เคล็ดลับ "หยุดปากแห้งแตก' คืนปากเนียนนุ่ม
ริมฝีปากขาดความชุ่มชื่น ตึง แห้ง ลอกเป็นขุย เป็นแผ่น หากเคลื่อนไหวริมฝีปากมากๆ ก็อาจแตกปริทำให้มีเลือดไหลซิบออกมา เมื่อหายแล้วอาจทิ้งรอยด่างดำ และดูหมองคล้ำไม่สดใส
เหตุที่ริมฝีปากแห้งแตกได้ง่าย ก็เพราะริมฝีปากไม่มีต่อมไขมันช่วยสร้างน้ำมัน เพื่อปกป้องเหมือนกับผิวหนังส่วนอื่นๆ ทั้งยังต้องสัมผัสกับอาหาร ตลอดจนสารเคมีต่างๆ นอกจากนั้น ปัญหาทางสุขภาพ และพฤติกรรมเคยตัวบางอย่าง ก็ส่งผลเสียได้เช่นกัน
ตัวการทำริมฝีปากแห้งแตก
การดื่มน้ำน้อย เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ริมฝีปากขาดความชุ่มชื้น เพราะบริเวณริมฝีปากจะสูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงได้ง่าย
ลม ฟ้า อากาศ อากาศร้อนลมแรงทำให้สูญเสียความชุ่มชื้น ขณะที่อากาศที่เย็นและแห้งอย่างในฤดูหนาว ทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่ดี แม้แต่คนที่นั่งทำงานในสำนักงาน ที่เปิดเครื่องปรับอากาศตลอดเวลา ก็มีริมฝีปากแห้งแตกได้เหมือนกัน
แสงแดด การถูกแสงแดดเป็นเวลานานต่อเนื่องกัน หรือบ่อยครั้ง ทำให้ริมฝีปากสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลต (รังสียูวี) ซึ่งเป็นตัวทำลายความยืดหยุ่นของเซลล์ ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น เกิดรอยเหี่ยวย่น
ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก การแห้งแตกอาจเกิดจากการแพ้ฟลูออไรด์ (ซึ่งพบได้น้อย) แพ้แอลกอฮอล์ สารที่ทำให้เกิดฟอง สารที่ให้ความสดชื่นหรือให้รสซ่าก็ได้
ลิปสติกและลิปบาล์ม ลิปสติกโดยเฉพาะที่มีคุณสมบัติ ทาติดทนนานอยู่ได้ทั้งวัน อาจมีสี น้ำหอม ลาโนลิน (ที่ให้ความชุ่มชื้น) และสารกันบูดที่ทำให้เกิดอาการแพ้ แห้งแตกได้ ลิปบาล์มทั่วไปมีสารสำคัญ ที่เป็นตัวดูดความชื้นจากริมฝีปาก นี่เองที่ทำให้เราต้องทาลิปบาล์มอยู่บ่อยๆ หากใช้จนติดเป็นนิสัยหรือในระยะยาวนาน อาจทำให้ริมฝีปากแตกแห้งมากขึ้น
การเลียริมฝีปาก วิธีนี้อาจทำให้รู้สึกว่าริมฝีปากหายแห้งได้ (ชั่วคราว) แต่เมื่อความชื้นจากน้ำลายระเหยไปหมด ริมฝีปากจะแห้งมากขึ้น เพราะเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ช่วยย่อยอาหารในน้ำลาย จะยิ่งรบกวนริมฝีปากให้แห้งมากยิ่งขึ้น
ภาวะขาดวิตามิน คนที่ขาดวิตามินบี ริมฝีปากจะแตกง่ายกว่าคนทั่วไป เพราะวิตามินบีมีความสำคัญต่อผิวหนังและเยื่อบุต่างๆ
อาการร้อนใน เมื่อมีอาการร้อนใน ริมฝีปากมักแห้งแตก ซึ่งอาจมีแผลในปากเกิดร่วมด้วยก็ได้
6 ข้อในการหยุดปากแห้งแตก
ดื่มน้ำให้เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงให้ความชุ่มชื้นแก่ ทุกส่วนของผิวหนัง ซึ่งรวมถึงริมฝีปากแห้งๆ ของเราด้วย ข้อนี้สำคัญมาก โดยเฉพาะคุณๆ ที่อายุเริ่มมากขึ้น เพราะเซลล์ในร่างกายจะเก็บความชุ่มชื้นได้น้อยลง
1. หลีกเลี่ยงแสงแดด ทำได้สารพัดวิธี ไม่ว่าจะกางร่ม ใส่หมวก หรือใช้ผ้าคลุมก็ได้ เลือกใช้กันได้ตามความสะดวก และความเหมาะสม
2. เพิ่มความชื้นภายในห้อง แนะนำให้วางน้ำสักแก้วไว้ใกล้ๆ เครื่องปรับอากาศ (ถ้าทำได้) เพื่อเพิ่มความชื้นให้กับห้อง
3. เปลี่ยนลิปติก เลือกใช้สีอ่อนๆ เนื่องจากจะมีปริมาณของสีน้อยกว่าลิปสติกสีเข้ม โอกาสแพ้จะได้น้อยลง หรือรุนแรงน้อยกว่า ส่วนลิปบาล์มนั้น ไม่ควรทาอยู่ตลอดเวลา
4. เปลี่ยนยาสีฟัน เป็นยาสีฟันสมุนไพร ฟองน้อยลง รสอ่อน หรือลองเปลี่ยนมาใช้ยาสีฟันเด็ก หรือก่อนแปรงฟันอาจทาปิโตเลียมเจลลีเคลือบริมฝีปาก เพื่อป้องกันการระคายเคือง
5. อย่าเลียริมฝีปาก ต้องยอมรับว่าข้อนี้อาจจะทำยากกันสักหน่อย แต่ควรระวังตัวเองไม่ให้เผลอบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ปากแห้งแตกยิ่งขึ้น
6. รับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี อย่างเช่น ธัญพืชไม่ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ผักใบเขียว เช่นผักโขม บร็อคโคลี คะน้า และถั่วเปลือกแข็ง เช่น พวกเมล็ดอัลมอนด์ ถั่วลิสง มะม่วงหิมพานต์
4 สูตรเพื่อปากเนียนนุ่ม
1. น้ำมันมะกอก ทาบางๆ ที่ริมฝีปาก จะทำหน้าที่เสมือนแผ่นฟิล์มธรรมชาติ ช่วยปกป้องผิวไม่ให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงไป บรรเทาอาการแห้งตึงและเจ็บ ริมฝีปากจะรู้สึกสบายและนุ่มขึ้น วิตามินอี วิตามินเอ ในน้ำมันมะกอกยังช่วยป้องกันการทำลายจากแสงแดด และอนุมูลอิสระได้ดีอีกด้วย
2. น้ำผึ้ง ทาน้ำผึ้งบางๆ จะช่วยคืนความชุ่มชื่นนุ่มนวลให้ริมฝีปาก สารแอนติออกซิแดนท์ในน้ำผึ้ง ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ อุดมด้วยสารฆ่าเชื้อและป้องกันการติดเชื้อได้ ในกรณีที่ปากแตกมาก ช่วยให้ไม่เกิดการอักเสบ และช่วยสมานแผลให้หายเร็ว
3. ใบของต้นเปล้า เลือกใช้ใบเล็กหรือใบใหญ่ก็ได้ สัก 2-3 ใบ เด็ดให้ก้านติดมาด้วย จะได้น้ำยางใสๆ ไหลออกมา เอายางนั้นมาแต้มที่แผลริมฝีปากวันละ 2-3 ครั้ง สัก 4-5 วัน
4. น้ำตะไคร้หอม มีสรรพคุณแก้ร้อนในกระหายน้ำ ต้มจิบแทนน้ำ ช่วยแก้ริมฝีปากแห้งแตกได้
แล้วอย่าลืมเอา 6+4 สูตรนี้ ไปใช้เรียกความเนียนนุ่มให้ปากของคุณกันนะ