ติ่งเนื้อ ดูแล้วไม่มีอันตรายอะไร แต่ก็สร้างความน่ารำคาญอย่างนี้ต้องกำจัดสถานเดียว แต่ว่าจะมีวิธีกำจัดติ่งเนื้อแบบไหนบ้างต้องไปดูกัน
18 วิธีกำจัดติ่งเนื้อสุดเบสิกจากของในบ้าน เฮ้ย... ง่ายแบบไม่ต้องพึ่งเลเซอร์ !
ติ่งเนื้อ ดูแล้วไม่มีอันตรายอะไร แต่ก็สร้างความน่ารำคาญอย่างนี้ต้องกำจัดสถานเดียว แต่ว่าจะมีวิธีกำจัดติ่งเนื้อแบบไหนบ้างต้องไปดูกัน
ติ่งเนื้อ แขกไม่ได้รับเชิญที่มักจะโผล่มาทักทายเรา แม้ว่าจะไม่ส่งผลเสียอะไรกับร่างกาย แต่ก็สร้างความน่ารำคาญ ทำให้หงุดหงิดได้ เพราะเจ้าติ่งเนื้อเหล่านี้ไม่ยอมหลุดไปง่าย ๆ จะให้ไปหาหมอเพื่อเลเซอร์ออก ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง แต่เรามีวิธีที่ง่ายกว่านั้น อย่างที่ เว็บไซต์ homeremedyshop.com เขาบอกมาว่ามีวิธีกำจัดติ่งเนื้อแบบธรรมชาติ ไม่ต้องเสียเงินมากมายก็โบกมือลาติ่งเนื้อกวนใจไปได้เลย
ติ่งเนื้อ คือเนื้องอกชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่เนื้อร้ายหรือมะเร็งแต่อย่างใด โดยติ่งเนื้อจะประกอบด้วย เนื้อเยื่อผิวหนัง ทั้งหนังกำพร้า หนังแท้ และเนื้อเยื่อไขมัน ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปี ขึ้นไป และติ่งเนื้อเหล่านี้ก็ไม่เคยมีการรายงานว่ากลายเป็นเนื้องอกมะเร็งแต่อย่างใด
สาเหตุนั้นไม่เป็นที่ทราบอย่างชัดเจน แต่ก็มักพบว่าติ่งเนื้อจะเกิดในบริเวณที่ผิวหนังเสียดสีกันบ่อย และตามรอยพับรอยย่นต่าง ๆ ของร่างกาย อาทิเช่น ใต้หน้าอกของผู้หญิง รักแร้ คอ เปลือกตา หรือบริเวณที่เสียดสีกับเสื้อผ้า หรือเครื่องประดับก็ทำให้เกิดติ่งเนื้อได้เช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่าโรคติ่งเนื้อมีความเกี่ยวข้องกับโรคประจำตัวบางชนิด อย่างโรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคไขมันในเลือดสูง หรือแม้กระทั่งโรคหัวใจ ติ่งเนื้อที่เกิดขึ้นนี้ไม่มีความอันตรายแต่อย่างใด และสามารถเกิดขึ้นซ้ำได้หลังจากกำจัดออกไปแล้ว และอาจจะมีอาการคันที่เกิดจากการเสียดสีกับเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับได้โดยหากคันก็ไม่ควรเกาเพราะอาจจะทำให้เป็นแผลและติดเชื้อจนต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ วิธีลดอาการคันที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าหรือเครื่องประดับที่อาจทำให้เกิดอาการคันได้ค่ะ
ทั้งนี้ การกำจัดติ่งเนื้อสามารถกำจัดได้ทั้งการใช้เลเซอร์จี้ออกหรือแม้แต่ใช้วิธีง่าย ๆ จากของที่มีอยู่ในบ้าน ซึ่งมีวิธีการกำจัดดังนี้ค่ะ
1. น้ำมันทีทรี
น้ำมันทีทรี หรือนำมันหอมระเหยจากต้นทีทรี ที่หลาย ๆ คนชอบนำมาแต้มสิวเพื่อรักษาสิวนี่ล่ะค่ะสามารถกำจัดติ่งเนื้อได้เป็นอย่างดีเลยเชียวล่ะ โดยการนำสำลีชุบน้ำแล้วหยดน้ำมันทีทรีลงไป 2 - 3 หยด แล้วเช็ดเบา ๆ วนเป็นวงกลมบริเวณที่มีติ่งเนื้อ ทำซ้ำทุกวันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ประมาณสัก 1 สัปดาห์ติ่งเนื้อเหล่านั้นก็จะเริ่มหลุดค่ะ
2. น้ำส้มสายชูแอปเปิลหมัก
น้ำส้มสายชูแอปเปิลหมัก ที่อยู่ในห้องครัวก็สามารถกำจัดติ่งเนื้อที่บริเวณคอได้ โดยการนำสำลีชุบน้ำส้มสายชูแล้วเช็ดบริเวณติ่งเนื้อติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน ติ่งเนื้อก็จะยุบได้แล้วล่ะค่ะ
3. น้ำหัวหอมคั้น
แค่เพียงนำหัวหอมคั้นเอาน้ำออกมาแล้วทาบริเวณที่มีติ่งเนื้อก่อนนอนทุกคืนติดต่อกัน 10-12 คืนก็จะช่วยให้ติ่งเนื้อค่อย ๆ เริ่มหลุดได้
4. น้ำมันละหุ่งและเบกกิ้งโซดา
น้ำมันละหุ่ง แม้ว่ากลิ่นจะไม่ค่อยน่าพิสมัยเท่าไร แต่ถ้าหากนำไปผสมกับเบกกิ้งโซดาก็สามารถช่วยกำจัดติ่งเนื้อได้ โดยการนำน้ำมันละหุ่งผสมกับเบกกิ้งโซดา แล้วทาลงบนเศษผ้าหรือกระดาษชิ้นเล็ก จากนั้นทิ้งเอาไว้ 1 คืน รุ่งเช้าล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำแบบนี้ติดต่อกัน 10 วัน จนกระทั่งติ่งเนื้อที่กวนใจหลุดออกไป
5. น้ำสัปปะรด
น้ำสัปปะรดเป็นวิธีกำจัดติ่งเนื้อที่สามารถหาได้ง่าย โดยนำน้ำสัปปะรดเช็ดที่บริเวณติ่งเนื้อทุกวันอย่างน้อยวันละ 2 - 3 ครั้ง ติดต่อกันประมาณสิบวันก็จะช่วยให้ติ่งเนื้อหลุดได้
6. กระเทียม
นอกจากน้ำสัปปะรดแล้วน้ำกระเทียมก็สามารถขจัดติ่งเนื้อได้ โดยการนำกระเทียมมาคั้นเอาแต่น้ำแล้วใช้น้ำนั้นเช็ดที่ติ่งเนื้อ แต่ควรจะทำครั้งต่อครั้งนะคะ หากน้ำกระเทียมที่คั้นใช้ไม่หมดก็ไม่ควรนำมาใช้ซ้ำ เพราะอาจทำให้คุณสมบัติในการกำจัดติ่งเนื้อลดลงได้ค่ะ
7. ยาทาเล็บ
สาว ๆ ที่ชอบทาเล็บ สามารถนำยาทาเล็บมาใช้กำจัดติ่งเนื้อออกได้โดยการใช้ยาทาเล็บทาบริเวณที่เป็นติ่งเนื้อ ทิ้งไว้ให้แห้ง ทำซ้ำแบบนี้ 2 - 3 ครั้งต่อวัน ไม่กี่วันติ่งเนื้อเหล่านี้ก็จะค่อย ๆ เล็กลง
8. ว่านหางจระเข้
สมุนไพรที่หลายบ้านปลูกเอาไว้ อย่างว่านหางจระเข้ ที่รักษาอาการไฟไหม้นำร้อนลวกก็สามารถทำให้ติ่งเนื้อลดลงได้ โดยคั้นว่านหางจระเข้เอาแต่น้ำมาทาแล้วนวดเบา ๆ บริเวณที่มีติ่งเนื้ออยู่ ทำทุกวัน ๆ จะช่วยให้ติ่งเนื้อหายไปภายในไม่กี่วันค่ะ
9. น้ำมะนาว
กรดในน้ำมะนาวสามารถช่วยให้ติ่งเนื้อหลุดออกไปได้อย่างง่ายดาย โดยนำสำลีชุบน้ำมะนาวแปะทับไว้ที่ติ่งเนื้อทิ้งเอาไว้ ทำซ้ำต่อต่อกัน 2 - 3 วันติ่งเนื้อก็จะเริ่มหลุดออกมาค่ะ
10. เปลือกกล้วย
ตัดเปลือกกล้วยเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำด้านในของเปลือกกล้วยที่ตัดวางลงบนบริเวณที่ต้องการกำจัดติ่งเนื้อ ทิ้งไว้ 1 คืนแล้วแกะออก ทำซ้ำไปเรื่อย ๆ จะช่วยให้ติ่งเนื้อที่อยู่บนผิวหนังหลุดไปจนหมดแน่นอน
11. เทปพันท่อ
วิธีนี้อาจจะทำให้เจ็บเล็กน้อย แต่รับรองว่าได้ผลดีแน่นอนโดยการนำเทปพันท่อ ปิดที่ติ่งเนื้อทิ้งเอาไว้ 10 - 12 วัน จะทำให้ติ่งเนื้อแห้งและหลุดออกมาพร้อมกับเทปพันท่อค่ะ
12. กรรไกรตัดเล็บหรือกรรไกรธรรมดา
วิธีนี้ขอบอกเลยว่าดูโหดร้ายไปหน่อยแต่หายแน่นอน โดยการนำไหมขัดฟัน ด้ายหรือเส้นผมมัดที่โคนของติ่งเนื้อ ให้แน่นเล็กน้อย จากนั้นใช้กรรไกรตัดเล็บหรือกรรไกรธรรมดาอันเล็ก ที่ทำความสะอาดฆ่าเชื้อแล้ว ตัดติ่งเนื้อออก แม้ว่าอาจจะดูเหมือนว่าเจ็บ แต่การที่ใช้ด้ายมัดที่โคนของติ่งเนื้อจะทำให้เวลาตัดเราไม่รู้สึกเจ็บค่ะ และหลังจากตัดติ่งเนื้อออกแล้วอย่าลืมทาด้วยครีมป้องกันการติดเชื้อด้วยนะคะ
13. แคปซูลวิตามินอี
ใครที่รับประทานอาหารเสริมวิตามินอีอยู่ละก็ ลองนำแคปซูลวิตามินอีมาถูที่บริเวณติ่งเนื้อสักครู่ ทำซ้ำแบบนี้ติดต่อกัน 10 วันจะช่วยทำให้ติ่งเนื้อค่อย ๆ หายไปได้เหมือนกันนะ
14. ขิง
การนำขิงหั่นแว่นมาถูที่บริเวณติ่งเนื้อก็สามารถกำจัดติ่งเนื้อได้ ทำซ้ำเพียงแค่ 2 สัปดาห์ก็รับรองได้เลยว่าติ่งเนื้อที่ขึ้นอยู่ตามร่างกายจนทำให้หงุดหงิดจะหายไปอย่างแน่นอน
15. น้ำผัก
นำมันฝรั่งกับกระเทียม และดอกกะหล่ำ บดเข้าด้วยกัน จากนั้นคั้นเอาแต่น้ำ นำสำลีชุบน้ำผักที่คั้นออกมาแล้วปิดทิ้งไว้ที่ติ่งเนื้อ ปิดทับไว้ 1 คืนและแกะออกในตอนเช้า ทำซ้ำจนกว่าติ่งเนื้อจะหลุด
16. น้ำมันหอมระเหย
นำน้ำมันงาหอมระเหย 8 ช้อนชาผสมกับน้ำมันออริกาโนหอมระเหย 1 ช้อนชา และน้ำมันโหระพาหอมระเหยครึ่งช้อนชา แล้วนำสำลีชุบทาทิ้งเอาไว้ 30 นาที หลังจากนั้นล้างออก ทำซ้ำวันละครั้ง จนติ่งเนื้อหลุดออกไป ถ้าอยากให้มีกลิ่นหอมมากขึ้นก็สามารถเติมน้ำมันหอมระเหยกลิ่นมะนาวและน้ำมันอะโวคาโดลงไปด้วยก็ได้ค่ะ
17. มันฝรั่ง
นำมันฝรั่งหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ วางทับลงบนบริเวณที่ต้องการกำจัดติ่งเนื้อ แล้วปิดทับด้วยพลาสเตอร์ปิดแผล มันฝรั่งจะช่วยให้ติ่งเนื้อแห้งลงและหลุดออกไปได้เร็วขึ้น
18. ยาแอสไพริน
ละลายยาแอสไพรินในน้ำเล็กน้อยแล้วนำมาป้ายที่ติ่งเนื้อ แล้วทิ้งเอาไว้ ยาแอสไพรินจะช่วยทำให้ติ่งเนื้อที่ขึ้นหลุดออกไปค่ะ
ถึงแม้วิธีเหล่านี้จะสามารถกำจัดติ่งเนื้อได้ แต่ก็ต้องระวังว่าคุณอาจจะเกิดอาการแพ้อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้เหมือนกัน ถ้าลองทำดูแล้ว ติ่งเนื้อไม่ยุบลง แถมยังมีอาการผิดปกติมากขึ้น แสดงว่าคุณอาจจะแพ้สิ่งที่ใช้อยู่ ขอให้หยุด แล้วไปพบแพทย์ค่ะ