ไขข้อสงสัยยอดฮิต...ก่อนที่จะเป็นโรคตามไม่ทัน ....เป็นไวรัสตัวร้ายในวันเปิดเทอม


885 ผู้ชม


“นักเรียนธรรมดาผู้มีปัญญาแบบพื้น ๆ ถ้าปลุกตนเอง กระตุ้นตนเองให้ตื่น เตือนตนเองให้รู้จักแสวงหา นักเรียนคงจะเป็นคนหนึ่งที่สามารถปลอดจากโรคตามไม่ทันของยุคนี้ได้เช่นกัน และยังจะสามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จ ได้ด้วย ขอเป็นกำลังใจให้ลู   
 

ไขข้อสงสัยยอดฮิต...ก่อนที่จะเป็นโรคตามไม่ทัน

....เป็นไวรัสตัวร้ายในวันเปิดเทอม

                                                                                                       parrot.?

ใกล้เปิดเทอมแล้วลูก ๆ นักเรียนคงสนุกสนาน และมีความสุขในการพักผ่อนจนลืม...

โดยเฉพาะคงเล่นน้ำสงกรานต์กันอย่างสนุกแน่ น้ำในวันสงกรานต์จึงเป็นการสื่อความหมายที่เข้ากันได้ดีที่สุดในวันนี้ แม้ว่าการใช้น้ำในยุคแรกเพียงเพื่อเป็นสื่อแห่งน้ำใจไมตรีของผู้ให้ที่มีต่อผู้รับ โดยใช้รดที่มือของผู้ที่เคารพนับถือ เพื่อขอศีลขอพร และใช้รดที่บ่าของผู้ที่ตนอยากจะผูกไมตรีด้วย เป็นไปอย่างประณีตบรรจง หวังว่าพวกเราคงจะช่วยกันรักษาประเพณีอันดีงามเราไว้นะคะ เพราะการเล่นน้ำสาดกันแรง ๆ อย่างไม่ปราณีหรือสะใจ การเล่นที่เลอะเทอะ ด้วยแป้งผสมดินโคลน เป็นสิ่งที่ไม่ควร อย่างไรก็ตามเปิดเทอมก็อย่าลืมเตรียมความพร้อมก่อนเรียนด้วยนะ โดยเฉพาะคณิตศาสตร์             ต้องเตรียมใจไว้ด้วย เพราะคนที่มีใจรักในวิชาคณิตศาสตร์ มีความชอบจึงจะเรียนได้อย่างมีความสุขสนุกและก้าวหน้า              ในการเรียน  ครูมีข่าวดีในช่วงตอนปิดภาคเรียนมาเล่าสู่ลูก ๆ ได้อ่านและฟังกัน ลองติดตามดูนะคะกับคำถามที่ว่า                          ”โรคตามไม่ทัน...อันตรายสำหรับเด็กยุคใหม่จริงหรือ”

                “นักเรียนธรรมดาผู้มีปัญญาแบบพื้น ๆ ถ้าปลุกตนเอง กระตุ้นตนเองให้ตื่น เตือนตนเองให้รู้จักแสวงหา                นักเรียนคงจะเป็นคนหนึ่งที่สามารถปลอดจากโรคตามไม่ทันของยุคนี้ได้เช่นกัน และยังจะสามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จ               ได้ด้วย ขอเป็นกำลังใจให้ลูก(ศิษย์) ของครูทุกคน สู้  สู้...”     ตามให้ทันกับข่าวความเคลื่อนไหว 2 เรื่องใหญ่

1.        ไขข้อสงสัยยอดฮิตของผู้ปกครองกับการเรียนฟรี 15 ปี : "โครงการเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ"  

           คำว่า ฟรี 15 ปี คือ ฟรีจากอนุบาลจนถึงม.ปลาย ถ้าเด็กคนไหนสละสิทธิ์จะมีใบประกาศเกียรติคุณให้โดยนำเงินนี้         ไปพัฒนาโรงเรียนที่ด้อยโอกาสพัฒนาถึง 600 โรงเรียนทั่วประเทศ  นโยบายเรียนฟรีเป็นนโยบายที่มีประโยชน์ เปิดโอกาสให้แก่เด็กทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน  มีฟรี 5 อย่างคือ ค่าเทอม ตำราเรียน ชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียนและค่ากิจกรรมพิเศษ

หนังสือเรียนมีรายละเอียดดังนี้
           1. ระดับก่อนประถมศึกษา ใช้หนังสือเสริมประสบการณ์สําหรับเด็กปฐมวัย
           2. ระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา ใช้หนังสือเรียนทั้ง 8 กลุ่มสาระทุกระดับชั้น โดยมีอัตราค่าหนังสือ                   ดังนี้ . (บาท/คน)ก่อนประถมศึกษา 200, ชั้นป.1= 483.20,ชั้นป.2=347.20,ชั้นป.3= 365.60,ชั้นป.4= 580.00 ,ชั้นป.5= 424,  ชั้นป.6= 496,ชั้น ม.1= 739.20,ชั้นม.2=564.80 ,ชั้นม.3= 560,ชั้นม.4= 1,160.80, ชั้นม.5= 805.60,ชั้นม. 6 =  763.20

อุปกรณ์การเรียนมีรายละเอียดดังนี้
           อุปกรณ์การเรียนที่จําเป็น มีแบบฝึกหัดกลุ่มสาระการเรียนรู้ (ระดับประถมศึกษา ประกอบด้วย คณิตศาสตร์ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ) สมุด ปากกา ดินสอ ยางลบ ไม้บรรทัด เครื่องมือเรขาคณิต วัสดุฝึก ICT (CD) สําหรับผู้เรียนชั้นป.1 – ชั้นม. 6 และกระดาษ A4 สีเทียน ดินน้ำมันไร้สารพิษ สําหรับผู้เรียนระดับก่อนประถมศึกษาในอัตรา ดังนี้     (บาท/ภาคเรียน)ก่อนประถมศึกษา100, ประถมศึกษา195,มัธยมศึกษาตอนต้น 210, มัธยมศึกษาตอนปลาย 230 
เครื่องแบบนักเรียน ประกอบด้วย เสื้อกางเกง และกระโปรง คนละ ชุด/ปี มีรายละเอียดดังนี้
 ก่อนประถมศึกษา 300 ,  ประถมศึกษา 360 , ม.ต้น 450, ,ม.ปลาย 500 ,  อาชีวะศึกษา 1,000 
           กรณีนักเรียนมีชุดนักเรียนเพียงพอแล้ว สามารถซื้อเข็มขัด รองเท้า ถุงเท้า ชุดลูกเสือ/เนตรนารี/ยุวกาชาด/ชุดกีฬาได้ กรณีการจัดซื้อชุดนักเรียนที่ต่างไปจากชุดนักเรียนปกติและราคาสูงกว่าที่กําหนด วงเงินดังกล่าวอาจซื้อได้เพียง 1 ชุด และผู้ปกครองมีสิทธิเลือกซื้อชุดนักเรียนของร้านค้าใดก็ได้ หรือรวมกลุ่มกันจ้างกลุ่มแม่บ้านในชุมชนตัดเย็บให้ก็ได้ เช่นเดียวกันกับอุปกรณ์การเรียน ไม่มีการบังคับ 

กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนมีรายละเอียดดังนี้
           1. กิจกรรมวิชาการ ,  2. กิจกรรมคุณธรรม/ลูกเสือ/เนตรนารี/ยุวกาชาด ,3. ทัศนศึกษา 
           4. การบริการสารสนเทศ/ICT  ทั้งนี้ ในการพิจารณากําหนดทั้ง 4 กิจกรรม ต้องให้ภาคี 4 ฝ่าย (ผู้แทนครู ผู้แทนผู้ปกครอง ผู้แทนชุมชน และผู้แทนกรรมการนักเรียน) และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีส่วนร่วมพิจารณา โดยผลการพิจารณาต้องไม่เป็นการรอนสิทธิ์ของเด็กยากจนและด้อยโอกาสที่พึงจะได้รับ สำหรับงบประมาณ ต่อนักเรียน 1 คน มีดังนี้ (บาท/ภาคเรียน) ก่อนประถมศึกษา215,  ประถมศึกษา 240 ,  ม.ต้น 440 , ม.ปลาย 475

2.        เริ่มใช้หลักสูตรการศึกษา 2551 ปีนี้ชัดเจนแค่ไหน

ปีการศึกษานี้เริ่มใช้เฉพาะนักเรียน ม.1 และ ม.4 ที่เข้ามาใหม่นักเรียนเก่ายังคงใช้หลักสูตรเดิม อ้างถึงคำสั่งของ

กระทรวงศึกษาธิการ สพฐที่ 293/51 เรื่องการใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551  สรุปว่าเริ่มให้ใช้ได้ ดังนี้

                กลุ่มที่ 1 โรงเรียนต้นแบบการใช้หลักสูตรและโรงเรียนที่มีความพร้อม

                                ในปีการศึกษา 2552  ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 และชั้นม. 1 และ ม.4

                                ในปีการศึกษา 2553  ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1–6 และชั้นม.1, ม.2 ,ม.4 และ ม.5

  ในปีการศึกษา 2554  เป็นต้นไป ให้ใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ทุกชั้นเรียน

                กลุ่มที่ 2 โรงเรียนทั่วไป

                                ในปีการศึกษา 2553  ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 และชั้นม. 1 และ ม.4

                                ในปีการศึกษา 2554  ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1–6 และชั้นม.1, ม.2 ,ม.4 และ ม.5

  ในปีการศึกษา 2555  เป็นต้นไป ให้ใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ทุกชั้นเรียน

จากที่ครูได้ติดตามข่าวสารมาโดยตลอดก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อต้องการให้ห้องเรียนของเราได้ทัน

เหตุการณ์และทันต่อข่าวสารเพราะยุคสมัยนี้ใครทราบก่อนรู้ก่อนย่อมได้เปรียบมีความพร้อมอยู่เสมอเปรียบเสมือนกับนักรบที่มีอาวุธคู่กายพร้อมที่จะออกศึกได้ทุกเวลานั่นเองแล้วลูก ๆ ล่ะจะเปิดเทอมแล้วพร้อมหรือยัง   หนูพร้อมที่จะเดินตามครูไปดูตัวเลขที่เกี่ยวกับคณิตศาสตร์หรือยังทั้งเรื่องเลขบัตรประชาชน 13 หลัก  และหลักการเรียนแก้โจทย์ปัญหาเศษส่วนอย่างสนุกมากับครูสิครูจะพาหนูท่องไปกับโลกของคณิตศาสตร์กัน.....

                นักเรียนเคยเห็นปลวกไหม จอมปลวกล่ะ  เห็นฝูงมดไหม   ฝูงผึ้ง ล่ะ ถ้าให้นักเรียนลองเลือกอยากเป็นอะไร สัตว์กลุ่มที่ครูกล่าวเปรียบถึงความมานะพยายาม ความขยัน และสามัคคี ความสำเร็จจะไปไหนเสียถ้านักเรียนมีสิ่งเหล่านี้ครบถ้วนแล้ว เรื่องเบื่อหน่ายในการเรียน  เรียนไม่ทันเพื่อน เรียนไม่รู้เรื่อง รู้สึกไม่ดีต่อเพื่อน ครูดุ พ่อแม่ตำหนิเมื่อทำการบ้านไม่ได้ก็คงจะไม่มี ถ้าเรารู้จักตัวเราเองหรือเราจะยอมแพ้มด แพ้ปลวกหรือ จงคิดก่อนทุกคำที่เราพูด แต่ไม่ใช่พูดทุกคำที่เราคิดก่อนใครหรอกนะ... 

จากวันเวลาที่ไม่หยุดนิ่ง...กาลเวลาที่หมุนเปลี่ยนตลอดเวลาทำให้ช่วงเวลาปิดเทอมได้หมดลง

แล้ววันเปิดเทอม ก็เริ่มย่างกรายเข้ามา หลายคนคงตื่นเต้นและยินดีอย่างมากที่จะได้พบหน้าเพื่อน ๆและครูร่วมสถาบัน    

1. ครูมีหลักในการเรียนคณิตศาสตร์ให้สนุกมาฝาก "คณิตศาสตร์ทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างมีหลักการและมีทฤษฎี สิ่งต่างๆ สามารถอธิบายได้ ในรูปสูตร หรือสมการคณิตศาสตร์  ครูขอเขียนเป็นบัญญัติไว้ 5 ข้อในการเรียนคณิตศาสตร์ได้อย่างที่ใจของนักเรียนต้องการ คือ

                                1) ต้องมีความรักในวิชาคณิตศาสตร์  สิ่งใดก็ตามถ้าหากเรามีความรักแล้วจะมีความพยายามในการค้นหาความรักนั้นอย่างมีความหมาย และมีความสุข

                                2) มีเป้าหมายและหลักการในการนำไปสู่ความสำเร็จ รู้จักตนเองว่าจะเรียนคณิตศาสตร์ไปทำไม รู้ว่าชีวิตประจำวันเราใช้คณิตศาสตร์อย่างไร

                                3) เจาะลึกถึงบ้านจะต้องรู้จักประวัติความเป็นมาของคณิตศาสตร์ รู้ความเป็นมาของตัวเลข  รู้จักกฏ นิยาม อนิยาม สัจพจน์ ของคณิตศาสตร์อย่างถ่องแท้ เหมือนกับเรารักใครสักคนคงจะต้องค้นคว้าอย่างดี

                                4) เมื่อพบปัญหาให้ใช้หลักวิทยาศาสตร์หรือธรรมะเข้าช่วยเท่านั้นห้ามใช้ไสยศาสตร์เด็ดขาด  นั่นก็คือใช้ อริยสัจ 4ประการ คือ ทุกข์  สมุทัย  นิโรธ และมรรค  คือเมื่อลูกมีทุกข์ ลูก ๆ ต้องรู้จักเหตุที่เกิดทุกข์ และความดับทุกข์ จึงก้าวเดินไปสู่หนทางสู่ความดับทุกข์  เมื่อลูก(ศิษย์) พบโจทย์ปัญหาที่แก้ไม่ได้ จะต้องรู้เหตุของปัญหานั้น และหลักการ วิธีการของการแก้โจทย์ปัญหาที่ถูกวิธีและไปสู่การได้มาซึ่งคำตอบที่ตรวจสอบได้ว่าถูกต้อง ชัวร์ 100% นักเรียนก็จะหมดทุกข์แก้โจทย์ปัญหาได้ในที่สุด เช่น 

 โจทย์ปัญหาข้อสอง      ขม เป็นเด็กขยัน ร้อยมาลัยไปขายตลาดและเก็บสะสมจนมีเงิน 50,000 บาท  พอขมสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ ในเดือนเมษายน และนายรังสรรค์มีความจำเป็นต้องใช้เงินด่วนจึงยืมขมไป 50,000 บาท โดยสัญญาว่า              อีก 3 เดือนจะนำเงินมาคืนขม 3 เท่าของเงินที่ยืมไป ขมจะมีเงินทั้งหมดเท่าไรถ้ารังสรรค์นำเงินมาคืนให้เธอ

วิธีทำ   ขั้นที่  1   ทำความเข้าใจโจทย์ 
                                   โจทย์ข้อนี้เป็นเรื่องของอะไร                      ( ตอบ    เงินเก็บของขม )
                                   โจทย์ต้องการทราบอะไร                           ( ตอบ   ขมจะมีเงินทั้งหมดเท่าไร )
                                   รังสรรค์ยืมเงินขมเท่าไร                             ( ตอบ    50,000  บาท )

                                   รังสรรค์จะนำเงินมาคืนขมทั้งหมดเท่าไร่   ( ตอบ   3 x  K  บาท )
                                   ขมได้รับเงินคืนมามากกว่าเดิมกี่บาท          ( ตอบ   (3 x  K) – 50,000  บาท )

   ขั้นที่  2  วางแผนแก้ปัญหา          ใช้วิธี เขียนแผนภาพ     
                ขมมีเงิน                  50,000  บาท  (สมมติให้ขมมีเงินเป็น K บาท)

            รังสรรค์ยืม              K  บาท    คืนเมื่อครบสัญญา  3 เท่าของเงินที่ยืม = 3 x (K)

                                5) บัญญัติ 5 ประการในการเรียนแก้โจทย์ปัญหาข้อสุดท้ายจงจำไว้ให้ดี คือ รักแล้วต้องแต่ง  เมื่อแต่งแล้วต้องห้ามหย่า ปลูกผักต้องหมั่นรดน้ำพรวนดิน รักคณิตศาสตร์ต้องหมั่นศึกษา เมื่อศึกษาต้องหมั่นฝึกฝนทักษะบ่อย ๆ จงเตือนตนไว้เสมอด้วยคำกล่าวที่ว่า“ในวัยเรียนจงหมั่นเพียรเรียนคณิตศาสตร์  อย่าให้พลาดความเป็นเลิศวิชาการศึกษา  อย่ามัวเมาหลงผิดในหลักวิชา  เพราะไม่ช้าจะทำให้เราต้องช้ำใจ”
2.
 เมื่อ หมวย  บอกครูว่าหนูเป็นสาวแล้ว ทำบัตรประชาชนแล้วค่ะ  ครูก็ตอบหมวยไปว่า “งั้นหนูก็ไม่ได้เป็นเด็กหญิงแล้วสิ แหม โตเป็นนางสาวแล้วสินะ” 
                วันนี้ครูมีโอกาสได้เขียนบทความแนวคณิตศาสตร์ เลขบัตรประชาชน 13 เลขนี้ มีความสำคัญ บอกถึงความเป็นคนไทยหรือคนในประเทศไทย ทำให้เราสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทย และใช้สิทธิอย่างถูกต้อง และในทางกลับกัน ตัวเลขบางตัวอาจจะทำให้เรามีความสุขขึ้นด้วยซ้ำ เช่น ตัวเลขเพิ่มขึ้นของเงินเดือนหรือโบนัส ตัวเลขในบัญชีรายรับ  ฯลฯ ยกเว้น ตัวเลขดอกเบี้ยเงินกู้ ที่งามโดยไม่ต้องรดน้ำสงกรานต์ และตัวเลขที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะชอบกันก็คือตัวเลขอายุที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง แต่คนที่จะไม่ชอบเป็นอย่างมาก  ก็คงจะหนีไม่พ้นสาว ๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงานเป็นแน่แท้

ฝรั่ง เขาจะถือว่า เลข 13 เป็นเลขอาถรรพ์ หรือเลขอัปมงคล  หรือเรียกกันว่า ลัคกี้นัมเบอร์ (Lucky number) สาเหตุมาจากอาหารมื้อสุดท้าย ของพระเยซูคริสต์ ที่เรียกกันว่า เดอะลาสซับเปอร์ (The Last Supper) นั้น มีสาวกร่วมโต๊ะพร้อมกับพระองค์ นับรวมแล้วได้ 13คนพอดี ครั้นวันรุ่งขึ้นซึ่งตรงกับวันศุกร์ พระองค์ก็ถูกจับตรึงกางเขนจนสิ้นพระชนม์ เขาจึงถือว่าวันศุกร์ที่ตรงกับวันที่ 13 เป็นวันโชคร้าย

แม้ว่าเลข 13 จะเป็นเลขอาถรรพ์ของฝรั่ง แต่คนไทยไม่ได้ยึดถือที่มาตัวเลขดังกล่าว และที่น่าสนใจคือ มี เลข 13 ที่เกี่ยวพันโดยตรงกับคนไทย ก็คือ เลขประจำตัวประชาชนในบัตรประชาชน หรือที่เดี๋ยวนี้เรียก สมาร์ทการ์ด ที่มีด้วยกัน 13 หลัก และแต่ละหลักก็มิใช่แค่เป็นเพียงจำนวนนับธรรมดาๆ แต่มีความหมายแฝงอยู่ด้วย เช่นสมมติ เลขบัตรประชาชน คือ 3 3005 32234 34 8 แต่ละหลักมีความหมายดังนี้  

หลักที่ 1  หมายถึง ประเภทบุคคล  หลักที่ ถึงหลักที่ 5 หมายถึง รหัสของสำนักทะเบียน หรืออำเภอที่เรามีชื่ออยู่ในทะเบียนขณะที่ให้เลข สำหรับ หลักที่ ถึงหลักที่ 10 หมายถึง กลุ่มที่ของบุคคลแต่ละประเภท ตามหลักแรก (หลักที่ 1) ซึ่งทางสำนักทะเบียนจัดกลุ่มเรียงตามลำดับ  หลักที่ 11 และ 12  หมายถึง ลำดับที่ของบุคคลในแต่ละกลุ่มประเภท เป็นการจัดลำดับว่าเราเป็นคนที่เท่าไรในกลุ่มของบุคคลประเภทนั้นๆ

หลักที่ 13  หมายถึง ตัวเลขสำหรับตรวจสอบความถูกต้องของเลขทั้ง 12 หลักแรกอีกที

                สงสัยจังเลขทั้ง 13 หลักทำไมไม่มีการซ้ำกันเลย ไม่มีเปลี่ยนหรือยกให้คนอื่น แถมติดตัวไปจนตายอีกต่างหาก  กล่าวมาว่า การที่แยกแยะบุคคลเป็นประเภทต่างๆ แยกย่อยเป็นจังหวัดอำเภอ แล้วลงไปเป็นกลุ่มๆ ในแต่ละประเภททำให้ช่วงตัวเลขมีความห่าง สามารถรองรับจำนวนคนได้อีกมากเป็น 100 ปีทีเดียว 

                เลขประจำตัวประชาชนนี้นักเรียนไม่สามารถนำมาคำนวณเป็นตัวเลขหรือใช้การประมาณค่าได้นะคะ  เพราะว่าเป็นเลขที่มีลักษณะเฉพาะ เป็นนามบัญญัติบอกลักษณะคุณภาพ อันดับ ไม่ใช่ปริมาณที่จะนำมาคำนวณ ดังนั้นจะต้องแยกแยะให้ได้ ในเนื้อหาการเรียนเรื่องการประมาณค่าของนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 นั้นมีความเกี่ยวข้องกันอยู่อย่าสับสนกลุ่มเลขประจำตัวประชาชน จะเหมือนกันกันเบอร์โทรศัพท์  บ้านเลขที่  อันดับชนะเลิศของการประกวดนางสาวไทย เช่นประกวดชนะเลิศได้มิสไทยแลนด์เวิร์ลมารู้แต่ว่าสวยที่สุดอันดับ 1 แต่บอกปริมาณไม่ได้ว่าเธอสวยเท่าไร หรือจะโทรศัพท์ไปหาเพื่อนตอนปิดเทอมจำไม่แม่นจะประมาณเบอร์โทรศัพท์ไปก็คงจะไม่ถึงเพื่อนรักของเราอยู่ดี                

                ทุกรายละเอียดทางคณิตศาสตร์สัมพันธ์ จะติดตามเสาะแสวงหาข่าวมาฝากลูก ๆ อีกในคราวหน้า หวังไว้ว่าจะได้หายจะโรคตามไม่ทันได้บ้าง....ในยุคสมัยนี้  หวังว่าลูก ๆ (ศิษย์) คงไม่ติดไวรัสนะคะ.. ถ้าเราไม่ก้าวเดิน..เราก็จะไม่รู้เลยว่าข้างหน้ามีอะไรอยู่บ้าง...ดังนั้น..จงก้าวต่อไปเถอะ แล้วจะพบแต่สิ่งที่ดี ๆ

                Parrot.?

    
ที่มา : https://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=55

อัพเดทล่าสุด