ไทยไม่มีเสรีภาพทางสื่อมวลชน
ไทยติดโผประเทศไม่มีเสรีภาพทางสื่อมวลชน
ที่มาภาพ https://www.thairath.co.th/column/tech/socialmediathink/168948
จากการสำรวจเสรีภาพสื่อมวลชนทั่วโลกประจำปี 2554 จาก 196 ประเทศทั่วโลก ปรากฎว่า มีประเทศที่จัดอยู่ในกลุ่มมีเสรีภาพทางสื่อมวลชน 68 ประเทศ กลุ่มกึ่งเสรีภาพ 65 ประเทศ และกลุ่มไม่มีเสรีภาพ 63 ประเทศ และยังมีการจัดอันดับประเทศที่มีเสรีภาพมากที่สุด ไปถึงน้อยที่สุดในโลกด้วย
ประเทศที่ได้รับการยอมรับว่า มีเสรีภาพทางสื่อมวลชนมากที่สุดในโลก คือ ฟินแลนด์ ถูกจัดให้อยู่อันดับที่ 1 อันดับ รองลงมาได้แก่ นอร์เวย์ และสวีเดน ประเทศที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่ไม่มีเสรีภาพทางสื่อมวลชนที่น่าสนใจ ได้แก่ อันดับ 138 ไทย อันดับที่ 143 มาเลเซีย, อันดับที่ 150 อิรัก และสิงคโปร์, อันดับที่ 163 อัฟกานิสถานและบรูไน, อันดับที่ 177 เวียดนาม, อันดับที่ 184 จีน ลาว และตูนีเซีย, อันดับที่ 191 พม่า, และประเทศที่ถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ขาดเสรีภาพทางสื่อมวลชนมากที่สุด ก็คือ เกาหลีเหนือ
ที่มา https://www.thairath.co.th/column/tech/socialmediathink/168948
ประเด็นจากข่าว
ผลการสำรวจเสรีภาพสื่อมวลชนทั่วโลกประจำปี 2554 จาก 196 ประเทศทั่วโลกเชื่อมโยงกับการสำรวจความคิดเห็น
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง การสำรวจความคิดเห็น
เนื้อหาสาระการเรียนรู้
สาระที่ 5 : การวิเคราะห์ข้อมูลและความน่าจะเป็น
มาตรฐาน ค 5.1 : เข้าใจและใช้วิธีการทางสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล
ตัวชี้วัด : เข้าใจวิธีการสำรวจความคิดเห็นอย่างง่าย
ความหมาย:
การสำรวจความคิดเห็นหรือโพล (poll) เป็นวิธีเก็บรวบรวมข้อมูล โดยการติดต่อโดยตรงกับผู้ให้ข้อมูลหรือผู้ตอบ
ประวัติความเป็นมา:
มนุษย์ชาติได้ใช้การสำรวจความคิดเห็นมาเป็นเวลานานตั้งแต่สมัยโรมและ อียิปต์ โดยพบหลักฐานมีการทำสำมะโนประชากร ซึ่งเป็นการทำสำมะโนประชากรทั้งหมด เพื่อจะนำข้อมูล/ข่าวสารที่ได้ไปใช้ในการเก็บภาษี เกณฑ์ทหาร และใช้ในวัตถุประสงค์ทางด้านการบริหารอื่นๆ แต่การสำรวจขนาดใหญ่และอย่างเป็นระบบระเบียบ ได้เริ่มต้นในศตวรรษที่ 18 โดยนักปฏิรูปทางสังคมชาวอังกฤษ ชื่อ John Howard ได้ทำการศึกษาสภาพความเป็นอยู่ของผู้ถูกคุมขัง ซึ่งมีผลต่อสุขภาพอนามัยของนักโทษ
ในขณะที่ Frederic Le Play นักเศรษฐศาสตร์ ชาวฝรั่งเศส ได้พยายามอย่างยิ่งที่จะนำผลของการสำรวจไปใช้ในการวางแผน ส่วนผู้ที่ถือได้ว่า เป็นผู้ทำการสำรวจอย่างกว้างขวางและถือว่าเป็นที่มา ของการวิจัยในปัจจุบัน ได้แก่ นักสถิติชาวอังกฤษ ชื่อ Charles Booth ใน ค.ศ. 1886 โดยได้ทำการศึกษา เรื่อง “ความยากจน” และได้ทำรายงานถึง 17 เล่ม ความก้าวหน้าของการวิจัยแบบสำรวจในศตวรรษที่ 20 นี้เป็นผลมาจากการเน้นถึงคุณค่าของความรู้และการใช้เหตุผล และผลพลอยได้จากการค้นพบวิธีการสุ่มตัวอย่างโดยอาศัยความน่าจะเป็น (Probability Sampling) จากการวิจัยทางด้านการเกษตร โดยศาสตราจารย์ Paul F. Lazarsfeld แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา ได้เป็นผู้เปลี่ยนลักษณะของการวิจัยจากการพรรณนา (description) ไปเป็นการวิจัยแบบหาเหตุและผล (causal explanation) มีการทดสอบสมมุติฐาน ซึ่งเป็นแบบฉบับของการวิจัยในปัจจุบัน
ประโยชน์ของการสำรวจ
- เพื่อค้นหาความรู้ใหม่ๆ
- เพื่อการอธิบาย
การสำรวจ จึงเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ดี และใช้กันอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ข้อมูลเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของบุคคล เช่น อายุ การศึกษา เพศ อาชีพ เป็นต้น เกี่ยวกับพฤติกรรม เช่น การลงคะแนนเลือกตั้ง ด้านทัศนคติ เช่น ทัศนคติต่อการทำงาน ทัศนคติต่อครอบครัว เป็นต้น การสำรวจจึงเป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างกว้างขวางในทางสังคม
การสำรวจความคิดเห็น มีขั้นตอนและวิธีการที่สำคัญดังนี้
1. การกำหนดขอบเขตของการสำรวจ
2. วิธีเลือกตัวอย่าง
3. การสร้างแบบสำรวจความคิดเห็น
4. การประมวลผลและวิเคราะห์ความคิดเห็น
ขั้นตอนของการสำรวจความคิดเห็น มีดังต่อไปนี้
1. การกำหนดขอบเขตของการสำรวจความคิดเห็น
1.1 กำหนดด้วยพื้นที่
1.2 กำหนดด้วยลักษณะส่วนตัวของผู้ตอบ
1.3 กำหนดด้วยการมีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องที่จะทำการสำรวจความคิดเห็น
2. วิธีเลือกตัวอย่าง
2.1 ตัวอย่างที่ดีต้องมีตัวอย่างครบทุกลักษณะของประชากร โดยเฉพาะลักษณะที่มีผลทำให้ความคิดเห็นแตกต่างกัน
วิธีการกำหนดจำนวนหรือขนาดของตัวอย่าง ตามที่ระบุในข้อ 2.1 ต้องมีจำนวนมากพอและสอดคล้องกับจำนวนประชากร ตามหลักสถิติ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงวิชาการ มีดังนี้
1) จำนวนตัวอย่างที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ ใช้ในการสำรวจความคิดเห็น โดยใช้ระดับการเสนอผลเป็นหลักในการกำหนดจำนวนหรือขนาดของตัวอย่าง
ระดับการเสนอผล จำนวนตัวอย่าง
-ระดับจังหวัดอย่างเดียว 1,100 - 4,800
-ระดับประเทศอย่างเดียว 2,000
-ระดับประเทศและภาค 5,600 - 10,000
-ทั้งระดับจังหวัด ภาคและประเทศ 31,000 - 62,000,000
2) หาจำนวนตัวอย่างจากการคำนวณ โดยใช้สูตร ภาพ normol
วิธีเลือกตัวอย่างเพื่อใช้ในการสำรวจความคิดเห็น มีหลายวิธีดังนี้
การสุ่มโดยอาศัยความน่าจะเป็น (Probability Sampling) เป็นการสุ่มที่คำนึงถึงความน่าจะเป็น หรือโอกาสที่สมาชิกแต่ละหน่วยที่จะได้รับเลือก ซึ่งทุกหน่วยของประชากรมีความน่าจะเป็น หรือโอกาสที่จะได้รับเลือกคงที่ กลุ่มตัวอย่างที่เลือกแบบนี้ จะเป็นตัวแทนที่ดีของประชากรเป้าหมาย ดีกว่าตัวอย่างที่เลือกโดยไม่คำนึงถึงความน่าจะเป็น การสุ่มโดยอาศัยความน่าจะเป็นมีดังนี้
2.1) การสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย (Simple Random Sampling)
เหมาะสมที่จะใช้กับการสำรวจความคิดเห็นจากประชากรที่มีขนาดเล็ก และมีกรอบของการสุ่มตัวอย่าง (Sampling Frame) ที่สมบูรณ์ แต่ถ้าประชากรมีขนาดใหญ่มาก จะทำให้เสียเวลาในการทำกรอบของการสุ่มตัวอย่าง และเสียเวลาในการสุ่มตัวอย่างมาก วิธีที่นิยมใช้ ได้แก่ การจับสลาก การใช้ตารางเลขสุ่ม การหมุนวงล้อ การสุ่มอย่างเป็นระบบ เป็นต้น
2.2) การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling)
การเลือกตัวอย่างแบบนี้เหมาะสมที่จะใช้กับการสำรวจความคิดเห็น จากกลุ่มที่มีกรอบของการสุ่มตัวอย่างที่สมบูรณ์และสามารถ แบ่งเป็นกลุ่มย่อย ๆ ได้ ตามเขตที่อยู่อาศัยของผู้ตอบหรือแบ่งตามลักษณะของผู้ตอบ แบ่งเป็น 4 แบบดังนี้
แบบชั้นภูมิอย่างไม่เป็นสัดส่วน (Non – Proportional Stratified Random Sampling)
แบบชั้นภูมิอย่างเป็นสัดส่วน ( Proportional Stratified Random Sampling)
การเลือกตัวอย่างแบบหลายขั้น (Multi – Stage Sampling) ก
การเลือกตัวอย่างแบบกำหนดโควตา (Quota Sampling)
3.) การสร้างแบบสำรวจความคิดเห็น
3.1 ลักษณะของแบบสำรวจความคิดเห็นที่ดี แบบสำรวจความคิดเห็นที่ดีควรประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
ส่วนที่ 1 คือ ส่วนที่จัดไว้เก็บรวบรวมลักษณะของผู้ตอบที่คาดว่า จะมีผลทำให้คำตอบที่แสดงความคิดเห็นเกิดความแตกต่างกันจากผู้ตอบที่มีลักษณะ อื่น เช่น เพศ อายุ วุฒิการศึกษา รายได้ สถานภาพสมรส เป็นต้น
ส่วนที่ 2 คือ ส่วนที่จัดไว้เก็บรวบรวมความคิดเห็นของผู้ตอบในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ต้องการสำรวจ
ส่วนที่ 3 คือ ส่วนที่จัดไว้รับข้อเสนอแนะต่าง ๆ ของผู้ตอบเกี่ยวกับเรื่องที่สำรวจความคิดเห็นนั้น
• ข้อคำถามเกี่ยวกับความคิดเห็นในเรื่องที่ต้องการสำรวจนั้นต้องไม่เป็นคำถามนำ
• จำนวนข้อคำถามต้องไม่มากเกินไป
• ข้อคำถามในแบบสำรวจแต่ละข้อต้องมีความสัมพันธ์สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการสำรวจ
• ผู้ตอบคำถามควรมีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องที่ทำการสำรวจเป็น อย่างดี มิฉะนั้น ผลการ สำรวจจะไม่สามารถนำไปใช้ สรุปผลรวมร่วมกับความคิดเห็นของผู้ตอบรายอื่น ๆ ได้
3.2 การประมวลผลและวิเคราะห์ความคิดเห็นการประมวลผลและวิเคราะห์ผลการสำรวจความคิดเห็นโดยทั่ว ๆ ไปจะประกอบไปด้วย
1) ร้อยละของผู้ตอบแบบสำรวจความคิดเห็นในแต่ละด้านที่เกี่ยวข้อง
• สำหรับกรณีที่ถามเกี่ยวกับความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะต้อง จำแนกตามระดับความคิดเห็น ได้แก่ เห็นด้วย ค่อนข้างเห็นด้วย เห็นด้วยปานกลาง ค่อนข้างไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย หรือเห็นด้วย ไม่มีความเห็น ไม่เห็นด้วย
• สำหรับกรณีที่ถามความคิดเห็นเกี่ยวกับความพึงพอใจ จะต้องจำแนกระดับตามระดับความพึงพอใจ ได้แก่ พอใจมาก พอใจค่อนข้าง มาก พอใจปานกลาง พอใจค่อนข้างน้อย พอใจน้อย
• สำหรับกรณีที่ถามความคิดเห็นเกี่ยวกับความสนใจหรือความต้องการ จะต้องจำแนก ตามระดับความสนใจ หรือความต้องการ ได้แก่ สนใจมาก สนใจค่อนข้างมาก สนใจปานกลาง สนใจค่อนข้างน้อย สนใจน้อย
2) สำหรับระดับความคิดเห็นเฉลี่ย สามารถแทนค่าระดับความคิดเห็นในแต่ละด้านของผู้ตอบแต่ละคน ดังนี้
เห็นด้วยอย่างยิ่ง มีค่าเป็น 5
เห็นด้วย มีค่าเป็น 4
เฉย ๆ มีค่าเป็น 3
ไม่เห็นด้วย มีค่าเป็น 2
ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งมีค่าเป็น 1
ถ้าเป็นข้อความเชิงนิเสธจะตีค่ากลับกันกับข้อมูลเชิงนิมาน คือ
เห็นด้วยอย่างยิ่ง มีค่าเป็น 1
เห็นด้วย มีค่าเป็น 2
เฉย ๆ มีค่าเป็น 3
ไม่เห็นด้วย มีค่าเป็น 4
ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง มีค่าเป็น 5
3.3 สำหรับค่าเฉลี่ยของระดับความคิดเห็นที่คำนวณได้ อาจแปลความหมายได้ดังนี้
ค่าเฉลี่ยความคิดเห็น ความหมาย
1.0 - 1.80 ไม่เห็นด้วย
1.81 - 2.60 ค่อนข้างไม่ไม่เห็นด้วย
2.61 - 3.40 เห็นด้วยปานกลาง
3.41 - 4.20 ค่อนข้างเห็นด้วย
4.21 - 5.00 เห็นด้วย
สิ่งที่ควรทราบ
1. สำหรับค่าเฉลี่ยของระดับความคิดเห็นในทุก ๆ ด้าน ของผู้ตอบแบบสำรวจความคิดเห็นแต่ละคน ถ้านำมาหาระดับความสัมพันธ์กับลักษณะต่าง ๆ ของผู้ตอบ เช่น เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ สถานภาพสมรส เป็นต้น แล้วจะทำให้เราทราบว่าลักษณะใดของผู้ตอบที่มีผลทำให้ระดับความคิดเห็นแตก ต่างกัน และลักษณะใดที่ส่งผลกระทบต่อระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ทำการสำรวจ มากน้อยกว่ากัน
2. ผู้สำรวจความคิดเห็นมักจะนำผลสำรวจไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ดังนี้
2.1 นำไปปรับปรุงแก้ไขวิธีการปฏิบัติงานหรือวิธีดำเนินงาน ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และตรงตาม ความต้องการของลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
2.2 ใช้ในการกำหนดกลยุทธ์ หรือกำหนดยุทธศาสตร์ ทิศทางขององค์กร โครงการต่าง ๆ เป็นต้น
2.3 ใช้ประกอบการตัดสินใจและวางแผนที่จะดำเนินการต่อไปหรือไม่
ประเด็นคำถามเกี่ยวกับเนื้อหา
1.ในการกำหนดขอบเขตของการสำรวจความคิดเห็น เรื่อง เสรีภาพสื่อมวลชนทั่วโลกประจำปี 2554 ใช้เกณฑ์เกี่ยวกับอะไร
2.จากผลการสำรวจครั้งนี้ วิเคราะห์ผลการสำรวจจัดกลุ่มเสรีภาพเป็นกี่กลุ่มอะไรบ้าง
3.สาเหตที่ทำให้ลำดับของสื่อเสรีภาพของไทยลดลง
กิจกรรมเสนอแนะ
จัดกิจกรรมให้นักเรียนได้ลงมือสำรวจความคิดเห็นอย่างง่ายที่เป็นระบบ
การบูรณาการ
- สื่อ เสรีภาพ กลุ่มสาระสังคมศึกษา
- ภาษา กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ
อ้างอิงแหล่งที่มา
https://www.googlemath.ob.tc/home/page2-3.html
https://www.thairath.co.th/column/tech/socialmediathink/168948
ภาพกิจกรรมนักวิจัยรุ่นเยาว์ ร่วมเป็นอาสาสมัครนักวิจัยกับมหาวิทยาลัยมหิดล
ที่มา : https://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=3802