อาหารที่ควรหรือไม่ควรทานสําหรับคนเป็นโรคเริม น้ำมันมะพร้าวรักษาโรคเริมได้ โรคเริมที่ปาก


1,421 ผู้ชม


อาหารที่ควรหรือไม่ควรทานสําหรับคนเป็นโรคเริม น้ำมันมะพร้าวรักษาโรคเริมได้ โรคเริมที่ปาก

              อาหารที่ควรหรือไม่ควรทานสําหรับคนเป็นโรคเริม

โรคเริมควบคุมและรักษาได้ อย่าวิตกจนเกินไป โดย เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล


โรคเริมควบคุมและรักษาได้ อย่าวิตกจนเกินไป

โดย เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล

คุณ ผู้หญิงคงอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับโรคเริมนี้มาก่อน อาจสงสัยว่าติดโรคนี้เข้าให้แล้วหรือเปล่า และถ้าติดแล้วก้อกังวลว่าเริมจะทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ แม้ว่าปัจจุบันเราจะยังไม่สามารถรักษาโรคเริมให้หายขาดได้ แต่ก้อมีวิธีบรรเทาโรคได้และมีวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้อาการโรคกลับมากำเริบ ซ้ำหรือขยายใหญ่โตไปติดต่อคนที่เรารักได้อีก

โรคเริมคืออะไรคะ ?

โรคเริม เป็นโรคติดเชื้อที่ผิวหนังและเยื่อบุบริเวณปากและอวัยวะเพศ เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เฮอร์ปีซิมเพลกซ์ (Herpes simplex virus) ซึ่งมี 2 ชนิด คือ

1.เฮอร์ปีซิมเพลกซ์ 1 Herpes simplex virus 1 (HSV-1) ถ้าติดเชื้อนี้แล้วมักจะเกิดอาการโรคบริเวณปากและผิวหนังเหนือสะดือขึ้นไป เกิดที่ปากเรียก Herpes labialis โรคนี้ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์

2.เฮอร์ปีซิมเพลกซ์ 2 Herpes simplex virus 2 (HSV-2)  มักเกิดบริเวณอวัยวะเพศและติดต่อโดยเพศสัมพันธ์เรียก Herpes genitalis

แล้วจะติดโรคได้อย่างไรกัน

ทุกๆ คนจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อนี้ได้ทั้งนั้น เชื้อไวรัสเริมติดต่อทางการสัมผัสโดยตรงกับผู้ได้รับเชื้อที่มีแผลถลอกอยู่ โดยเจ้าเชื้อนี้สามารถเคลื่อนผ่านรอยแตกเล็กๆ บริเวณผิวหนัง หรือเยื่อบุผิวที่ชุ่มชื้นบริเวณริมฝีปาก ช่องคลอด หรือทวารหนัก ทำให้เชื้อเริมเข้าไปได้

เช่น เดียวกับ มีรายงานการติดเชื้อเริมจากการเข้าห้องน้ำสาธารณะ บางคนเป็นเริมที่นิ้วมือ ติดจากการจับมือกัน การโหนราวรถเมล์ การจับลูกบิดประตูห้องน้ำสาธารณะ การจับโทรศัพท์สาธารณะ โดยทั่วระยะเวลาฟักตัวของไวรัสเริมประมาณ 2-20 วัน

โดยเชื้อ (HSV-1) จะ ติดต่อทางสารหลั่งในปาก โดยมากมักพบเริมที่บริเวณริมฝีปาก หรือบริเวณอวัยวะเพศ การจูบหรือดื่มน้ำแก้วเดียวกันทำให้เชื้อเริมติดต่อได้

ส่วน (HSV-2) การ มีเพศสัมพันธ์ขณะที่อีกฝ่ายกำลังเป็นเริมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเพศสัมพันธ์ปกติ ทางปาก หรือทางทวารหนัก เชื้อจะติดต่อไปยังอวัยวะเพศและทวารหนัก เมื่อเชื้อเข้าทางผิวหนังเชื้อจะไปตามเส้นประสาททำให้เชื้อลามเป็นบริเวณ กว้างและอาจจะเกิดผื่นที่บริเวณใหม่ ที่พบมากในผู้ชาย คือบริเวณองคชาติ อัณฑะ หรือก้น ส่วนในผู้หญิงมักเป็นบริเวณปากช่องคลอดภายนอกหรืออาจเป็นภายในช่องคลอดก็ได้

ฉันอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะติดโรคนี้ไหม ? จะได้ป้องกันไว้ก่อน

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อเริมที่ปากคือวัยเด็กอายุ 4-5 ปีมักติดต่อทางการสัมผัสเช่นการใช้ของร่วมกัน ส่วนผู้ใหญ่ก้อมักจะติดต่อกันโดยการจูบ ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เชื้อนี้ยังสามารถติดต่อจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งโดยเฉพาะที่ตาโดยการสัมผัส ด้วยมือ การป้องกันก็ต้องหมั่นล้างมือทำความสะอาด

ส่วนผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อเริมที่อวัยวะเพศ (HSV-2) การติดเชื้อเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะทางตรงจากการมีการร่วมรักกันตามปกติหรือทางปาก oral sex จึง ควรต้องระวังเป็นพิเศษสังเกตคู่ของคุณดูด้วยว่า บริเวณริมฝีปากและบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ มีแผลหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นแผลเริม การป้องกันควรงดมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้ถุงยางคุมกำเนิดขณะมีอาการติดเชื้อ ส่วนเด็กทารกมักจะติดเชื้อในแม่ที่ติดเชื้อ HSV-2 และมีการคลอดก่อนกำเนิดหรือต้องใช้เครื่องมือในการคลอด

มี รายงานพบว่าบางคนเป็นเริมที่นิ้วมือ อาจเกิดจากการจับมือกัน การโหนราวรถเมล์ การจับลูกบิดประตูห้องน้ำสาธารณะ การจับโทรศัพท์สาธารณะ โดยทั่วระยะเวลาฟักตัวของไวรัสเริมประมาณ 2-20 วัน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีรายงานการศึกษาแม้จะไม่มีผื่นหรืออาการเชื้อก็สามารถ แพร่ออกมาได้ ดังนั้นจึงไม่ยืนยันว่าว่าการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่มีอาการจะปลอดภัยจาก โรคเริมได้

ถ้าคิดว่าฉันติดเชื้อเข้าให้แล้ว จะมีอาการของการติดเชื้ออย่างไรบ้าง ?

หากว่า สงสัยว่าตัวคุณผู้หญิงนั้นจะมีโอกาสติดเชื้อนี้เข้าบ้างไหมเพราะมีปัจจัย เสี่ยงเสียเหลือเกินเช่น คู่ของคุณมีแผลบริเวณดังกล่าว หรือการไม่ได้สวมถุงยางอนามัย เอาหล่ะถ้าติดเชื้อไปแล้ว อาการเริ่มต้นที่คุณจะรู้สึกและสังเกตได้ก็คือจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนตรง ตำแหน่งที่ได้รับเชื้อ อาการของการติดเชื้อที่ปากและที่อวัยวะเพศจะเหมือนๆกันเพียงแต่ขึ้นกันคนละ ที่

อาการจะแบ่งเป็น

1. การเป็นครั้งแรก Primary Infection เริ่ม ด้วยอาการปวดแสบร้อน อาจมีอาการคัน เจ็บจี้ดๆหรือปวดแสบปวดร้อนบ้าง ต่อมาจะมีอาการบวมและอีก 2-3 วันจะมีตุ่มน้ำพองใสเหมือนหยดน้ำเล็กๆ มีขอบแดง ตุ่มน้ำมักจะแตกออกใน 24 ชั่วโมงและตกสะเก็ดเป็นแผลถลอกตื้นๆ ตุ่มอาจจะรวมเป็นกลุ่มใหญ่และเป็นแผลกว้างทำให้ปวดมาก โดยทั่วไปหากรักษาความสะอาดได้ดีไม่ให้ติดเชื้อซ้ำหรือมีหนอง แผลที่เกิดจากตุ่มจะหายเองได้ใน 2-3 สัปดาห์ ตำแหน่งที่พบได้บ่อยได้แก่ ปาก ริมฝีปาก ตา เมื่อแผลแห้งแล้วจะไม่ติดต่อ ระหว่างที่เป็นผื่นต่อมน้ำเหลืองใกล้ๆเช่นรักแร้หรือขาหนีบอาจจะโต และอาจจะมีไข้ปวดเมื่อยตามตัวได้

หลังจากนั้นจะเข้าสู่ระยะปลอดอาการ Latency and Shedding ช่วง นี้เชื้ออยู่ในร่างกายโดยที่ไม่เกิดอาการอะไรเลยเหมือนปกติทั่วไป แต่เชื้อก้ออาจจะแบ่งตัวและสามารถติดต่อได้โดยเฉพาะเชื้อที่อวัยวะเพศแม้ว่า จะไม่มีผื่น

2. การกลับมาเป็นซ้ำ Recurring Infections เมื่อ มีการติดเชื้อครั้งแรกแล้ว หลังจากนั้นจะมีการกลับเป็นผื่นใหม่เป็นระยะๆ เนื่องจากร่างกายกำจัดเชื้อไวรัสได้ไม่หมด การกลับมาเป็นใหม่ของโรคเริมแต่ละครั้งมักมีอาการน้อยกว่าและเป็นเกิดเป็น พื้นที่น้อยกว่าไม่ค่อยมีไข้ แต่มักเป็นบริเวณใกล้ๆกับที่เดิมโดยเฉพาะที่อวัยวะเพศ ผู้ที่เป็นโรคนี้มาแล้วมักรู้สึกว่ามี “อาการเตือน” นำมาก่อน ได้แก่ตุ่มน้ำมาก่อน 1–3 วัน เจ็บเสียวแปลบๆ คันยุบยิบ ปวดแสบปวดร้อนในบริเวณรอยโรคเดิม

ตรง นี้แหละครับที่ผู้ป่วยมักจะรำคาญ เพราะการเป็นเริมครั้งถัดๆ มา จะไม่ใช่เป็นการติดเชื้อใหม่ แต่เป็นเชื้อเดิมที่หายแล้วแต่จะซ่อนตัวอยู่ในบริเวณปมประสาทที่อยู่ใกล้ เคียงในร่างกายคุณ เมื่อมีการกระตุ้น ก็จะย้อนแนวเส้นประสาทออกมาแสดงอาการได้อีก

การรักษา ถึงเวลาไปพบแพทย์หรือเภสัชกรได้แล้วครับ

โดย ทั่วไปแล้ว โรคเริมนี้สามารถหายได้เองโดยไม่ต้องรักษา การใช้ยาต้านไวรัสไม่ได้ช่วยให้หายขาด เพียงแต่ช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดความถี่และลดระยะเวลาที่เป็นช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เว้นเสียแต่ในรายที่เพิ่งเริ่มแสดงอาการ หรือมีภูมิต้านทานบกพร่อง หรือไม่มีแนวโน้มที่แผลจะหายได้เอง จึงควรที่จะได้รับยาต้านไวรัสที่จำเพาะกับโรค ร่วมไปกับยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนที่อาจติดตาม ตุ่มน้ำที่แตกออกมา

1. ยาทาที่นิยมใช้ ได้แก่ Acyclovir จะได้ผลในด้านลดอาการปวด ทำให้ผื่นแห้งเร็วขึ้น ยาทาซึ่งมีส่วนผสมของ steroid ไม่ควรใช้เพราะแผลจะหายช้า

2. ยาชนิดรับประทาน ได้แก่ Acyclovir, Valacyclovir, Famciclovir นิยมใช้ในกรณีสำหรับผู้ที่มักจะกลับเป็นซ้ำได้บ่อย

อย่าวิตกจนเกินไป โรคเริมสามารถควบคุมและรักษาได้

สุขอนามัย ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากเมื่อคุณผู้หญิงเริ่มมีอาการของโรคเริม การดูแลแผลเริมอย่างถูกวิธีจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น และลดโอกาสการแพร่กระจายไปถึงผู้อื่น ลองมาฟังคำแนะนำเคล็ดลับน่ารู้ในการดูแลและควบคุมโรคเริมดีไหมครับ

* ความ เครียด การทำงานหนักมากเกินไป นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ ภูมิต้านทานของร่างกายลดน้อยลง ทำให้ติดเชื้อไวรัสได้ง่ายขึ้น หรือถ้าเป็นโรคนี้อยู่แล้ว ก็จะมีอาการโรคแย่ลง ระยะเวลาเป็นโรคนานขึ้น หรือกลับมามีการกลับมาเป็นซ้ำได้บ่อยยิ่งขึ้น

* เชื้อ ไวรัสเริมชอบอากาศร้อนชื้นเหงื่อออกง่ายและเกลียดความแห้งสะอาด อย่าใช้สิ่งใดๆ ไปปิดหรือพันบริเวณแผลเริม ความแห้งและอากาศที่ถ่ายเทได้ดีจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น พยายามซับและดูแลแผลให้แห้งตลอดเวลา

* ถ้าตุ่มน้ำใสแตกออกมา ให้ทำความสะอาดแผลเริมด้วยน้ำสบู่และน้ำสะอาดก็เพียงพอแล้ว

* อย่าแกะสะเก็ดแผลเริม ไม่ได้ช่วยให้หายเร็วขึ้นเลยครับ

* สวม ใส่เสื้อผ้าที่ไม่คับแต่หลวมสบายอากาศถ่ายเทสะดวก การใส่ชุดชั้นในที่เป็นไนลอนจะทำให้อับชื้นง่าย ควรใช้เสื้อผ้าที่มาจากใยธรรมชาติก็จะโล่งโปร่งสบาย อย่าใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่นจะได้ไม่แพร่เชื้อต่อไป

* ถ้าปวดแผลให้ใช้ยาระงับปวดทั่วๆไป

* หากมีแผลบริเวณปากช่องคลอด จะปวดแสบแผลเวลาปัสสาวะได้ การนั่งแช่ก้นในน้ำอุ่นจะบรรเทาปวดแสบได้ผล

แหล่งข้อมูล

ศ.นพ. สมยศ จารุวิจิตรรัตนา, โรคเริม, นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ 27 ฉบับที่ 320 ธันวาคม 2548

นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ, เริม Herpes simplex, ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ

โรคเริม ภัยจากไวรัสที่กำราบได้, นิตยสาร Health Today

รูปประกอบจากอินเตอร์เนท

         Link      https://www.oknation.net/

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++=


                    น้ำมันมะพร้าวรักษาโรคเริมได้

มหัศจรรย์น้ำมันมะพร้าว รักษาโรค

วงการแพทย์และนักโภชนาการสมัยใหม่ค้นพบแล้วว่า น้ำมัน มะพร้าวช่วยป้องกันโรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง ไม่ทำให้อ้วนเพราะเผาผลาญได้เร็วจึงไม่สะสม และไม่ทำให้คอเลสเตอรอลสูงขึ้น และความที่เป็นกรดไขมันอิ่มตัวจึงช่วยควบคุมการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันใน ร่างกาย ช่วยลดอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวพรรณดี ไม่เหี่ยวย่นแก่ก่อนวัย

น้ำมันมะพร้าวไม่เป็นโทษแม้แต่กับเด็กเล็ก เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดลอริค ซึ่งเป็นกรดไขมันที่พบได้มากในน้ำนมแม่นั่นเอง วิธีรับประทานน้ำมันมะพร้าวที่ดีที่สุดคือใช้น้ำมันมะพร้าวแทน น้ำมันพืชชนิดอื่นๆในการปรุงอาหาร หรือจะรับประทานเป็นอาหารเสริมก็ได้ ผู้ใหญ่รับประทานวันละ 3-4 ช้อนชา เด็กวันละ 1-2 ช้อนชา โดยเฉลี่ยแบ่งรับประทานทีละน้อยจนครบจำนวนในแต่ละวัน หรือจะผสมในเครื่องดื่มร้อนๆเช่นโกโก้ร้อนหรือน้ำผลไม้อุ่นๆก็ได้ น้ำมะเขือเทศอุ่นผสมน้ำมันมะพร้าวมีรสชาติอร่อยมาก.

วิธีตรวจสอบคุณภาพของน้ำมันมะพร้าว 

คุณภาพของน้ำมันมะพร้าว เบื้องต้นดูได้จากมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข โรงงานที่ผลิต และน้ำมันมะพร้าว ผ่านการตรวจสอบจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีความใสไม่มีสี ปราศจากสารปนเปื้อน มีกลิ่นหอม ได้รับการรับรองและเลขสารบบ อย. บนฉลากขวด แต่ก็สามารถตรวจสอบคุณภาพได้ด้วยตนเองง่ายๆ ดังนี้

  • ความใส น้ำมันมะพร้าวที่ สะอาดจะมีความใส ลักษณะโปร่งแสง แต่อาจเปรียบเทียบคุณภาพความใสที่แตกต่างกันในแต่ละยี่ห้อได้ไม่ชัดเจน เนื่องจากไม่ได้อยู่ในขวดลักษณะเดียวกัน สีของพลาสติกหรือแก้ว อาจทำให้มีอิทธิพลกับสีได้บ้าง
  • กลิ่น ความหอมของน้ำมันมะพร้าว ต้องหอมอ่อนให้ความรู้สึกว่าเป็นน้ำมันสดใหม่ ไม่มีกลิ่นหืน หรือเปรี้ยว ถึงแม้ว่าจะเปิดใช้แล้วกลิ่นต้องไม่เปลี่ยนแปลง แต่ยังมีผู้ผลิตบางรายดัดแปลงกลิ่น โดยใช้น้ำหอมสังเคราะห์กลิ่นมะพร้าว หรือ กลิ่นมะพร้าวน้ำ หอมเข้าไป วิธีนี้จะทำให้มีกลิ่นหอมมากในตอนเปิดขวดหรือเปิดใช้ หลังจากนั้นความหอมจะจางลง และเปลี่ยนเป็นเหม็นเปรี้ยว และทำให้อายุของน้ำมันมะพร้าวอยู่ได้ไม่นาน 
  • ความเบา น้ำมันมะพร้าวคุณภาพ ดี จะมีความเบา มีความหนืดน้อยมาก เวลารับประทานจะผ่านลำคอได้ง่ายและเร็ว มีความรู้สึกเหมือนละลายในปาก ในขณะที่กลืนลงคอไม่มีกลิ่นรุนแรง ไม่เลี่ยน
  • การซึมเข้าสู่ผิว น้ำมันมะพร้าวคุณภาพดี จะมีโมเลกุลเล็ก ทำให้ซึมเข้าสู่ผิวได้เร็ว ไม่ทิ้งคราบน้ำมันลอยอยู่บนผิว

เทคนิคการรับประทานน้ำมันมะพร้าว 

เทคนิคการับประทานน้ำมันมะพร้าวในรูปแบบต่าง ๆ 

  • ใส่น้ำมันมะพร้าวผสมในน้ำผลไม้
  • ใส่น้ำมันมะพร้าวในแกงจืด อาหารแกงต่างๆ 
  • ใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำสลัด 
  • น้ำมันมะพร้าวราดบนน้ำแข็งใส ไอศกรีม (สูตรนี้เด็กชอบรับประทาน) 
  • ใช้น้ำมันมะพร้าวทอดอาหาร อาหารจะไม่ชุ่มน้ำมัน และมีความกรอบได้นาน 
  • ใส่น้ำมันมะพร้าวลง ไปพร้อมการหุงข้าว จะทำให้ได้ข้าวนุ่ม หอม อร่อย (สูตรพิเศษใส่กระเทียมเล็ก 5-6 กลีบ และใบเตยโรยเกลือนิดหน่อยจะยิ่งทำให้อร่อยมากขึ้น)

น้ำมันมะพร้าวเป็นไข 

น้ำมัน และไขมันมีความแตกต่างกันอย่างไร น้ำมันและไขมันมักจะถูกใช้แทนที่กันเสมอ น้ำมันมีสถานะเป็นของเหลว ส่วนไขมันมีสถานะเป็นของแข็ง น้ำมันทุกชนิด สามารถกลายเป็นไขได้ แต่ด้วยอุณหภูมิที่แตกต่างกัน น้ำมันมะพร้าวเป็น ไข (แข็งตัวมีลักษณะเป็นครีมขาว) ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25๐c เนื่องจากมีคุณสมบัติเป็นน้ำมันอิ่มตัวสูง จึงเปลี่ยนเป็นไขเร็วกว่าน้ำมันชนิดอื่น ทำให้น้ำมันมะพร้าวมีสภาพเป็นครีมขาว ณ ที่จุดวางขาย หากมีอุณหภูมิเย็น (และจะเปลี่ยนกลับเป็นน้ำมันใสดังเดิมที่อุณหภูมิสูงกว่า 25?c)

ไขของน้ำมันมะพร้าวไม่ใช่น้ำมันเสีย แต่กลับเป็นสัญลักษณ์ของน้ำมันชนิดดี ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เมื่อคุณซื้อมาจากชั้นวางขาย หรือวางไว้ในห้องแอร์ น้ำมันมะพร้าวอาจ เป็นไขได้ คุณเพียงแต่ละลายไขนั้นด้วยการนำออกไปวางในห้องที่มีอุณหภูมิปกติ หรือวางไว้ในบริเวณที่ใกล้แสงแดด (ไม่ควรตากแดด เพราะหากลืมทิ้งไว้เป็นเวลานาน ความร้อนที่สะสมอาจมีผลกับภาชนะบรรจุ) 

ถึงแม้น้ำมันมะพร้าวจะเป็นผลิตผลของพืชเมืองร้อน แต่กลับเป็นที่นิยมของคนที่อยู่ในเขตหนาว การเป็นไขของน้ำมันมะพร้าวจึงเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้น ภาชนะที่ใช้ให้เหมาะสมจึงใช้เป็นกระปุกปากกว้าง เพื่อใช้ตักแทนการเทริน และขณะนี้การส่งน้ำมันมะพร้าวออกไปขายยังประเทศเหล่านั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการ

SHELF LIFE ของน้ำมันมะพร้าว 

น้ำมันมะพร้าวที่ ดีจะมี SHELF LIFE (อายุของผลิตภัณฑ์) นานมาก MCFAS (กรดไขมันสายปานกลาง) จะมีคุณสมบัติเป็นสาร ANTIOXIDANTS ทำให้ป้องกันการเสียได้นาน จากผลทดลองในห้อง LAB น้ำมันมะพร้าวที่บรรจุในกระปุกและเปิดฝาทิ้งไว้ มี SHELF LIFE นานกว่า 5 ปี

แต่ถ้าน้ำมันมะพร้าวมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวหรือหืนแล้ว ไม่ควรรับประทานเพราะกลิ่นที่เปลี่ยนไปนี้เกิดจากมีความชื้นเข้าไปรวมตัวกับน้ำมันมะพร้าว เกิดเป็นสารอนุมูลอิสระ

เพราะฉะนั้นศัตรูที่สำคัญที่สุดของน้ำมันมะพร้าวก็คือความชื้น ขั้นตอนการ DRY OIL คือการกำจัดความชื้นออกจากน้ำมันมะพร้าว เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดขั้นตอนหนึ่ง ดังนั้นเมื่อต้องการน้ำมันมะพร้าวที่ ดี การดมกลิ่นจึงสามารถใช้เป็นมาตรฐานการเลือกซื้อเบื้องต้นได้ และหลังจากเปิดใช้แล้วควรเก็บให้ห่างจากการเปียกน้ำ และความชื้น จะทำให้มีอายุการใช้งานได้นาน

รับประทานน้ำมันมะพร้าวช่วยให้ท้องระบายดีขึ้น

ใน ลำไส้ใหญ่ของเราจะอุดมไปด้วย PROBIOTIC แบคทีเรียชนิดดีอยู่เป็นจำนวนมาก ทำหน้าที่ควบคุมเชื้อยีสต์ และเชื้อรา (ซึ่งเป็นสาเหตุของลำไส้ใหญ่อักเสบ เชื้อราในช่องคลอด) เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ซึ่งมีมากใน ผัก ผลไม้ PROBIOTIC จะใช้เอนไซม์ช่วยย่อย สิ่งที่ได้หลังการย่อย จะได้เป็นกรดไขมันสายสั้น (SCFAs) และกรดไขมันสายปานกลาง (MCFAs) ในสภาวะที่อุดมไปด้วยกรดไขมันนี้เป็นสภาวะที่เอื้อให้ PROBIOTIC เพิ่มจำนวนขึ้นมากอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การย่อยในลำไส้ใหญ่มีประสิทธิภาพสูง จึงขับถ่ายเร็วขึ้น และขับของเสียออกมาอย่างสะดวกสบายท้อง 

น้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดไขมันสายปานกลาง (MCFAs) จึงมีผลต่อ PROBIOTIC ทันทีที่น้ำมันเดินทางไปถึงลำไส้ใหญ่ ดังนั้นหลังจากรับประทานน้ำมันมะพร้าวไป ได้ไม่นาน จะรู้สึกเป็นการกระตุ้นลำไส้ให้ขับถ่าย บวกกับคุณสมบัติความลื่นของไขมันจึงช่วยส่งเสริมให้การขับถ่าย ไหลลื่น สะดวดรวดเร็ว 

การ ขับถ่ายที่สะดวกนี้ไม่เหมือนการขับถ่ายที่เกิดจากการรับประทานอาหารผิดสำแดง ไม่มีโทษใดๆ กับร่างกายไม่ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เนื่องจากเสียเกลือแร่ ไม่มีผลอันตรายใดๆ เกิดขึ้นเหมือนเช่นรับประทานยาระบาย เพียงแต่ให้คอยสังเกตว่า ลำไส้ของเรามีความไวต่อเรื่องนี้มากน้อยอย่างไร ปรับจำนวนการรับประทาน และเวลาที่สะดวกในการขับถ่าย ก็จะเหมาะสมและสะดวกขึ้น 

นอกจากคุณสมบัติของ MCFAs ที่ช่วยให้การขับถ่ายมีประสิทธิภาพดีแล้ว และหากคุณใช้น้ำมันมะพร้าวพร้อม กันหลายยี่ห้อและให้ผล จำนวนการรับประทานที่แตกต่างกัน เช่น บางยี่ห้อรับประทานเพียง 1 ช้อนโต๊ะ บางยี่ห้อต้องรับประทานถึง 2 ช้อนโต๊ะ จึงจะมีผลในการขับถ่ายเหมือนกัน ให้สันนิษฐานเบื้องต้นว่ามีความแตกต่างกันที่ความสะอาดในการผลิต ยี่ห้อที่รับประทานถึง 2 ช้อนโต๊ะน่าจะมีความสะอาดในการผลิตมากกว่า และควรกลับไปพิจารณาเปรียบเทียบในคุณสมบัติข้ออื่น ๆ หรือสอบถามได้โดยตรงกับผู้ผลิต 

มหัศจรรย์น้ำมันมะพร้าว ในการรักษาโรค

การ วิจัยและการเฝ้าสังเกตทางการแพทย์แสดงให้เห็นว่า กรดไขมันชนิด Medium-chain ที่เราสามารถพบเห็นได้ในน้ำมันมะพร้าวนั้น สามารถช่วยป้องกันและรักษาโรคได้มากมายหลายประเภท น้ำมันมะพร้าวนั้น สามารถช่วยคุณได้ดัวนี้

  • ป้องกันโรคหัวใจ ความดันเลือดสูง การสะสมของไขมันบนผนังของหลอดเลือดแดง ภาวะหลอดเลือดสมองอุดตัน หรือหลอดเลือดในสมองแตก
  • ป้องกันโรคเบาหวานและช่วยลดอาการ หรือความเสี่ยงในการเป็นเบาหวาน 
  • ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน                                                                            
  • ช่วยลดน้ำหนักที่เป็นส่วนเกินของร่างกาย 
  • ฆ่า เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคความผิดปกติเกี่ยวกับเม็ดเลือดขาว ไข้หวัดใหญ่ โรคตับ อักเสบซี โรคหัด โรคเริม โรคเอดส์ และการเจ็บป่วยอื่น ๆ 
  • ลดอาการของภาวะตับอ่อนอักเสบ 
  • ลดความรุนแรงของภาวะสำไส้ไม่ดูดซึมอาหาร การเกิดเนื้อเยื่อเส้นใยที่ถุงน้ำดี 
  • บรรเทาอากาของโรคที่เกี่ยวกับถุงน้ำดี 
  • ป้องกันโรคกระดูกเปราะและหักง่าย อันเนื่องมาจากขาดแคลเซี่ยมและแร่อื่น ๆ 
  •  บรรเทาอาการภาวะอักเสบเรื้อรังของลำไส้โดยไม่ทราบสาเหตุ ภาวะอักเสบของลำไส้ใหญ่เรื้อรัง และแผลพุพองบริเวณช่องท้อง 
  • บรรเทาอาการปวดและระคายเคืองของโรคริดสีดวงทวาร 
  • ลดการอักเสบเรื้อรัง 
  • ป้องกันมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งชนิดอื่น ๆ 
  • ป้องกันโรคเนื้อเยื่อและโครงสร้างรอบๆฟัน และปัญหาฟันผุ 
  • ป้องกันปัญหาแก่ก่อนวัย และโรคที่เกี่ยวกับการเสื่อมสภาพต่างๆ 
  • บรรเทาอาการที่เกี่ยวข้องกับภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง 
  • บรรเทาอาการที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนอย่างผิดปกติของเซลล์ที่ต่อมลูกหมาก แต่เป็นชนิดไม่ร้ายแรง (ต่อมลูกหมากโต) 
  • ลดภาวะการเป็นลมบ้าหมู 
  • ป้องกันโรคที่เกี่ยวกับไตและการติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะ 
  • ป้องกันโรคตับ 
  • ฆ่า เชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคปอดอักเสบ อาการปวดในหู การติดเชื้อที่ลำคอ ฟันผุ อาหารเป็นพิษ การติดเชื้อบริเวณท่อปัสสาวะ เยื่อหุ้มสมองและไขสันหลังอักเสบ โรคหนองใน และโรคอื่นๆอีกมากมาย 
  • ฆ่า เชื้อราและยีสต์ที่ก่อให้เกิดโรค Candida โรคกลาก โรคเชื้อราตามง่ามนิ้วเท้า โรคซางในปากเด็ก การอักเสบเป็นผื่นแดงที่ก้นทารก เนื่องจากระคายเคืองจากการใส่ผ้าอ้อม และโรคติดเชื้ออื่น ๆ 
  • ขับไล่ หรือฆ่าพยาธิตัวตืด เหา เชื้อ Giardia และปรสิตอื่น ๆ 
  • ป้องกันการติดเชื้อที่ผิวหนัง 
  • ลด อาการที่เกี่ยวข้องกับโรคเรื้อนกวาง โรคที่ผิวหนัวมี่อาการอักเสบ เปื่อย และพุพอง ซึ่งเรียกว่า Eczema รวมไปถึงโรคการอักเสบที่ผิวหนังซึ่งเรียกว่า Dermatitis 
  • ลดปัญหาผิวหนังแห้งแตก และลอกเป็นสะเก็ด 
  • ป้องกันผลกระทบร้ายแรงซึ่งเกิดจากรังสี UV ของดวงอาทิตย์ เช่น รอยเหี่ยวย่น ผิวเปราะบาง และจุดด่างดำที่บ่งบอกอายุ 
  • ควบคุมรังแค

เรียบเรียงบทความ
มหัศจรรย์น้ำมันมะพร้าว รักษาโรค
โดยกองบรรณาธิการ
www.YesSpaThailand.com  
                                                 Link https://www.yesspathailand.com

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++=

              โรคเริมที่ปาก

โรคเริ่มที่ปาก Herpes labialis

เป็นการติดเชื้อไวรัส herpes ที่ริมฝีปาก โดยจะมีตุ่มใสที่ริมฝีปาก เหงือก จะมีอาการปวด

เริมที่ปาก herpes labialisอาหารที่ควรหรือไม่ควรทานสําหรับคนเป็นโรคเริม น้ำมันมะพร้าวรักษาโรคเริมได้ โรคเริมที่ปาก

เป็นการติดเชื้อเริมที่ริมฝีปากเกิดจากเชื้อ herpes โดยมีลักษณะเป็นตุ่มใสๆเล็ก บริเวณริมฝีปาก ปาก เหงือกและมีอาการปวด

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อ herpes simplex type 1 ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อครั้งแรก อาจจะไม่มีอาการหรือเกิดตุ่มใส เชื้อนั้นจะไปยังปมประสาท และอยู่โดยไม่มีการแบ่งตัว จนมีภาวะแวดล้อมเหมาะสมเชื้อจะแบ่งตัว และทำให้เกิดตุ่มใสที่ปากลักษณะเป็นกลุ่มของตุ่มน้ำใส แสบและคันเล็กน้อย ตุ่มน้ำใสนี้จะแตกออกง่ายแล้วตกสะเก็ด หายไปในเวลาประมาณ 7-8 วัน ก่อนจะเกิดตุ่มน้ำใส อาจมีอาการตึงๆ ร้อนวูบวาบบริเวณริมฝีปากนำมาก่อนได้ในผู้ป่วย บางรายอาการครั้งแรกจะรุนแรง มีแผลตุ่มน้ำจำนวนมาก มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโตได้ หลังจากอาการหายแล้ว เชื้อไวรัสจะหลบซ่อนภายในปมประสาท ต่อมาเมื่อร่างกายอ่อนแอลง มีอารมณ์เครียด ถูกแสงแดด ฯลฯ เชื้อไวรัสนี้จะออกจากปมประสาทมายังบริเวณที่เคยมีอาการติดเชื้อครั้งแรก ทำให้โรคเป็นๆ หายๆ อยู่บ่อยๆ โดยทั่วไปการติดเชื้อเริมมักจะไม่รุนแรง แต่ในคนที่มีภูต้านทานต่ำกว่าปกติ เช่น คนที่กำลังได้รับยารักษาโรคมะเร็งหรือกำลังได้รับการฉายรังสี เป็นต้น อาการที่เป็นอาจรุนแรงได้

การติดต่อ

การติดต่อเชื้อนี้จะติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรงเช่นการจูบ หรือการใช้ของร่วมกัน เช่น การใช้ใบมีดโกน การใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกัน หลังจากได้รับเชื้อ 7-10 วันจะเริ่มเกิดอาการแสบร้อนและตามด้วยตุ่มใสเล็กๆ ตุ่มใสนี้จะอยู่เป็นเวลา 7-10 วันแล้วจึงเริ่มหาย

 


อาการ

  • เริ่มด้วยอาการปวดแสบปวดร้อน คันๆบริเวณปากก่อนเกิดผื่น 2 วัน
  • ต่อมาเกิดตุ่มใสที่ปากหรือริมฝีปาก ตุ่มอาจจะรวมกันเป็นแผลใหญ่
  • อาจจะมีไข้ต่ำๆ

การวินิจฉัย

  • จากลักษณะเฉพาะของผื่น
  • จากการเพาะเชื้อ
  • จาการตรวจ Tznack test

การรักษา

  • เมื่อเกิดอาการครั้งแรกในระยะตุ่มน้ำใส ควรรับไปพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยถูกต้องแน่นอน ซึ่งอาจได้รับยาที่ช่วยให้อาการระยะเฉียบพลันดีขึ้น
  • รักษาความสะอาดของร่างกายรวมทั้งล้างมือให้สะอาดทันทีหลังจับต้องแผล เพราะอาจจะนำเชื้อไปสู่ส่วนอื่นของร่างกายได้
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น เช่น การจูบ ใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกันโดยเฉพาะกับเด็กเล็กๆ หรือผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำเพาะมีโอกาสติดเชื้อง่าย
  • ผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาอาจจะหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์
  • ให้ทำความสะอาดผื่นด้วยสบู่ฆ่าเชื้อ
  • การรับประทานยาฆ่าเชื้ออาจจะทำให้หายเร็วขึ้น

โรคแทรกซ้อน

  • ตาบอดได้หากเชื้อนี้เกิดที่ตา
  • เชื้อนี้แพร่ไปติดเนื้อเยื่อข้างเคียง
  • มีการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผื่น
  • มีการกลับเป็นซ้ำของผื่น
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องการติดเชื้อนี้อาจจะทำให้เสียชีวิต

การป้องกัน

  • ระวังการสัมผัสกับผู้ป่วยที่เป็นเริมและยังมีผื่นในระยะติดต่อ
  • อย่าใช้ของร่วมกัน
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง

             Link     https://www.siamhealth.net

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อัพเดทล่าสุด