่วยหยุดยั้งการแพร่กระจายของไวรัสเริมได้บ้าง
ความสุขสันต์หฤหรรษของปฏิบัติการรักจึงต้องระวังเป็นพิเศษสังเกตคู่ของ คุณดูด้วยว่า บริเวณริมฝีปากและบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ มีแผลหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นแผลเริม เพราะเป็นสองบริเวณที่พบเชื้อได้บ่อยและมากที่สุด ที่พบมากในผู้ชาย คือ บริเวณองคชาติ อัณฑะ หรือก้น ส่วนในผู้หญิง มักเป็นบริเวณปากช่องคลอดภายนอกหรืออาจเป็นภายในช่องคลอดก็ได้
โดยเจ้าเชื้อไวรัสนี้สามารถเคลื่อนผ่านรอยแตกเล็กๆ บริเวณผิวหนัง หรือเยื่อบุผิวที่ชุ่มชื้นบริเวณริมฝีปาก ช่องคลอด หรือทวารหนักได้ และแผลเหล่านั้นถ้าดูแลไม่ดีพอก็อาจติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเข้าให้อีก อย่างไรก็ตามถ้ามีการติดเชื้อเริมจากคู่ของคุณ ก็จงอย่าโทษใคร ไม่ว่าตัวคุณเองหรือคนอื่น แต่ควรรีบไปรักษาดีกว่าอย่าเสียเวลาโทษกันไปมา
อย่างที่บอกแล้วว่าหน้าที่ของเริมคือเกิดมาเพื่อขยายเผ่าพันธุ์ ดังนั้นหากว่าระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ เชื้อเริมก็สามารถกระจายไปที่นิ้วหรือบริเวณใกล้เคียงได้ กระทั่งที่ตา สมองก็อาจพบได้แม้จะน้อยก็ตามที การโจมตีของเชื้อเริมจะเริ่มขึ้นก็ต่อเมื่อร่างกายอ่อนแอ หรือไม่สบายเป็นโรคอื่นๆ ที่ทำให้กองทัพเม็ดเลือดขาวอ่อนล้าจากการต่อสู้กับเชื้อโรคชนิดอื่น เช่น เมื่อเป็นหวัด หรือเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะเครียด โภชนาการไม่ดีพอ การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือภาวะเครียดทางอารมณ์
แต่หากว่าระบบภูมิคุ้มกันเข้มแข็งได้รับการรักษาและดูแลแผลจากเริม อย่างดี ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยเป็นเริมซ้ำอีกเลย หรือแม้จะเป็นซ้ำก็จะเพียงนานๆ ครั้ง อาจทิ้งระยะห่างแต่ละครั้งนาน 3-12 เ ดือน
หากว่าสงสัยว่าตัวเรานั้นติดเชื้อนี้เข้าบ้างไหมเพราะมีปัจจัยเสี่ยง ครบครัน เช่น คู่ของคุณมีแผลบริเวณดังกล่าว หรือการไม่ได้สวมถุงยางอนามัย หรือมีอาการเริ่มแรก เช่น คันจี๊ดๆ ปวด หรือรู้สึกเพลีย พบว่ามีการบวมโตของต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบหรือคอร่วมด้วย ก็สมควรจะได้รับการตรวจจากแพทย์
วิธีการตรวจนั้นมีหลายแบบ หรืออาจใช้หลายวีธีร่วมกัน เช่น ตรวจเลือด ตรวจเนื้อเยื่อและทำการเพาะเชื้อเพื่อยืนยันการวินิจฉัย
โรคเริมสามารถควบคุมและรักษาได้
สุขอนามัยที่ดี เป็นสิ่งสำคัญมากเมื่อคุณมีอาการของโรคเริม การดูแลแผลเริมอย่างถูกวิธีจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น (แผลเริมมักจะหายภายใน 1-2 สัปดาห์) และลดโอกาสการแพร่กระจายไปถึงผู้อื่น ปัจจุบันมียาหลายชนิดที่ช่วยลดระยะเวลาการเป็นแผลเริมได้หลายวัน ถ้าหากได้ใช้ยาแต่เนิ่นๆ เมื่อเพิ่งเริ่มมีอาการ
เคล็ดลับน่ารู้ในการดูแลและควบคุมโรคเริม
  • ไวรัสเริมเกลียดความแห้ง อย่าใช้สิ่งใดๆ ไปปิดหรือพันบริเวณแผลเริม ความแห้งและอากาศที่ถ่ายเทได้ดีจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
  • ทำความสะอาดแผลเริมด้วยน้ำสบู่และน้ำสะอาดก็เพียงพอแล้ว
  • การใช้ไดร์เป่าผมความร้อนต่ำเป่าบริเวณแผลจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
  • ห้ามแกะสะเก็ดแผลเริม
  • สวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่คับแต่หลวมสบายอากาศถ่ายเทสะดวก การใส่ชุดชั้นในที่เป็นไนลอนจะทำให้อับชื้นง่าย
  • พยายามซับและดูแลแผลให้แห้งตลอดเวลา อย่าใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่น
  • ถ้าปวดแผลให้ใช้ยาระงับปวดทั่วไป
  • หากมีแผลบริเวณปากช่องคลอด จะปวดแสบแผลเวลาปัสสาวะได้ การนั่งแช่ก้นในน้ำอุ่นจะบรรเทาปวดแสบได้ผล
อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ถ้าไม่ระวัง
  • มารดาที่ติดเชื้อเริมอาจถ่ายทอดเชื้อเริมสู่ลูกในครรภ์ได้ แต่หากตรวจพบและรักษาเนิ่นๆ ก็จะหายดีได้ไม่ยาก และควรคลอดทารกด้วยวิธีผ่าตัดเท่านั้น เพื่อเลี่ยงการติดเชื้อบริเวณปากช่องคลอด
  • เยื่อบุตาอักเสบจากเริม การติดเชื้อเริมอาจกระจายไปถึงบริเวณตาด้วยนิ้วที่เพิ่งสัมผัสถูกแผลเริม มันอาจกระจายไปตามเส้นประสาทบริเวณหน้าผ่านจากบริเวณปากไปถึงตา อาการที่อาจเกิดขึ้นได้แก่ อาการปวด มีหนองหรือน้ำตามากบริเวณเปลือกตา และตาแดง หากไม่ได้รับการรักษาจากจักษุแพทย์ทันท่วงที ก็อาจเกิดเป็นแผลเป็นของกระจกตาหรือถึงขนาดตาบอดได้ การใช้ยาต้านไวรัสรักษามักได้ผลดี
  • การอักเสบของสมอง เยื่อหุ้มสมอง และไขสันหลังจากเริม ในรายที่ไม่ได้รับการรักษา หรือดูแลตัวเองไม่ดี มีโอกาสที่เชื้อจะกระจายได้ บางครั้งอาจลามไปถึงสมองได้ ภาวะสมองบวมจากการอักเสบอาจทำให้ปวดศีรษะอย่างรุนแรง อาจเป็นอัมพาต หรือถึงแก่ชีวิตได้ โชคยังดีที่ปัญหารุนแรงเช่นนี้เกิดขึ้นน้อยมาก โดยมักเป็นกับทารกหรือผู้ป่วยความเสี่ยงสูงซึ่งต้องรับยากดภูมิคุ้มกัน
  • มะเร็งปากมดลูก ปัจจุบันยังมีข้อสงสัยอยู่ว่าไวรัสเริมอาจสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งปากมดลูก แต่ปัจจัยต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกนั้นมีมากมาย ดังนั้นการที่ผู้หญิงคนหนึ่งเคยเป็นเริม ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นมะเร็งปากมดลูก เพียงแต่ความเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูกในคนที่เคยเป็นเริมจะสูงกว่าคนที่ไม่ เคยเป็นมาก่อน ความสำคัญจึงอยู่ที่การตรวจภายในเพื่อตรวจหามะเร็งปากมดลูกโดย Pap smear เป็นประจำทุกปี
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันเริม
  • เลี่ยงการจูบหรือเพศสัมพันธ์ในขณะที่แผลกำลังหาย
  • เลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์เวลาที่เกิดแผลเริมขึ้นมา
  • ต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพราะเชื้อเริมยังแพร่เชื้อได้แม้จะไม่มีแผลให้เห็นก็ตาม
  • พยายามลดความเครียดหรืองานที่หนักเกินไป เพราะปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้ภูมิต้านทานการติดเชื้อของร่างกายลดลงได้
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today
ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today
                   Link        https://www.12rasi.com
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
 

             โรคเริม

เริ่ม Herpes simplex

เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อ herpes virus [HSV] โดยโรคเริมที่่ริมฝีปาก และโรคเริมที่อวัยวะเพศจะเกิดจากเชื้อตัวเดียวกัน ลักษณะของผื่นจะเหมือนกัน

h1เริม Herpes simplex

การติดเชื้อ herpes simplex

เชื้อ herpes virus [HSV]เป็นสาเหตุที่สำคับของการติดเชื้อเริมที่ผิวหนัง ริมฝีปาก และอวัยวะเพศและอาจจะติดเชื้อที่ส่วนอื่นของร่างกาย และอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ลักษณะผื่นของโรค herpes จะเหมือนกันไม่ว่าเกิดที่ไหน จะเป็นตุ่มน้ำเล็กๆบนผิวหนังที่อักเสบสีแดง

เชื้อ herpes มีสองชนิดคือ

  • Herpes simplex virus 1 (HSV-1) มักเกิดบริเวณปากและผิวหนังเหนือสะดือขึ้นไปเกิดที่ปากเรียก Herpes labialis โรคนี้ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • Herpes simplex virus 2 (HSV-2) เชื้อมักเกิดบริเวณอวัยวะเพศ และติดต่อโดยเพศสัมพันธ์เรียก Herpes genitalisherpes

เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายและอยู่ในชั้นของผิวหนังเชื้อจะ แบ่งตัว ทำให้ผิวหนังเกิดอาการบวมเป็นตุ่มน้ำและเกิดการอักเสบ หลังจากนั้นเชื้อจะเคลื่อนย้ายเข้าสู่ปมประสาท ganglia เป็นเวลานานโดยที่ไม่มีการแบ่งตัวถ้า หากปัจจัยแวดล้อมเหมาะสมเชื้อก็เกิดการแบ่งตัว ทำให้เกิดอาการเป็นซ้ำผู้ป่วยที่เป็นเริมที่ริมฝีปากจะมีอัตราการเกิดซ้ำ ประมาณร้อยละ 20-40 สำหรับเริมที่อวัยวะเพศจะมีอัตราการเกิดเป็นซ้ำประมาณร้อยละ 80 ปัจจัยที่กระตุ้นไม่แน่นชัดเชื่อว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับแสงแดด ไข้ การมีประจำเดือน ความเครียด การเกิดเป็นซ้ำจะมีอาการน้อยกว่าและหายเร็วกว่าการเกิดเป็นครั้งแรก


อาการของการติดเชื้อ herpes simplex 

อาการเริมต้นจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนตำแหน่งที่ได้รับเชื้อ อาการของการติดเชื้อที่ปาก และที่อวัยวะเพศจะเหมือนๆกันเพียงแต่ขึ้นกันคนละที่อาการจะแบ่งเป็น การเป็นครั้งแรก Primary Infection ระยะปลอดอาการ Latency and Shedding และอาการกลับเป็นซ้ำ Recurring Infections

  • การเป็นครั้งแรก Primary Infection เริ่มด้วยอาการปวดแสบร้อน ต่อมาจะมีอาการบวม และอีก 2-3 วันจะมีตุ่มน้ำใสเกิดบนฐานสีแดงตุ่มน้ำแตกออกใน 24 ชั่วโมงและตกสะเก็ด ตุ่มอาจจะรวมเป็นกลุ่มใหญ่และเป็นแผลกว้างทำให้ปวดมาก แผลจะหายใน 2-3 สัปดาห์ ตำแหน่งที่พบได้บ่อยได้แก่ ปาก ริมฝีปาก ตา เมื่อแผลแห้งแล้วจะไม่ติดต่อระหว่างที่เป็นผื่นต่อมน้ำเหลืองใกล้ๆ อาจจะโต และอาจจะมีไข้ปวดเมื่อยตามตัว
  • ระยะปลอดอาการ Latency and Shedding ช่วงนี้เชื้ออยู่ในร่างกายโดยที่ไม่เกิดอาการอะไร เชื้ออาจจะแบ่งตัวและสามารถติดต่อได้โดยเฉพาะเชื้อที่อวัยวะเพศแม้ว่าจะไม่ มีผื่น
  • อาการกลับเป็นซ้ำ Recurring Infections มีอาการน้อยกว่า และเป็นพื้นที่น้อยกว่าไม่ค่อยมีไข้ และมักเป็นบริเวณใกล้กับที่เดิม โดยเฉพาะที่อวัยวะเพศอาจจะกลับเป็นซ้ำได้ 5 ครั้งต่อปี

               Link     https://www.siamhealth.net

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++=

อัพเดทล่าสุด