ตาปลา เป็นก้อนหนังกำพร้าที่สร้างความรำคาญใจให้แก่ผู้ที่เป็น จะใส่รองเท้าก็เดินลำบากส่วนใครที่ไม่เคยเป็นก็คงไม่รู้หรอกว่ามันทรมานมากแค่ไหน...
ตาปลาที่เท้า สงสัยไหมมันเกิดจากอะไร ไปดูกัน!
ตาปลา เป็นก้อนหนังกำพร้าที่สร้างความรำคาญใจให้แก่ผู้ที่เป็น จะใส่รองเท้าก็เดินลำบากส่วนใครที่ไม่เคยเป็นก็คงไม่รู้หรอกว่ามันทรมานมากแค่ไหน วันนี้เราเลยเอาข้อมูลเกี่ยวกับ ตาปลา มาฝากหากใครที่ไม่เคยเป็นจะได้รู้วิธีป้องกันเพื่อลดความสุ่มเสี่ยงในการเกิดตาปลาเอาไว้บ้าง
ตาปลาเกิดจากสาเหตุภายนอก
คือ เกิดจากการกระทำของตัวคุณเองเช่น การ ใส่รองเท้าที่คับ บีบรัด หรือแน่นมากเกินไป รวมทั้งเดินเท้าเปล่าบ่อยๆ ด้วย นอกจากนี้ตาปลา ไม่ได้เกิดได้แค่ที่เท้าเท่านั่น แต่ยังสามารถเกิดขึ้นที่นิ้วมือได้หากคุณออกแรงกดมากเวลาจับปากกานั่นเอง
ตาปลาเกิดจากสาเหตุภายใน
หรือความผิดปกติของร่างกาย เช่น มีรูปเท้าผิดปกติ ทำให้เท้าถูกดทับมากมีกระดูกเท้าปูดนูนออกมา
วิธีหลีกเลี่ยงตาปลา
เลือกรองเท้าที่กระจายน้ำหนักตัวได้ทั่วฝ่าเท้า เพื่อลดการเกิดแรงกดมากๆ ในบางจุด พื้นรองเท้าควรนิ่มและยืดหยุ่นได้ดี ที่สำคัญคือไม่ควรใส่รองเท้าที่คับแน่น หรือรัดเกินไปเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดตาปลาและเพื่อสุขภาพที่ดีของผิวหนังเท้าของคุณ
ซึ่งวิธีการรักษาด้วยแพทย์จะเป็นวิธีที่รักษาให้หายได้เร็ว แต่มีค่าใช้จ่ายสูง และเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับคนที่มีตาปลาขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะรักษาให้หายได้เอง ส่วนวิธีการรักษาด้วยตนเอง ก็มีหลายวิธี ดังนี้
1. น้ำส้มสายชูกลั่นขาว
เริ่มกันที่น้ำส้มสายชู น้ำส้มสายชูกลั่นขาวถือเป็นของใกล้ตัวที่สามารถรักษาตาปลาได้ดีที่สุด เพราะกรดที่เข้มข้นในน้ำส้มสายชู ช่วยให้ผิวที่แห้งแข็งนิ่มลงได้ อีกทั้งยังลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้อีกด้วย โดยการน้ำส้มสายชูผสมกับน้ำ 3 ส่วน แล้วนำสำลีชุบน้ำส้มสายชูเจือจางทาลงบนตาปลา ปิดทับด้วยผ้าพันแผลทิ้งไว้ข้ามคืน จากนั้นนำผ้าพันแผลออก แล้วขัดด้วยหินขัดเท้าเบา ๆ บำรุงด้วยน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าว ทำซ้ำได้จนกว่าตาปลาจะหลุดออก แต่ควรระวังไม่ให้น้ำส้มสายชูที่ใช้เข้มข้นจนเกินไป
2. เบกกิ้งโซดา
เบกกิ้งโซดาเป็นสารที่สามารถช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว หรือแม้แต่ตาปลา นอกจากนี้ก็ยังช่วยฆ่าเชื้อและต้านเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ผิวไม่เกิดการติดเชื้อได้อีกด้วย
วิธีใช้ก็นำเบกกิ้งโซดา 3 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำแล้วแช่เท้าประมาณ 10-15 นาที ขัดบริเวณที่เป็นตาปลาด้วยหินขัดเท้าหรือแปรงนุ่มๆ หรือจะนำน้ำมะนาวผสมกับเบกกิ้งโซดาและน้ำเปล่า ให้เป็นเนื้อครีม จากนั้นนำไปทาบริเวณทีเป็นตาปลา ปิดทับด้วยพลาสเตอร์ไว้ 1 คืน แล้วแกะออก ล้างด้วยน้ำอุ่น จากนั้นขัดด้วยหินขัดเท้าเบา ๆ จะช่วยให้ตาปลาหลุดออกมาได้ง่ายขึ้นค่ะ
3. มะนาว หรือเลมอน
น้ำมะนาวหรือน้ำเลมอน เป็นของใกล้ตัวที่สามารถรักษาตาปลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะกรดจากน้ำมะนาวและน้ำเลมอนนั้นสามารถช่วยให้ตาปลาที่แข็งนิ่มลงได้และช่วยให้ตาปลาหลุดออกมาได้เร็วขึ้น โดยใช้สำลีชุบลงในน้ำมะนาวหรือน้ำเลมอนแล้วเช็ดบริเวณที่เป็นตาปลา จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง ทำซ้ำทุกวันจะช่วยให้ได้ผลเร็วขึ้น หรือจะใช้บริเวอร์ยีสต์ (Brewer’s Yeast) ซึ่งเป็นอาหารเสริมผสมกับน้ำมะนาวเล็กน้อยลงเป็นเนื้อครีม พอกที่บริเวณตาปลา ปิดทับด้วยพลาสเตอร์แล้ว ทิ้งไว้ 1 คืน จะช่วยให้ตาปลานิ่มลงได้เช่นกัน
4. กระเทียม
กระเทียมมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันเชื้อแบคทีเรียรวมทั้งฆ่าเชื้อ นอกจากนี้ยังป้องกันการติดเชื้อ จึงสามารถช่วยรักษาโรคตาปลาให้หายได้ โดยการนำกระเทียมมาผ่าครึ่งแล้วถูบริเวณที่เป็นตาปลา ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งแล้วปิดพลาสเตอร์ทับทิ้งไว้ 1 คืน ตอนเช้าแกะออกแล้วล้างด้วยน้ำอุ่น หรือจะใช้กระเทียมสับมาพอกแล้วปิดทับด้วยพลาสเตอร์ 3 วันก็จะช่วยให้ตาปลาหลุดออกมา
5. น้ำมันสน
น้ำมันสน มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อที่ทรงประสิทธิภาพ ที่สามารถรักษาตาปลาได้ และสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ระยะเวลาในการรักษาสั้นลง วิธีการใช้น้ำมันสนในการรักษาตาปลาที่ดีที่สุดคือก่อนใช้ควรนำน้ำแข็งประคบลงบริเวณที่เป็นตาปลาประมาณ 2 นาทีแล้วเช็ดให้แห้งจากนั้นน้ำมันสนทาลงบริเวณตาปลา แล้วปิดพลาสเตอร์ทับไว้ 1 คืน และแกะออกในตอนเช้า ทำเป็นประจำทุกวันจะช่วยให้หายไวขึ้น
6. มะละกอดิบ
มะละกอดิบเป็นวิธีที่ช่วยรักษาตาปลาได้ง่ายแถมได้ผลมากที่สุด เพราะเอ็นไซม์บางชนิดในมะละกอกดิบสามารถช่วยขจัดผิวหนังที่ตายแล้ว แถมยังช่วยรักษาอาการเจ็บบริเวณตาปลา และยังทำให้ตาปลาแห้งลงและหลุดไปเองได้อย่างง่ายได้ วิธีการใช้ก็ไม่ยาก เพียงนำมะละกอดิบมาคั้นเอาแต่น้ำ แล้วนำสำลีชุบน้ำมะละกอดิบแปะลงบนแผลจากนั้นปิดด้วยเทปพันแผลทิ้งไว้ 1 คืนแล้วทำความสะอาด ทำซ้ำทุกวันจนกว่าจะเห็นผล
7. ชะเอมเทศ
ในแพทย์แผนอายุรเวทของอินเดีย ชะเอมเทศมักถูกนำมาใช้ในการรักษาตาปลา ซึ่งผลที่ออกมาก็น่าอัศจรรย์มากเลยทีเดียว แค่เพียงนำชะเอมเทศแบบผงผสมกับน้ำมันเมล็ดมัสตาร์ดให้เป็นเนื้อครีม พอกลงบนบริเวณที่เป็นตาปลาแล้วปิดทับด้วยพลาสเตอร์ทิ้งไว้ 1 คืน ตอนเช้าแกะพลาสเตอร์ออกแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นทำซ้ำไปเรื่อย ๆ จนกว่าตาปลาจะจะเริ่มนิ่มและหายไปค่ะ
8. ผงขมิ้น
สารคูเคอร์มินในขมิ้นมีฤทธิ์ลดการอักเสบโดยธรรมชาติ และสามารถลดอาการเจ็บและแผลตาปลาให้หายได้เร็วขึ้น โดยนำผงขมิ้นไปผสมกับน้ำผึ้งให้เป็นเนื้อครีม ทาบริเวณที่เป็นตาปลาแล้วปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง ทำซ้ำ 2-3 ครั้งต่อวัน อย่างน้อย 1 สัปดาห์ ตาปลาก็จะค่อย ๆ หลุดไป หรือจะใช้ผงขมิ้นผสมกับเจลว่านหางจระเข้ ทาลงในพาสเตอร์และปิดไว้บนข้ามคืน จากนั้นแกะออก แล้วบำรุงด้วยครีมตามปกติ ทำซ้ำเป็นประจำทุกวันจนกว่าตาปลาจะหายไป
9. สัปปะรด
เปลือกสัปปะรดที่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ก็สามารถรักษาตาปลาได้ โดยการนำเปลือกที่เราไม่ใช้แล้วมาหั่นเป็นขนาดพอดีกับตาปลาแล้วแปะลงตาปลาจากนั้นปิดทับด้วยพลาสเตอร์ทิ้งเอาไว้ 1 คืน จากนั้นแกะออกล้างให้สะอาด และทาบริเวณตาปลาด้วยน้ำมันมะพร้าว ทำแบบนี้ติดต่อกันเป็นประจำจนกว่าจะหาย
10. น้ำมันละหุ่ง
น้ำมันละหุ่งเป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์แรง ดังนั้นจึงควรใช้อย่างระมัดระวังในการรักษาตาปลา โดยควรหาเทปพันแผลหรือพลาสเตอร์แบบที่เป็นรูตรงกลางปิดรอบ ๆ ให้เหลือแต่บริเวณที่เป็นตาปลา แล้วนำน้ำมันละหุ่งหยอด กดทับด้วยสำลีแล้วปิดทับด้วยเทปพันแผล ป้องกันไม่ให้น้ำมันละหุ่งซึมออกมาโดนผ้าหรือของอย่างอื่นด้วยการนำถุงเท้าเก่า ๆ มาสวมทับไว้อีกชั้นทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วล้างออก จะช่วยให้ตาปลาหายได้
ถ้าไม่อยากให้ตัวเองต้องมานั่งรักษาตาปลากันทีหลังก็ควรจะเลือกสวมใส่รองเท้าที่มีพื้นนิ่ม และหลีกเลี่ยงการสวมใส่รองเท้าที่มีส้นสูง ๆ หรือมีลักษณะรองเท้าที่ไม่ดีต่อสุขภาพเท้าเป็นเวลานานวิธีนี้ก็จะช่วยได้นะ
- ตาปลาที่เท้า สงสัยไหมมันเกิดจากอะไร ไปดูกัน!
- 4 เหตุผลที่คนลาออกจากงาน เบื่อคน หรือ เบื่องาน
- 7 อาหารอร่อยช่วยเยียวยา
- รู้หรือไม่? 'โรคสุกใสเป็นซ้ำได้อีก' !!
- คนอยากมีลูกดูเอาไว้นะ 10 อาหารที่ช่วยทำให้คุณปั๊ม “ลูก” ได้สมหวัง
- ใครชอบกินไข่ ดูเอาไว้ แพทย์เผยความจริง กินติดต่อกันทุกวัน
- อาหารที่ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญได้ดี มีอะไรบ้าง
- อันตรายจากการใช้ น้ำมันทอดซ้ำ
- แจกวิธีทำ น้ำนมข้าวโพด สรรพคุณบำรุงผิวพรรณ บำรุงสายตา ต้านมะเร็งร้าย
- ลูกเดือย ประโยชน์เยอะจริงๆ กินรักษาโรคเกาต์-โรคไต มาดูวิธีการทำกัน!!
- แจก 5 สูตรอาหาร ล้างอุจจาระตกค้างในลำไส้ เหมาะกับคนท้องผูก ตดเหม็น
- สะระแหน่ ผักต่างแดนที่โอนสัญชาติและเปลี่ยนชื่อเป็นไทย
ที่มา : healthmeplease.com , kapook.com