ท่านนบี ไม่เคยละทิ้งการละหมาดในยามค่ำคืน (กิยามุลลัยลฺ) ไม่ว่าท่านจะพำนักอยู่ในถิ่นอาศัยหรืออยู่ระหว่างการเดินทาง คืนใดที่ท่านเผลอหลับลึกไม่ทันตื่น หรือเจ็บป่วยไม่สบาย ท่านก็จะละหมาดในเวลากลางวัน จำนวนสิบสองร็อกอัต เป็นการทดแทน
กียามุลลัยลฺ การละหมาดยามค่ำคืน
ท่านนบี ไม่เคยละทิ้งการละหมาดในยามค่ำคืน (กิยามุลลัยลฺ) ไม่ว่าท่านจะพำนักอยู่ในถิ่นอาศัยหรืออยู่ระหว่างการเดินทาง คืนใดที่ท่านเผลอหลับลึกไม่ทันตื่นหรือเจ็บป่วยไม่สบาย ท่านก็จะละหมาดในเวลากลางวันจำนวนสิบสองร็อกอัตเป็นการทดแทน
ข้าพเจ้า (อิบนุลก็อยยิม) ได้ยินชัยคุลอิสลามอิบนุ ตัยมิยะฮฺกล่าวว่า“ดังกล่าวนี้เป็นหลักฐานว่าหากพลาดละหมาดวิตรฺไปก็ไม่จำเป็นต้องละหมาดชดแต่อย่างใด เนื่องจากเวลาที่กำหนดไว้สำหรับละหมาดวิตรฺนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เช่นเดียวกับ กรณีของการละหมาดเมื่อแรกเข้ามัสยิด(ตะหิยะตุลมัสยิด)ละหมาดเมื่อเกิดอุปราคาหรือละหมาดขอฝน ทั้งนี้เพราะวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการละหมาดวิตรฺคือการปิดท้ายละหมาดยามค่ำคืน ด้วยละหมาดวิตรฺที่มีร็อกอัตเป็นจำนวนคี่”
ท่านนบี ละหมาดยามค่ำคืนจำนวนสิบเอ็ดหรือสิบสามร็อกอัต โดยประเด็นเรื่องจำนวนร็อกอัตนี้นักวิชาการมีความเห็นตรงกันในส่วนของการละหมาดสิบเอ็ดร็อกอัต ส่วนอีกสองร็อกอัตที่เพิ่มขึ้นมานั้นมีความเห็นแตกต่างกันว่าเป็นสุนัตสองร็อกอัตก่อนละหมาดฟัจญรฺ หรือเป็นละหมาดประเภทอื่น ?
ทั้งนี้ เมื่อนับเอาจำนวนร็อกอัตดังกล่าวรวมเข้ากับจำนวนร็อกอัตของละหมาดฟัรฺฎูและละหมาดสุนัตต่างๆ ที่ท่านปฏิบัติอย่างเป็นประจำทั้งในเวลากลางวันและกลางคืนแล้วก็จะได้จำนวนสี่สิบร็อกอัต นอกเหนือจากจำนวนดังกล่าวล้วนเป็นการละหมาดที่ท่านมิได้ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ
ดังนั้น จึงจำเป็นที่เราจะต้องรักษาการงานที่ดีนี้ไว้ตลอดไป เพื่อที่คำวิงวอนขอของเราจะได้รับการตอบรับ เปรียบได้กับผู้ที่เคาะประตูเรียกสี่สิบครั้ง ในแต่ละวัน แต่ละคืน ไม่นานก็คงมีผู้เปิดประตูต้อนรับ
ตามแบบฉบับของท่าน นั้นเมื่อท่านตื่นขึ้นมาในยามวิกาล ท่านจะกล่าวว่า :
«إِذْ هَدَيْتَنِي،وَهَبْ لِي مِنْ لَدُنْكَ رحمةً إِنَّكَ أَنْتَ الوَهَّابُ ،لاَ إِلهَ إلا أَنْتَ سُبْحَانَكَ اللهُمَّ أَسْتَغْفِرُكَ لِذَنْبِ،وَأَسْألُكَ رَحْمَتَكَ،اللهمَّ زِدْنِي عِلْماً،ولا تُزِغْ قَلْبي بَعْدَ»
“ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ โอ้อัลลอฮฺ ข้าพระองค์ขออภัยโทษต่อพระองค์ สำหรับความผิดของข้าพระองค์ ข้าพระองค์หวังในความเมตตาของพระองค์ .. โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงเพิ่มพูนความรู้แก่ข้าพระองค์ และขอทรงอย่าให้หัวใจของข้าพระองค์ไขว้เขว ภายหลังจากที่พระองค์ได้ทรงชี้นำทางแก่ข้าพระองค์ .. ขอพระองค์ทรงประทานความเมตตาแก่ข้าพระองค์ พระองค์เป็นผู้ทรงมอบสิ่งทั้งหลายทั้งปวง"
เมื่อตื่นจากการนอน ท่านยังกล่าวว่า :
«الحَمْدُ للهِ الذي أَحْيَانَا بَعْدَمَا أَمَاتَنَا وَإليهِ النُشُورُ»
“มวลการสรรเสริญ เป็นสิทธิของอัลลอฮฺ ผู้ทรงให้เราได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ทรงให้เราสิ้นชีวิต และยังพระองค์เท่านั้น ที่ทุกสิ่งจะถูกนำไป"
หลังจากนั้น ท่านแปรงฟัน บางครั้ง ท่านก็อ่านสิบอายะฮฺสุดท้าย จากสูเราะฮฺอาลอิมรอนด้วย จากนั้น ท่านอาบน้ำละหมาด แล้วละหมาดสั้น ๆ สองร็อกอัต ดังปรากฏหลักฐานในหะดีษ ซึ่งรายงานโดย อบูฮุร็อยเราะฮฺ ทั้งนี้ ท่านเริ่มละหมาดกิยามุลลัยลฺ เมื่อได้เวลากึ่งหนึ่งของคืน หรืออาจจะก่อนหน้า หรือหลังจากนั้นเล็กน้อย
บางครั้ง ท่านนบี ยืนละหมาดยามค่ำคืน แบบเว้นช่วง แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ท่านจะละหมาดแบบต่อเนื่อง การละหมาดแบบเว้นช่วงนั้น ดังที่ท่าน อิบนุอับบาส กล่าวว่า “เมื่อท่านละหมาดสองร็อกอัต แล้วท่านจะกลับไปนอน ท่านทำสลับอย่างนี้ อยู่สามครั้ง รวมเป็นหกร็อกอัต โดยท่านแปรงฟันและอาบน้ำละหมาดทุกครั้ง ที่ลุกขึ้นละหมาด หลังจากนั้น ท่านจึงละหมาดวิตรฺ จำนวนสามร็อกอัต ปิดท้าย”
ซึ่ง การละหมาดวิตรฺของท่านนั้น มีหลายลักษณะ ในบางครั้งท่านยืนละหมาดแปดร็อกอัต โดยให้สลามทุกสองร็อกอัต แล้วจึงละหมาดวิตรฺ ห้าร็อกอัต ติดต่อกัน โดยนั่งตะชะฮุดในร็อกอัตสุดท้าย ก่อนให้สลาม บางครั้ง ท่านละหมาดเก้าร็อกอัต โดยละหมาดต่อเนื่องกัน แปดร็อกอัต แล้วนั่งตะชะฮุดในร็อกอัตสุดท้าย กล่าว ซิกรุลลอฮฺ สรรเสริญอัลลอฮฺ และวิงวอนขอดุอาอ์ จากนั้น ก็ลุกขึ้นยืนละหมาดต่อ ในร็อกอัตที่เก้า แล้วจึงนั่งลงตะชะฮุด และให้สลาม หลังจากนั้น ท่านก็ละหมาดอีกสองร็อกอัต หลังให้สลาม บางครั้งท่านละหมาดเจ็ดร็อกอัต ในลักษณะเดียวกันกับ กรณีที่ท่านละหมาดเก้าร็อกอัต หลังจากนั้น ท่านก็ละหมาดต่ออีกสองร็อกอัต ในท่านั่ง
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า ท่านเคยละหมาดทีละสองร็อกอัต แล้วจึงต่อด้วย วิตรฺจำนวนสามร็อกอัต ต่อเนื่องกัน ดังปรากฏในรายงานที่บันทึกโดย อะหฺมัด จากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ซึ่งเป็นรายงานที่ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะปรากฏรายงานใน เศาะฮีหฺอิบนิหิบบาน จากท่าน อบูฮุร็อยเราะฮฺ เล่าว่าท่านนบี กล่าวว่า
"พวกท่านอย่าได้ละหมาดวิตรฺจำนวนสามร็อกอัต แต่จงละหมาดห้า หรือเจ็ดร็อกอัต อย่าทำให้การละหมาดวิตรฺ คล้ายกับละหมาดมัฆริบ”
อัดดาเราะกุฏนีย์ กล่าวว่า : สายรายงานหะดีษบทนี้ เชื่อถือได้ทุกคน
อิมามอะหฺมัด ได้กล่าวถึงการละหมาดวิตรฺ ว่า “ควรจะให้สลามเมื่อจบสองร็อกอัต แต่ถ้ายังไม่ให้สลาม ก็หวังว่าจะไม่ผิดแต่ประการใด เพียงแต่รายงานที่ระบุว่าท่านนบี ให้สลามเมื่อจบสองร็อกอัตนั้น มีความชัดเจนถูกต้องมากกว่า”
ในอีกที่หนึ่ง ท่านกล่าวว่า “หะดีษส่วนใหญ่ และที่มีน้ำหนักมากกว่า ระบุว่า ละหมาดวิตรฺมีเพียงร็อกอัตเดียว ซึ่งฉันเลือกทัศนะนี้”
มีรายงานจาก ท่านหุซัยฟะฮฺ ว่า ท่านได้เคยละหมาดในเดือนรอมฎอน พร้อมกับท่านนบี ซึ่งเมื่อท่านรุกูอฺ ท่านกล่าวว่า «سُبْحَانَ رَبِّي العَظِيم » และเมื่อท่านละหมาดได้เพียงสี่ร็อกอัต บิลาลก็มาแจ้งว่า ได้เวลาละหมาดศุบหฺแล้ว
สำหรับช่วงเวลาของการละหมาดวิตรฺ บางครั้งท่านละหมาดในช่วงแรกของคืน บางครั้งก็ช่วงกลาง ๆ และบางครั้งท่านละหมาดในช่วงท้ายของคืน ครั้งหนึ่ง ท่านเคยยืนละหมาดในยามดึก โดยอ่านซ้ำไปซ้ำมาเพียงอายะฮฺเดียว กระทั่งได้เวลา ศุบหฺ นั่นคือ อายะฮฺที่ว่า :
“หากพระองค์ทรงลงโทษพวกเขา แท้จริงพวกเขา ก็เป็นเพียงบ่าวของพระองค์ และถ้าพระองค์ทรงอภัยให้แก่พวกเขา แท้จริงพระองค์ คือ ผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ” (อัลมาอิดะฮฺ : 118)
ในการละหมาดยามค่ำคืนนั้น ส่วนใหญ่ท่านจะยืนละหมาด แต่บางครั้ง ท่านก็ละหมาดในท่านั่ง และก็มีบางครั้ง ที่ท่านเริ่มอ่านในท่านั่ง เมื่ออ่านไปจนกระทั่งเหลืออีกเพียงเล็กน้อย ท่านก็ยืนขึ้น หลังจากนั้น ก็ก้มรุกูอฺ ขณะที่อยู่ในท่ายืน
และปรากฏรายงาน จากท่านระบุว่า ท่านเคยละหมาดต่ออีกสองร็อกอัต หลังเสร็จสิ้นจากการละหมาดวิตรฺ โดยบางครั้งท่านละหมาดในท่านั่ง และบางครั้งท่านเริ่มละหมาด ในท่านั่ง เมื่อถึงช่วงรุกูอฺ ท่านก็ยืนขึ้น แล้วรุกูอฺขณะที่อยู่ในท่ายืน ซึ่งประเด็นนี้ ได้สร้างความสับสนแก่คนจำนวนมาก โดยพวกเขาเข้าใจว่าหะดีษบทนี้ ขัดแย้งกับหะดีษที่ว่า
"พวกท่านจงให้ละหมาดวิตรฺ (ด้วยจำนวนคี่) เป็นการปิดท้ายละหมาดในยามค่ำคืน”
อิมามอะหฺมัด กล่าวว่า “โดยส่วนตัวฉันไม่ยึดถือปฏิบัติ แต่ก็ไม่ห้ามผู้ใดที่จะปฏิบัติเช่นนั้น ซึ่งท่านมาลิก ก็ไม่สนับสนุนให้ปฏิบัติเช่นเดียวกัน”
ทั้งนี้ ทัศนะที่น่าจะถูกต้อง คือ การละหมาดวิตรฺนั้น ถือเป็น อิบาดะฮฺเฉพาะ จึงอาจต่อด้วยการละหมาดสองร็อกอัต เฉกเช่น การละหมาดสุนัตหลังมัฆริบ โดยสองร็อกอัตนั้น ถือเป็นการเติมเต็มสำหรับละหมาดวิตรฺนั่นเอง และไม่ปรากฏรายงานว่า ท่านนบี อ่านกุนูตในละหมาดวิตรฺ
ยกเว้นหะดีษซึ่งบันทึกโดย อิบนุมาญะฮฺ
อิมามอะหฺมัด กล่าวว่า“ไม่ปรากฏว่ามีรายงานจาก ท่านนบี ในเรื่องนี้แต่อย่างใด แต่ท่านอุมัรฺได้เคยกุนูตตลอดทั้งปี”
ทั้งนี้ การกุนูต ในละหมาดวิตรฺ นั้นมีรายงานจาก ท่านอุมัรฺ ท่านอุบัยย์ และท่านอิบนุมัสอูด และในหะดีษ ซึ่งบันทึกโดย อบูดาวูด จากอุบัยย์ บินกะอฺบ์ กล่าวว่า
“ท่านเราะสูล ได้อ่าน สูเราะฮฺ (سبّح اسم ربك الأعلى) สูเราะฮฺ (قل يا أيها الكافرون) และสูเราะฮฺ (قل هو الله أحد) และหลังจากให้สลาม ท่านกล่าวว่า “سُبْحَانَ المَلِكِ القُدُّوسِ” จำนวนสามครั้ง โดยในครั้งที่สาม ท่านกล่าวเสียงดัง และลากยาว"
ท่านจะอ่านแต่ละสูเราะฮฺ ช้า ๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ ทั้งนี้เพราะ เป้าหมายที่แท้จริงของการอ่านอัลกุรอาน คือการคิดใคร่ครวญ ทำความเข้าใจในความหมายของสิ่งที่อ่าน และปฏิบัติตามหลักคำสอนที่ปรากฏ ซึ่งการอ่านและการท่องจำนั้น เป็นเพียงสื่อกลางที่นำไปสู่ความเข้าใจอัลกุรอาน
ดังที่ ชาวสลัฟ บางท่านกล่าวไว้ว่า “อัลกุรอานถูกประทานลงมา เพื่อให้เรายึดถือปฏิบัติ เป็นธรรมนูญชีวิต แต่ผู้คนกลับยึดเอา การอ่าน เป็นสาระสำคัญมากกว่า"
อบูญัมเราะฮฺ ได้เคยปรารภกับ ท่านอิบนุอับบาส ว่า “ฉันเป็นคนอ่านเร็ว บางครั้งฉันอ่านอัลกุรอาน จบทั้งเล่ม หนึ่งหรือสองครั้ง ในคืนเดียว”
ท่านจึงกล่าวแก่เขา ว่า “ ในความคิดของฉัน ให้ฉันอ่านเพียงสูเราะฮฺเดียว (อย่างใคร่ครวญ) ยังจะดีกว่าสิ่งที่ท่านทำ ถ้าท่านอยากจะอ่านเร็วจริงๆ ก็ขอให้อ่าน โดยที่หูของท่านได้ยิน และหัวใจของท่าน ได้คิดใคร่ครวญในสิ่งที่อ่านเถิด”
อิบรอฮีม กล่าวว่า "อัลเกาะมะฮฺ ได้เคยอ่านอัลกุรอานให้ท่านอับดุลลอฮฺ ฟัง แล้วท่านก็กล่าวว่า ท่านจงอ่านช้า ๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำเถิด เพราะนั่นคือ ความสวยงามของอัลกุรอาน”
อับดุลลอฮฺ กล่าวอีกว่า "พวกท่านอย่าอ่านอัลกุรอาน ด้วยท่วงทำนองการอ่านบทกลอน และอย่าได้อ่านอย่างไร้ชีวิตชีวา เหมือนดังผลอินทผลัมแห้ง ที่ร่วงหล่นจากต้น แต่พวกท่านจงอ่านโดยคิดไตร่ตรอง ใคร่ครวญไปด้วย ให้หัวใจของพวกท่านได้ตื่นตัว และตอบสนองต่อสิ่งที่อ่าน อย่าให้เป้าหมายของพวกท่าน อยู่ที่ สูเราะฮฺสุดท้าย เท่านั้น (คือ เอาแต่เร่งให้จบ) ”
ท่านยังกล่าวอีกว่า “เมื่อใดที่ท่านได้ยิน อัลลอฮฺตรัสว่า (يَا أيُّها الذِينَ آمَنُوا) –โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย– ก็จงสดับฟังให้ดี เพราะนั่นหมายความว่า สิ่งที่พระองค์จะตรัส บอกหลังจากนั้น คือความดี ที่ท่านถูกสั่งใช้ให้ปฏิบัติ หรือความชั่ว ที่ท่านถูกสั่งใช้ให้ออกห่าง"
อับดุรฺเราะหฺมาน บินอบีลัยลา กล่าวว่า "สตรีนางหนึ่งเข้ามาหาฉัน ขณะที่ฉันกำลังอ่าน สูเราะฮฺฮูด นางจึงกล่าวแก่ฉันว่า โอ้อับดุรฺเราะหฺมาน ท่านอ่านสูเราะฮฺฮูด อย่างนี้หรอกหรือ ? ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ แท้จริง ฉันได้เริ่มอ่านสูเราะฮฺนี้มาตั้งแต่ เมื่อหกเดือนที่แล้ว กระทั่งทุกวันนี้ ฉันก็ยังอ่านมันไม่จบ (เพราะ นางอ่านโดยครุ่นคิด และใคร่ครวญความหมาย-ผู้แปล)”
ในการละหมาดยามค่ำคืนนั้น บางครั้งท่านเราะสูล อ่านเสียงค่อย บางครั้งท่านอ่านเสียงดัง บางครั้งท่านยืนละหมาดนาน บางครั้งท่านยืนสั้น ๆ โดยปกติแล้ว ขณะที่อยู่ในระหว่างการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางคืน หรือกลางวัน ท่านจะนั่งละหมาดสุนัต บนสัตว์พาหนะของท่าน ไม่ว่ามันจะเดินมุ่งหน้าไปทิศทางใดก็ตาม ท่านรุกูอฺและสุญูดด้วยการก้มลง โดยให้การก้มขณะสุญูดนั้น ลงต่ำกว่าขณะรุกูอฺ