มีถุงใต้ตาทําไงดี ? วิธีจัดการปัญาถุงใต้ตา ถุงใต้ตาบวม


1,654 ผู้ชม

ผิวหนังบริเวณใต้ตาของเรานั้นเป็นอะไรที่บอบบางมาก จึงทำให้ทุกคนมักประสบปัญหาถุงใต้ตา


เป็นที่ทราบดีว่าผิวหนังบริเวณใต้ตาของเรานั้นเป็นอะไรที่บอบบางมากอยู่แล้ว จึงทำให้ทุกคนมักประสบปัญหาถุงใต้ตามาแล้วไม่มากก็น้อย ซึ่งการเกิดถุงใต้ตานั้นก็มาจากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นจากกรรมพันธุ์ การใช้ชีวิตประจำวัน สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ฯลฯ แม้ว่าเราจะไม่ยังสามารถยับยั้งให้มันเกิดขึ้นได้อย่างถาวร แต่เราก็สามารถลดปัญหานี้ได้หากดูแลอย่างถูกวิธี

สาเหตุการเกิดถุงใต้ตา

ถุงใต้ตาจะมีอยู่ 2 ลักษณะด้วยกัน คือ ถุงใต้ตาแท้ และ ถุงใต้ตาเทียม

  • ถุงใต้ตาแท้ เป็นถุงใต้ตาที่เกิดจากกรรมพันธุ์และระบบต่อมไร้ท่อภายในร่างกายทำงานผิดปกติ จึงทำให้ไขมันและของเหลวไหลมารวมกันบริเวณผิวหนังใต้ตามากจนเกินไป ทำให้เกิดการป่องนูน ปกติแล้วถุงไขมันนี้จะถูกกั้นไว้ด้วยกล้ามเนื้อเปลือกตาที่แข็งแรง สาเหตุที่พบได้บ่อยและไม่ได้มาจากกรรมพันธุ์ก็คือ ความเสื่อมของผิวหนังตามกาลเวลาอันเนื่องมาจากเนื้อเยื่อที่รองรับถุงไขมันเกิดการหย่อนตัวลงตามวัยที่เพิ่มขึ้น แต่สำหรับบางคนที่มีปัญหาเป็นถุงใต้ตาแท้อาจจะสังเกตเห็นได้ตั้งแต่อายุยี่สิบต้น ๆ ซึ่งถุงใต้ตาจริง ๆ แล้วก็คือ ถุงไขมันที่อยู่ในเบ้าตา มีอยู่ด้วยกัน 5 ถุง โดยจะอยู่เหนือเปลือกตาบน 2 ถุง และอยู่ใต้เปลือกตาล่าง 3 ถุง แต่ถุงใต้ตาล่างที่เคลื่อนออกมาและมีปัญหาบ่อย ๆ จะมีอยู่ 2 ถุง คือ ถุงกลาง (Middle Fat) และบางส่วนของถุงไขมันที่อยู่ด้านใน (Inner Fat)
  • ถุงใต้ตาเทียม คือ อาการบวมน้ำที่เกิดขึ้นบริเวณใต้ตาล่าง หรือที่เราเรียกว่า ตาบวม หรือ ถุงใต้ตาบวม นั่นแหละ ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น ระบบการไหลเวียนในร่างกายไม่ดี จึงทำให้มีของเหลวไปคั่งอยู่บริเวณใต้ตา โดยมักมาจากพฤติกรรมอันไม่ปกติ เช่น ร้องไห้หนักมาก ชอบขยี้ตา อดหลับอดนอน ทำงานกลางคืนอย่างหนัก ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ แพ้สารต่าง ๆ ใช้สายตามากเกินไป หากพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอและดูแลตัวเอง พร้อมกับหมั่นประคบเย็น อาการดังกล่าวก็จะค่อย ๆ หายไปได้เอง

วิธีรักษาถุงใต้ตาแท้

  1. ผ่าตัดถุงใต้ตา เป็นวิธีการผ่าตัดเพื่อแก้ปัญหาถุงใต้ตาแท้และเก็บผิวหนังส่วนเกินออก วิธีนี้จะสามารถช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลงและดูไม่เหนื่อยล้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีถุงไขมันใต้ตามากผิดปกติและมีผิวใต้ตาหย่อนคล้อย โดยแพทย์จะทำการซักประวัติคนไข้ก่อนว่าสมควรทำการผ่าตัดหรือไม่ แล้วพิจารณาปัญหาสำหรับวางแผนผ่าตัดรักษาต่อไป ในขั้นตอนการผ่าตัดนั้นแพทย์จะใช้วิธีการวางยาสลบ แล้วจะเริ่มลงมือเปิดแผลที่มีบริเวณเปลือกตาล่าง ซึ่งการรักษาแบบเดิมแพทย์จะเปิดแผลที่ด้านในเปลือกตาล่างบริเวณเยื่อบุตา จะด้วยการใช้มีดผ่าตัดหรือใช้เลเซอร์ก็แล้วแต่ เพื่อเอาถุงไขมันใต้ตานั้นออกไป ซึ่งการกรีดแผลจากด้านในนี้จะมีข้อดีคือจะทำให้มองไม่เห็นรอยแผล แต่การรักษาแบบนี้จะมีข้อเสียที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ นั่นก็คือปัญหา "ร่องตาลึก" ที่มองเห็นได้ชัด แต่บางรายการเอาถุงไขมันออกไปก็อาจจะให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้จริง ๆ
    ส่วนการรักษาแบบใหม่นั้นแพทย์จะใช้วิธี "การถมไขมัน" ด้วยการเปิดแผลเข้าไปชิดกับขอบตาตามแนวขนตาล่างให้มากที่สุด จากนั้นจะเห็นก้อนไขมันเรียงตัวกันอยู่ตามแนว 3 ถุง โดยถุงที่มีปัญหาก็คือถุง 2 และถุง 3 แล้วแพทย์จะทำการเลาะถุงไขมันที่มีปัญหา พร้อมกับดันขยับให้ไขมันลงไปอยู่ใน "ร่องลึกข้างตา" โดยต้องจัดวางให้ถูกที่แล้วยึดไขมันไว้ให้ถูกตำแหน่ง ในขั้นตอนต่อมาแพทย์จะทำการยึดกล้ามเนื้อให้ตึง โดยขึงไว้กับหางตาด้านข้าง (เพื่อไม่ให้ตาปลิ้น ตาแหก) ทั้งนี้เมื่อขยับไขมันออกจากพื้นที่เดิมแล้ว ผิวหนังบริเวณนั้นจะเกิดการหย่อนเป็นส่วนเกิน ศัลยแพทย์จึงต้องทำการตัดเก็บหนังส่วนเกินนี้ออกด้วย แล้วจึงเย็บปิดแผลให้เนียนสนิท (อาจเห็นรอยแผลเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่บริเวณหางตา แต่ถ้าไม่สังเกตดี ๆ ก็จะมองไม่เห็น) สรุปก็คือการผ่าตัดแบบใหม่จะไม่พยายามเอาไขมันออกเหมือนสมัยก่อน (อาจมีการเอาออกเล็กน้อย) และมักนำไขมันเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์แทน เพื่อทำให้ขอบตาล่างดูอวบอิ่มสมบูรณ์และไม่เป็นร่องลึกใต้ตานั่นเอง ซึ่งก็คือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ใช้รักษากันอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ดี คุณไม่ควรคาดหวังว่าการผ่าตัดแบบใหม่จะทำให้ผิวใต้ตาดูเรียบตึงเหมือนตอนเราใช้มือดึง เพราะการผ่าตัดจะมีข้อจำกัดในเรื่องปัญหาการดึงรั้งที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ แพทย์จึงมักเหลือระยะปลอดภัยไว้เสมอ เพราะผิวบริเวณตาเป็นจุดที่บอบบางมาก การผ่าตัดจึงต้องอาศัยศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญสูง
  2. การฉีดสารเติมเต็ม เป็นวิธีการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปบริเวณร่องตาเพื่อเป็นการแก้ปัญหาทำให้ร่องตาบริเวณถุงใต้ตาที่เป็นอยู่ดูชัดน้อยลง แต่ก็ไม่ใช่วิธีการรักษาถุงใต้ตาโดยตรงและถ้าทำไม่ดีก็อาจทำให้ถุงใต้ตาดูชัดมากขึ้นไปก็ได้
  3. การลดถุงใต้ตาด้วยคลื่นวิทยุ (Radio Frequency - RF) การใช้คลื่น RF แม้จะช่วยทำให้ไขมันใต้ตาดูเล็กลงได้ แต่ก็ไม่สามารถทำให้ปัญหาถุงใต้ตาที่เป็นอยู่หายขาดไปได้ เพราะวิธีนี้เป็นเพียงการช่วยยกกระชับผิวใต้ตา ซึ่งจะทำให้ถุงใต้ตาดูเล็กลงบ้างเท่านั้น
  4. การใช้ยาละลายไขมัน แม้จะเป็นอีกหนึ่งวิธีในการรักษา แต่ก็ไม่ขอแนะนำให้รักษาด้วยวิธีนี้นะ เพราะนอกจากจะไม่ค่อยปลอดภัยแล้ว ยังมีรายงานทางการแพทย์ด้วยว่า เคยมีผู้ป่วยที่ใช้วิธีนี้แล้วเกิดอาการตาบอด เนื่องจากเกิดการอักเสบของไขมันที่มากจนเกินไป ส่งผลทำให้ตาบอด
  5. ส่วนวิธีการรักษาอื่น ๆ ก็เช่น การทายากระชับผิว การฉีดสลายไขมันใต้ตา แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างเห็นผลชัดเจน

วิธีรักษาถุงใต้ตาเทียม

  1. ดูแลตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นการ ลดการดื่มแอลกอฮอล์และหลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะมันส่งผลทำให้เกิดอาการบวมน้ำได้, งดการสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้เซลล์ผิวหนังอ่อนแอซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดถุงน้ำใต้ตาและรอยตีนกา, ไม่ขยี้ตา ถูตา หรือกดแรง ๆ เพราะจะยิ่งทำให้ตาบวมมากขึ้น, ล้างเครื่องสำอางออกให้หมดก่อนเข้านอน เพื่อไม่ให้ผิวหนังต้องสัมผัสสารเคมีในระหว่างที่คุณนอน, เปลี่ยนท่านอน จากนอนคว่ำเป็นนอนหงายพร้อมกับหนุนศีรษะให้สูงเวลานอน เพราะการนอนคว่ำก็จะทำให้น้ำไปคั่งอยู่บริเวณขอบตาล่างได้, ลดอาหารเค็ม เพราะอาหารที่อุดมไปด้วยเกลือจะมีส่วนทำให้ร่างกายเกิดอาการบวมน้ำ ยิ่งถ้าวันไหนคุณมีถุงใต้ตาที่บวมฉึ่งหรือบวมตุ่ย แล้วยิ่งกินอาหารที่มีรสเค็มเข้าไปด้วย ร่างกายก็จะยิ่งเกิดการกักเก็บน้ำเอาไว้ ทำให้ถุงใต้ตาที่มีอยู่เดิมไม่หายไปไหน ชนิดที่ว่าหาสารพัดวิธีมาลดอาการบวมใต้ตาก็ไม่ได้ผล, ดื่มน้ำให้ได้วันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยไม่ให้เซลล์ผิวหนังต้องขาดน้ำ ซึ่งก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยลดอาการบวมใต้ตาได้ดี อีกทั้งการดื่มน้ำยังช่วยลดการอักเสบของผิวบริเวณรอบดวงตาได้ด้วย เพราะดวงตานั้นต้องอาศัยน้ำเป็นส่วนประกอบและช่วยในการทำงาน หากมีน้ำหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอก็อาจเกิดอาการแสบแดงขึ้นได้
  2. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ คุณควรนอนให้เต็มอิ่มอย่างน้อยประมาณ 6-10 ชั่วโมง เพราะในช่วงเวลากลางคืน ร่างกายของเราจะมีระบบเผาผลาญไขมันและน้ำในร่างกาย ถ้าเราหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ กระบวนการเผาผลาญก็จะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เมื่อตื่นเช้ามาก็ต้องเจอเข้ากับถุงใต้ตาสุดน่าเกลียดทันที ดังนั้นมันคงจะดีกว่าถ้าเราจะป้องกันการเกิดถุงใต้ตาด้วยการนอนหลับให้เต็มอิ่ม เพียงเท่านี้ปัญหาถุงใต้ตาก็จะไม่ค่อยมารบกวนคุณแล้วล่ะ แถมคุณยังได้ผิวที่สวยดูอวบอิ่มเป็นของแถมอีกด้วย
  3. พักผ่อนสายตาซะบ้าง พยายามอย่าทำให้กล้ามเนื้อตาต้องล้ามากจนเกินไป ด้วยการอย่านั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ พยายามพักสายตาทุก ๆ 15 นาที ด้วยการมองออกไปไกล ๆ ปรับแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ให้พอเหมาะ อย่าขยี้ตาถ้าไม่จำเป็น ก็จะช่วยทำให้ดวงตาไม่อ่อนล้าได้แล้วล่ะ แต่หากรู้สึกอ่อนล้าก็ให้นวดคลึงเบา ๆ เพื่อคลายความตึงเครียด ด้วยการกลอกตาไปรอบ ๆ เป็นวงกลมประมาณ 5-6 รอบ แล้วใช้นิ้วนางทั้ง 2 นิ้ว แตะที่หัวตาแต่ละข้าง คลึงเบา ๆ แบบกดจุดนาน 1-2 วินาที
  4. พยายามอย่าร้องไห้ ทุก ๆ ครั้งที่เราร้องไห้ สังเกตได้เลยว่าถุงใต้ตานี่แหละจะเป็นเพื่อนแท้ที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเราเสมอ (T-T) ฉะนั้นถ้าคุณไม่อยากมีเพื่อนแบบนี้ก็พยายามอย่าร้องไห้เลยจะดีกว่า แต่ถ้าชีวิตมันเศร้าหรือมีเรื่องต้องเสียใจจนอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่จริง ๆ แนะนำให้คุณลองใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นนำมาประคบหลังต้นคอเอาไว้ อาจจะฟังดูแปลก ๆ ไปสักหน่อย แต่เชื่อเถอะว่าวิธีนี้จะช่วยทำให้เราหยุดร้องไห้ได้ดีในระดับหนึ่งเลยแหละ
  5. รักษาโรคภูมิแพ้ ปัญหาใต้ตาบวมส่วนหนึ่งมาจากผลกระทบของโรคภูมิแพ้ ดังนั้นถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหา คุณก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาโรคภูมิแพ้ที่ตัวเองเป็นอยู่ให้หายขาด หรืออย่างน้อย ๆ ก็เพื่อบรรเทาอาการของโรคภูมิแพ้ลงบ้างก็ยังดี ซึ่งจะช่วยลดอาการภูมิแพ้ของคุณและป้องกันปัญหารอบดวงตาได้ในระดับหนึ่งเลยล่ะ
  6. ประคบเย็นช่วยได้แน่นอน เช้าไหนตื่นมาแล้วเจอเข้ากับถุงใต้ตาสุดบวม ก็ให้คุณหั่นแตงกวาแช่เย็นนำมาประคบที่เบ้าตา หรือจะใช้ช้อนแช่เย็นมาครอบเบ้าตาไว้สักพัก หรือใช้ผ้าขาวบางนำมาห่อน้ำแข็งหรือเจลเย็น นำมาประคบบริเวณถุงใต้ตาทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที โดยความเย็นจากสิ่งเหล่านี้จะช่วยคลายอาการบวมน้ำของถุงใต้ตาออกไปได้ เพียงเท่านี้เราก็สามารถลดถุงใต้ตาได้บ้างแล้วล่ะ
  7. มันฝรั่ง ให้นำมันฝรั่งมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำมาพอกบริเวณรอบดวงตาทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น ซึ่งมันฝรั่งนั้นจะมีคาร์โบไฮเดรตที่สามารถช่วยลดการอักเสบของผิวหนังบริเวณรอบดวงตาได้
  8. ถุงชาใช้แล้ว อีกสูตรเด็ดที่สามารถช่วยลดถุงใต้ตาบวมได้ไม่แพ้แตงกวา เนื่องจากในถุงชานั้นมีสารกาเฟอีนที่มีสรรพคุณช่วยลดอาการบวมและคลื่นขรุขระใต้ผิวหนังได้ วิธีการใช้ก็ไม่ยากเลย เพียงแค่คุณนำถุงชาที่ผ่านการชงแล้วนำมาประคบบริเวณถุงใต้ตาสักพัก จนอาการบวมค่อย ๆ ยุบตัวลง แล้วจึงค่อยล้างหน้าออกตามปกติ
  9. กดนวดลดถุงใต้ตาบวม ให้เราใช้นิ้วชี้และนิ้วกลาง (หรือใช้นิ้วชี้เพียงนิ้วเดียว) กดลงไปตรงบริเวณถุงใต้ตา โดยให้ปลายนิ้วอยู่บนเนินจมูกค้างไว้ประมาณ 10 วินาที แล้วทำซ้ำไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่าถุงใต้ตาที่บวมนั้นลดลง
  10. เลือกใช้อายเจล ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์บำรุงรอบดวงตามีให้เลือกใช้ทั้งแบบเจลและครีม แต่ขอแนะนำให้เลือกใช้แบบเจลจะดีกว่า เพราะเจลจะช่วยลดอาการบวมใต้ตาได้มากกว่าผลิตภัณฑ์แบบครีม ยิ่งถ้าคุณนำเจลบำรุงไปแช่เย็น (ช่องธรรมดา) ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลดอาการบวมของถุงใต้ตาได้อีกมากเลยทีเดียว และถ้าจะให้ดีกว่านี้ก็ให้คุณลองหาอายเจลที่มีส่วนผสมของกาเฟอีน เพราะสารกาเฟอีนนั้นมีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงผิว ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณรอบดวงตา และช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี ยิ่งถ้าได้ผสานคุณค่าจากโปร-วิตามินบี 5 ด้วยแล้ว ก็จะช่วยทำให้ผิวรอบดวงตามีความชุ่มชื้นและดูสวยสดใสไปได้อีกยาวนาน ยิ่งในปัจจุบันมีอีกหนึ่งวิธีการรักษาแบบใหม่ ด้วยการนำสารโปรตีนอนุภาคเล็กที่เรียกว่า Acetyl tetrapeptide 5 หรือที่ทางการแพทย์ใช้เป็นยาลดความดันเลือด นำมาใช้ในเครื่องสำอางบำรุงผิวเพื่อช่วยแก้ปัญหาถุงใต้ตาด้วยตัวเอง เพราะการศึกษาวิจัยในยุโรปพบว่าสารชนิดนี้สามารถช่วยลดการเกิดถุงใต้ตา รอยบวม รวมถึงรอยคล้ำได้ เพราะมันสามารถช่วยปรับการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองให้เป็นไปอย่างสมดุล อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อีกด้วย จึงช่วยทำให้เซลล์ผิวแข็งแรงและช่วยขับของเสียออกจากเซลล์ผิวได้ดีขึ้น จึงมีผลช่วยลดการสะสมตัวของน้ำและไขมันที่อาจเกิดขึ้นรอบดวงตาได้
  11. แผ่นแปะใต้ตา เปลี่ยนจากถุงใต้ตาเป็นดอลลี่อายสไตล์เกาหลีซะเลย ซึ่งอุปกรณ์จะมีลักษณะช่วยทำให้ถุงใต้ตาปูดปิ๊ง จะเป็นเทปกาวใสยืดหยุ่นพิเศษเพื่อสร้างความตุ่ยให้กับใต้ตา (คล้าย ๆ แผ่นฟิล์มหรือแผ่นพลาสติกบางใส) นำมาติดทาบไปบนพื้นที่ใต้ตา แต่การแปะต้องระวังให้ดี เพราะถ้าแปะไม่เซียนจริงก็อาจทำให้เกิดริ้วรอยใต้ตาตามมาได้
  12. เมคอัพช่วยได้ สำหรับสาว ๆ ที่มีถุงใต้ตา ก็สามารถใช้การแต่งหน้าเข้าช่วยได้โดยการเลือกใช้คอนซีลเลอร์สีเดียวกับที่ทาบริเวณถุงใต้ตา เพียงเท่านี้เราก็ปกปิดถุงใต้ตาได้แล้วล่ะ หรือจะลองทำตามคลิปวิดีโอด้านล่างนี้เลยก็ได้นะ

ต่อไปนี้คุณคงไม่ต้องมาอารมณ์เสียกับอาการบวมและปัญหาถุงใต้ตาอีกแล้ว เพราะถ้าวันไหนเกิดมีถุงใต้ตาขึ้นก็ไม่ต้องกังวลอะไรมากนัก เพียงแค่นำเคล็ดลับเหล่านี้ไปใช้ รับรองได้เลยว่าปัญหาถุงใต้ตาบวมจะไม่มากวนใจคุณอีกอย่างแน่นอน

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย

อัพเดทล่าสุด