โรคเริมที่อวัยเพศ รูปภาพโรคเริม โรคเริมที่อวัยเพศหญิง


7,666 ผู้ชม


โรคเริมที่อวัยเพศ รูปภาพโรคเริม โรคเริมที่อวัยเพศหญิง

โรคเริมที่อวัยเพศ

  เริม Herpes simplex    

          
         เริม คือ โรคติดเชื้อไวรัสชนิดเฮอร์เป็นโรคหนึ่งซึ่งจัดเข้าอยู่ในกลุ่มโรคติดต่อทาง เพศ สัมพันธ์ ไวรัสนี้ทำใหเกิดการติดเชื้อได้หลายระบบทั่วร่างกาย เช่น ตาเยื่อบุช่องปาก ริมฝีปาก ผิวหนัง ระบบประสาท และ สมอง รวมทั้งบริเวณอวัยวะเพศ โดยเชื้อไวรัสนี้จะเข้าสู่ร่างกายได้โดยการสัมผัส ทางเยื่อบุหรือทางผิวหนัง ที่ถลอก หรือเป็นแผล บริเวณที่พบอาการติดเชื้อเริมมากที่สุดคือ ริมฝีปาก รองลงมาคือบริเวณอวัยวะเพศ คนส่วนใหญ่ ประมาณ 80-90 % จะเคยได้รับเชื้อไวรัสเริมเข้าสู่ ร่างกายแล้ว แต่อาจไม่ได้แสดง อาการของโรค เมื่อเกิด อาการติดเชื้อครั้งแรกแล้วมักจะเกิดซ้ำอีก เป็น ๆ หาย ๆ อยู่เรื่อยไป

           

   
ลักษณะของโรคเริม             
          เมื่อเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายประมาณ 6-8 วัน จะทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดตุ่มน้ำพองใสเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละ 2-10 เม็ด ซึ่งเป็นช่วงที่สามารถติดต่อไปสู่ผู้อื่นได้ผู้ป่วยจะมีอาการคันหรือแสบร้อน รอบ ๆ ตุ่มใสนี้ ซึ่งต่อมาจะแตกออกเป็นแผลตื้น ๆ หลายแผลติดกัน    
เริมอวัยวะเพศ              
          โรคเริมอวัยวะเพศนี้ มีอัตราการติดต่อสูง ซึ่งโดยมากมักจะเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ กับผู้ที่เป็น โรคนี้อยู่ การใช้ถุงยางอนามันก็ไม่สามารถป้องกันได้ทีเดียว    
   
อาการของการติดเชื้อ herpes simplex     

          
          อาการเริมต้นจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนตำแหน่งที่ได้รับเชื้ออาการ ของการติดเชื้อที่ปาก และที่ อวัยวะเพศจะเหมือน ๆ กันเพียงแต่ขึ้นกันคนละที่อาการจะแบ่งเป็น การเป็นครั้งแรก Primary Infection ระยะปลอดอาการ Latency and Shedding และอาการกลับเป็นซ้ำ Recurring Infections

 
          

      การเป็นครั้งแรก Primary Infection เริ่มด้วย อาการปวดแสบร้อน ต่อมาจะมีอาการบวมและอีก 2-3 วันจะมีตุ่มน้ำใสเกิดบนฐานสีแดงตุ่มน้ำแตกออกใน 24 ชั่วโมง และตกสะเก็ด ตุ่มอาจจะรวมเป็นกลุ่มใหญ ่และเป็นแผลกว้างทำให้ปวดมาก แผลจะหายใน 2-3 สัปดาห์ ตำแหน่งที่พบได้บ่อยได้แก่ ปาก ริมฝีปาก ตา เมื่อแผลแห้งแล้วจะไม่ติดต่อระหว่างที่เป็นผื่น ต่อมน้ำเหลืองใกล้ ๆ อาจจะโตและอาจจะมีไข้ปวด เมื่อยตามตัว

          
      ระยะปลอดอาการ Latency and Shedding ช่วงนี้เชื้ออยู่ในร่างกายโดยที่ไม่เกิดอาการอะไร เชื้อ อาจจะแบ่งตัวและสามารถ ติดต่อได้โดย เฉพาะเชื้อที่อวัยวะเพศแม้ว่าจะไม่มีผื่น

   

      อาการกลับเป็นซ้ำ Recurring Infections มีอาการน้อยกว่า และเป็นพื้นที่น้อยกว่าไม่ค่อยมีไข้ และมักเป็นบริเวณใกล้กับที่เดิมโดยเฉพาะที่ อวัยวะเพศอาจจะกลับเป็นซ้ำได้ 5 ครั้งต่อปี

   
ปัจจัยกระตุ้นในการกลับเป็นซ้ำ              

           สิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นได้แก่ การถูไถ การสัมผัสลม แสง ความเย็น เสื้อผ้าคับ ๆ เหงื่อ ความเครียด
           อาหารได้แก่ ถั่ว กาแฟ แอลกอฮอล์ ช็อกโกแลต 
           การมีประจำเดือน
           การนอนหลับ ความเครียด ไข้

   
   

          
      ทุก ๆ คนจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ herpes simplex โดยเฉพาะกลุ่มที่มีฐานะไม่ดีโดยเชื้อ (HSV-1) จะติดต่อทางสารหลั่งในปาก ส่วน (HSV-2) จะติดต่อทางอวัยวะเพศ ทวารหนักเมื่อเชื้อ เข้าทางผิวหนัง เชื้อจะไปตามเส้นประสาททำให้เชื้อลามเป็นบริเวณกว้างและอาจจะเกิดผื่นที่ บริเวณใหม่

   

      ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อเริมที่ปากคือวัยเด็กอายุ 4-5 ปีมักติดต่อทางการสัมผัสเช่นการใช้ของร่วมกัน การจูบไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เชื้อนี้สามารถติดต่อจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง โดยเฉพาะที่ตา โดยการ สัมผัสด้วยมือ ดังนั้น ต้องล้างมือให้สะอาด

   

      ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อเริมที่อวัยวะเพศมักเกิดในผู้ที่มีคู่ขาหลายคน การมีเพศสัมพันธ์ทางปาก oral sex ซึ่งเชื้อที่เป็นสาเหตุมักจะเป็น type 1 การป้องกันการติดเชื้อควรงดมีเพศสัมพันธ์ุ หรือใช้ถุงยาง คุมกำเนิดขณะมีอาการติดเชื้อ

   

      การเป็นเริมในทารกมักจะติดเชื้อในแม่ที่ติดเชื้อ HSV-2 และมีการคลอดก่อนกำเนิดหรือ ต้องใช้ เครื่องมือในการคลอด

         ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่นเช่น นักมวยปล้ำ นักรักบี้ นักมวย ผู้ป่วยโรคเอดส์    

          มี การศึกษาว่าแม้จะไม่มีผื่นหรืออาการเชื้อก็สามารถแพร่ออกมาได้ ดังนั้นไม่มีหลักประกันว่าการมี เพศสัมพันธุ์กับคนที่ไม่มีอาการจะปลอดภัยจากโรคเริม

   
   
ข้อปฏิบัติสำหรับคนใข้โรคเริมอวัยวะเพศ               งดเพศสัมพันธ์หรือสัมผัส โดยตรงกับแผลจะกระทั่งแผลหายดีแล้ว พยามละเว้นการแตะต้องกับ บริเวณ เพราะอาจจะแพร่ไปสู่ริเวณร่างการได้
           สวมชุดชั้นใน ชนิดฝ้าย และ เว้นการสวมเครื่องนุ่งห่ม หรือ กางเกงที่คับหรือยีนส์สตรีควรงด สวมกางเกงชนิดทำจากไนล่อนหรือลินิน
           สตรีที่เป็นเริมอวัยวะเพศโอกาสเสี่ยงสูง ต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก ดังนั้น จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อ  การตรวจ PAP SMEAR 1-2 ครั้งทุกเดือน
          ทุกครั้งที่เปลี่ยนแพทย์ ให้เล่าประวัติการเกิดเริมของตนเองกับแพทย์ ที่ท่านไปหาใหม่
           สตรีที่ตั้งครรภ์ควรได้รับการตรวจเกี่ยวกับเริมเป็นพิเศษโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงใกล้คลอดถ้าสงสัย    ว่าจะเป็นโรคเริม ควรรีบปรึกษาแพทย์    
   

          
      มียารับประทานให้เลือก 3 ตัวให้เลือกในการรักษา ยาทั้ง 3 ตัวมิได้ให้หายขาดเพียงแต่ลดความ รุนแรง ลดความถี่และลดระยะเวลาที่เป็นยาทั้ง 3 ได้แก่ Acyclovir, Valacyclovir, Famciclovir การให้ยา มีได้ 2 ลักษณะ คือ

   

           Acute therapy หมายถึงการเริ่มให้ยาตั้งแต่เริ่มมีอาการคือปวดแสบปวดร้อนโดยที่ยังไม่มี ผื่นขึ้น ถ้ามีผื่นขึ้นจะไม่ได้ผล ให้ยาครบ 5 วัน
           Suppress therapy คือการให้ยาเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ จะเลือกให้ในรายที่เกิดการกลับ เป็นซ้ำบ่อย หรือมีโรคประจำตัว

   

      สำหรับยาทายังไม่มียาทาที่ได้ผลดี ยาทาอาจจะได้ผลในแง่ลดอาการปวด ทำให้ผื่นแห้งเร็วยาที่นิยม ใช้ คือ acyclovir ครีมซึ่งได้ผลเฉพาะ primary lesion ยาทาไม่ช่วยลดจำนวนเชื้อ หรือลดระยะเวลา ที่เป็นโรค สำหรับยาอื่นต้องเลือกให้ดีเพราอาจจะมีแอลกอฮอล์ หรือสารที่ระคายอย่างอื่นซึ่งทำให้แผล หายช้า ยาซึ่งมีส่วน ผสมของ steroidก็ไม่ควรใช้เพราะแผลจะหายช้า

   
   
โรคแทรกซ้อนของการติดเชื้อ herpes simplex    

          
           การตั้งครรภ์และการติดเชื้อ herpes simplex พบว่าคนท้องที่ติดเชื้อประมาณร้อยละ 0.01.0.04 อาจจะเกิดการแท้ง คลอดก่อนกำหนด เด็กเจริญเติบโตช้าโดยเฉพาะการติดเชื้อใกล้คลอด ดังนั้นแนะนำ ว่าควรจะรักษาหากเกิดการติดเชื้อเมื่อใกล้คลอด การติดเชื้อครั้งแรกจะเกิดโรคแทรกซ้อน ได้บ่อยกว่า การติดเชื้อที่กลับเป็นซ้ำ
           Herpes Encephalitis เกิดจากเชื้อที่อยู่ในระยะ Latency และเกิดการแบ่งตัวผู้ป่วยอาจจะ เสียชีวิต หากไม่ได้รักษาแต่โชคดีที่พบน้อย
           Herpes Meningitis พบได้ร้อยละ 4-8 ในคนที่เป็น primary genital HSV-2พบมากในผู้หญิง แต่ไม่ ต้องตกใจเนื่องจากหายเองใน 2-7 วันผู้ป่วยจะปวดศีรษะ อาเจียน และมีไข้
           ผู้ป่วยโรคเอดส์และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องจากยา เช่น steroid มะเร็ง ยารักษามะเร็งหาก ผู้ป่วยกลุ่มนี้ ติดเชื้อ herpes simplex จะเป็นรุนแรงมีโรคแทรกซ้อนปอดบวม ตับอักเสบ สมองอักเสบ
           การติดเชื้อที่ตา อาจจะทำให้ตาพร่ามัว ในรายที่เป็นรุนแรงอาจจะทำให้ตาบอด

                Link    https://www.thaigoodview.com

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++=


               รูปภาพโรคเริม


โรคเริม..เจ้าตัวร้าย อย่าได้เป็นเชียวละคับ



ไม่ใช่โรคร้ายแรง

 

 

เคย มั้ยเวลาเกิดผื่นแดง ตุ่มพอง น้ำใส คนโน้นว่าเป็นงูสวัดคนนี้ว่าเป็นเริม แต่พอไปหาหมอ บอกอาการเสร็จสรรพแล้ว หมออธิบายให้เข้าใจความแตกต่างที่เหมือนกันอย่างแจ่มแจ้ง เลยอยากให้คุณได้ความรู้ด้วย

 

          โรคเริม

 

          1.เกิดจากเชื้อไวรัส "เฮอร์ปีส์" ชนิดที่ 1 หรือ 2 พบได้บ่อยบริเวณริม1. ฝีปาก อวัยวะเพศ  และ ก้น2.การติดเชื้อครั้งแรก อาการจะค่อนข้างรุนแรง มีไข้ ปวดเมื่อยต่อมน้ำเหลืองในบริเวณใกล้เคียงมีการอักเสบ เช่น ถ้าเป็นเริมที่อวัยวะเพศ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบจะอักเสบ ถ้าเป็นเริมที่ริมฝีปาก ต่อมน้ำเหลืองที่คอจะอักเสบ ลักษณะจะเป็นตุ่มน้ำขนาดเล็ก พองใส มีขอบแดง มักขึ้นรวมกันเป็นกลุ่ม แต่ไม่เรียงตามแนวเส้นประสาท และตุ่มน้ำนี้จะแตกเป็นแผลถลอกตื้น ๆและหายไปในที่สุด ภายใน 1-2 สัปดาห์

          3.  เชื้อไวรัส "เฮอร์ปีส์"  หรือ เริม สามารถกระจายสู่ผู้อื่นได้ด้วยการสัมผัสทางกาย การจูบ การมีเพศสัมพันธ์ โดยเชื้อจะแทรกเข้าทางเยื่อบุหรือผิวหนังที่ถลอกเป็นแผล แล้วก่อให้เกิดผื่นเริมภายใน2-20 วัน หลังรับเชื้อ หรือในรายที่มีร่างกายแข็งแรงอาจไม่ปรากฏรอยโรคเริมเลยก็ได้ หลังจากนั้นเชื้อจะหลบแฝงตัวที่ปมประสาท จนกว่าจะถูกกระตุ้น ก็จะกลับมาเป็นโรคเริมอีกครั้ง4. ผู้ที่เคยเป็นโรคเริมแล้ว  จะ มีโอกาสเป็นซ้ำในตำแหน่งเดิมได้บ่อยและสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดซ้ำ คือ ภาวะเครียด มีภูมิต้านทานร่างกายต่ำลง พักผ่อนไม่เพียงพอ อ่อนเพลีย ขาดสารอาหาร วิตกกังวลหากหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ ความถี่ของการเป็นโรคเริมจะน้อยลง

           5.  สำหรับ ผู้ที่เป็นโรคเริม ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสตุ่มน้ำหรือแผลเพราะอาจแพร่เชื้อไปสู่บริเวณอื่นของ ร่างกายหรือติดต่อไปยังผู้อื่นได้เมื่อมีแผลเริมที่ริมฝีปาก ห้ามจูบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็ก ผู้หญิงมีครรภ์งดการมีเพศสัมพันธ์ ตั้งแต่เริ่มมีอาการคันจนกระทั่งแผลหาย เพราะเป็นช่วงปล่อยเชื้อ ถึงแม้ใช้ถุงยางอนามัยก็ไม่ปลอดภัย 100% และล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ หลังเข้าห้องน้ำอย่าขยี้ตาหากเป็นเริม6. ในปัจจุบันยังไม่มียาใดที่ทำให้โรคนี้หายขาดได้ ถึงแม้ว่ายาต้านไวรัสจะมีประสิทธิภาพสูง ในรายที่เป็นเริมถี่มากกว่า 6 ครั้งต่อปีควรปรึกษาแพทย์ซึ่งจะพิจารณาใช้ยาต้านไวรัสขนาดต่ำ เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ หรือลดความถี่ของเริม ปัญหาของโรคเริมคือ การกลับเป็นซ้ำทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ขาดความมั่นใจรู้สึกไม่สวยงาม เสียบุคลิกภาพ

        โรคงูสวัด

 

          1. เกิดจากเชื้อไวรัส "เฮอร์ปีส์" ชนิดที่ 3 หรือชื่อเดิม คือ Varicellazoster virus  ซึ่งเป็นไวรัสตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคสุกใส2.เริ่มแรกจะรู้สึกไม่ค่อยสบาย อาจมีไข้ขึ้น ปวดร้าวตามผิวกาย

          โดย เฉพาะตามแนวเส้นประสาทที่จะเกิดเป็นงูสวัด บางคนอาจปวดมาก หรือปวดแสบปวดร้อน 3-4 วัน ต่อมาจะมีเม็ดผื่นแดงๆขึ้น ตรงบริเวณที่ปวดแล้วกลายเป็นตุ่มน้ำใส จากนั้นจะเป็นตุ่มเหลืองขุ่น มักเรียงกันเป็นแถวยาวตามแนวเส้นประสาท และจะแตก ค่อยๆ ยุบไปจนแห้ง และเมื่อหายแล้ว ภายหลังอาจมีอาการปวดตามแนวเส้นประสาทได้3. ถึงแม้ว่าเราสามารถตรวจพบเชื้อไวรัสนี้ จากตุ่มน้ำรอยโรคแต่การรับเชื้อครั้งแรกจะรับทางการหายใจ และออกผื่นเป็นโรคสุกใสก่อน ต่อมาเมื่อร่างกายอ่อนแอจึงกำเริบ ออกผื่นเป็นแบบงูสวัด 4.  ในคนส่วนมาก งูสวัดเกิดครั้งเดียวในชีวิต มีเพียงส่วนน้อยที่มี

          ความผิดปกติในระบบภูมิคุ้มกัน จึงจะเป็นซ้ำได้5.เมื่อเกิดตุ่มน้ำงูสวัด ควรจะทำแผลโดยการประคบน้ำเกลือ (0.9%

          normal saline) ครั้ง ละประมาณ 10 นาที ประมาณ 2-3 ครั้ง/วันถ้าตุ่มน้ำแตกให้ทำความสะอาดแผลเหมือนแผลทั่วไป เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม6. ในปัจจุบันมียาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพสูงทำให้โรคหายได้ ลดอาการเจ็บปวด และแผลหายไวขึ้น ลดระยะเวลาแพร่เชื้อ แต่ผู้ป่วยต้องมารับยาเร็วที่สุด จะได้ประสิทธิภาพการรักษาสูงสุด

          อย่าง ไรก็ตาม ทั้งเริมและงูสวัด ไม่ถือเป็นโรคที่ร้ายแรง และจะหายได้เองหากร่างกายแข็งแรงดี ภายใน 1-2 สัปดาห์ สำหรับการรักษา จะบรรเทาตามอาการ ซึ่งมีทั้งยากินแก้ปวด แก้ติดเชื้อแบคทีเรียกรณีเป็นหนองลุกลาม และยาทาแก้ผดผื่น อาการปวดแสบปวดร้อน ในรายผู้สูงอายุและผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เป็นโรคเอดส์ อายุมาก มีความเครียด ทำงานหนัก พักผ่อนไม่พอ เป็นมะเร็ง ใช้ยาต้านมะเร็งหรือยากดภูมิคุ้มกันควรได้รับยาต้านไวรัสอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีทั้งยากินหรือยาฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายทั่วตัวและอาจมีการติดเชื้อของอวัยวะภายในร่วม ด้วยได้ เช่น ปอดบวม สมองอักเสบ เป็นต้น

     Link   https://www.thaihealth.or.th

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



            โรคเริมที่อวัยเพศหญิง

Q: เริมที่อวัยวะเพศเกิดจากอะไร

A: เกิดจากเชื้อไวรัสที่เรียกว่า Herpes ชนิดที่ 2 ซึ่งเชื้อตัวนี้เป็นพี่น้องกับเริมที่บริเวณปากซึ่งเกิดจากชนิด Herpesชนิดที่ 1

 

Q: เริมติดต่อกันได้อย่างไร

A: เริม ที่อวัยวะเพศส่วนมากเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์  ส่วนที่ปากเกิดจากการจูบหรือการใช้ภาชนะร่วมกัน ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้จะเกิดผื่นขึ้นหลังจากการสัมผัสประมาณ 2-20 วันและเวลาเกิดผื่นแล้วมักเป็นตุ่มน้ำใสรวมกันเป็นกลุ่มและแตกเป็นแผลซึ่งจะ ใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน  หลังจากที่เกิดตุ่มครั้งแรกหายแล้ว เชื้อไวรัสจะเข้าไปหลบที่เซลล์ประสาท พอวันดีคืนร้ายก็จะออกมาทำให้เกิดตุ่มซ้ำอีก เช่น เวลาไม่สบาย เครียดหรืออื่นๆ

 

Q: ถ้าไม่มีประวัติเป็นเริมที่อวัยวะเพศมาก่อน แล้วเป็นครั้งแรกจะทราบได้หรือเปล่าติดมาจากใคร?

A: ยากมากครับ เพราะ

  • คน ที่สัมผัสกับเชื้อเริมที่อวัยวะเพศครั้งแรก บางทีก็จะไม่มีอาการมากหายไปเองเวลากลับมาเป็นซ้ำอีกทีถึงจะรู้ตัวและหลงคิด ว่าเป็นครั้งแรก
     
  • เวลา ที่คุณมีเพศ สัมพันธ์กับคนที่เคยเป็นเริมถึงแม้ว่าคู่ของคุณที่เป็นเริมจะไม่มีแผลหรือ ตุ่มใดๆ ก็สามารถติดต่อได้ครับ  ซึ่งมีการคาดคะเนว่า 80 % ของการติดต่อของเริมที่อวัยวะเพศในปัจจุบันจะติดต่อกันเมื่อไม่มีแผลหรือ ผื่น (เพราะถ้ามีแผลหรือผื่นก็คงไม่ควรยุ่งกันหรือใช้ถุงยางอนามัยช่วยด้วย) เพราะไวรัสสามารถติดต่อได้ออกมาได้ เรียกว่า “asymptomatic viral shedding”
     
  • ระยะฟักตัวของเชื้อมีได้ตั้งแต่ 2-20 วัน
    เพราะฉะนั้นเวลาเป็นแล้วอย่าไปโทษใครไม่มีประโยชน์หรอกครับ

 

Q: ยาที่ใช้ในการรักษาโรคเริมมีอะไรบาง

A: สมัย ก่อนมีเพียงตัวเดียวคือ Acyclovir ซึ่งต้องทานวันละ 5 ครั้ง ปัจจุบันมียาใหม่ คือ Famciclovir และ Valaciclovirซึ่งทานเพียงวันละ 2-3 ครั้งเท่านั้น

 

Q: ครีม Acyclovir สามารถรักษาโรคเริมได้หรือไม่?

A: ยัง ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ในคนที่ดีพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าครีมชนิดนี้ ได้ผลจริง แต่ในคนไข้บางคนอาจได้ผลบ้าง เพราะฉะนั้นผมมักแนะนำให้ลองใช้ดูซัก 2-3 ครั้งว่าช่วยได้หรือเปล่า เมื่อเปรียบเทียบกับการที่ไม่ใช้ครีมนั้น (ต้องอย่าลืมว่าโรคเริมเกิดจากไวรัสซึ่งก็สามารถหายเองได้ด้วยครับ)

 

Q: เราสามารถป้องกันโรคเริมได้อย่างไรบ้าง

A: สำหรับ เริมที่บริเวณปากนั้นเวลารู้สึกแสบๆ ตึงๆ ซึ่งเป็นอาการของการที่โรคเริมจะกลับเป็นซ้ำอีก (ซึ่งส่วนมากผู้ป่วยจะรู้ตัวเอง) ไม่ควรที่จะเอาบริเวณที่เป็นโรคสัมผัสกับผู้อื่น เช่น การจูบ, การใช้ส่งแก้วน้ำหรือลิปสติกรวมกับผู้อื่น สำหรับคนที่เป็นเริมที่อวัยวะเพศนั้นเวลาที่ยังเป็นโรคอยู่ควรงดเพศสัมพันธ์ หรือใช้ถุงยางอนามัย


ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today

           Link      https://woman.teenee.com

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อัพเดทล่าสุด