บอกต่อคนที่คุณรักเลย!! 9 โรคร้าย ที่อาจแฝงมากับการนอนกรน


1,332 ผู้ชม

การกรน นั้นเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักๆ ที่เราจะต้องกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งถ้าใครที่ได้นอนกับคนอื่นนั้นคุณเองก็อาจะไปสร้างความรำคาญให้กับคนอื่น


บอกต่อคนที่คุณรักเลย!! 9 โรคร้าย ที่อาจแฝงมากับการนอนกรน

การกรน นั้นเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักๆ ที่เราจะต้องกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งถ้าใครที่ได้นอนกับคนอื่นนั้นคุณเองก็อาจะไปสร้างความรำคาญให้กับคนอื่น

เพราะในบางครั้งเสียงกรนของเราก็มีกันอยู่หลายแบบ ซึ่งถ้าคุณกรนเบาๆคนข้างๆขอคุณก็อาจจะไม่ถือสา แต่ถ้าหากว่าคุณนั้นกรนดังแน่นอนว่าเขาอาจจะนอนไม่หลับ
โดยการกรนนั้นเป็นอีกหนึ่งภัยอันตรายที่มากันแบบเงียบๆ ซึ่งคุณอาจจะไม่รู้ตัวก็เป็นได้ และในการนอนกรนของคุณนั้นจะส่งผลเสียหลากหลายอย่าง อย่างเช่นการที่คอแห้งหลังจากตื่นนอน หรือรู้สึกว่าคุณนั้นนอนหลับไม่เต็มอิ่มนั่นเอง 
ดังนั้น เราจะมาดู 9 โรคร้ายที่แฝงมากับการนอนกรนของคุณ ซึ่ง 9 โรคร้ายที่จะกล่าวถึงในต่อไป จะมีดังนี้
1. อัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งจะเกิดจากการที่ภาวะคาร์บอนไดออกไซด์นั้นคั่ง โดยจะมีคาร์บอนไดออกไซด์นั้นมาอุดกั้นทางเดินหายใจ จะเกิดมกในคนนอนกรน และจะทำให้มีการเกิดคราบพลัคซึ่งจะมาในรูปแบบของไขมัน ดังนั้นจะมีความเสี่ยงเป็นอย่างมากต่อโรคที่มีการเกี่ยวข้องกับหลอดเลือดโดยตรง อย่างการที่จะเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตนั่นเอง
2. โรคหัวใจ โดยได้มีผลวิจัยออกมาแล้วจากมหาวิทยาลัยในประเทศฮังการีว่าการที่นอนกรนในรูปแบบที่มีการกรนเสียงดัง มีการที่หยุดหายใจกันไปเป็นพักๆ จะทำให้ผู้ที่นอนกรนนั้นมีความเสี่ยง 34%ในการที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ และ67%นั้นยังเสี่ยงที่จะเป็นโรคเส้นเลือดในสมองแตก ซึ่งมีการเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ได้มีการนอนกรน เพราะการนอนกรนนั้นจะทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อย เพราะเนื่องจากมีคาร์บอนไดออกไซด์ไปคั่งค้าง จึงมีการส่งผลให้สมองหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมาและนำไปสะสมตามระบบต่างๆในร่างกาย
3. ปวดศีรษะ การปวดศีรษะนั้นสาเหตุก็มาจากการที่คุณนั้นนอนกรน โดยจะมีอาการที่ปวดศีรษะหลังการตื่นนอนหรือจะมีการปวดศีรษะประจำนั่นเอง เพราะเนื่องจากการที่นอนกรนแล้วการนอนกรนนั้นจะทำให้คุณนอนหลับไม่สนิท จึงทำให้มีการปวดศีรษะนั่นเอง
4. ภาวะหัวใจเสียจังหวะ โดยจะมีการเกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่สำหรับคนนอนกรน เนื่องจากการที่นอนกรนนั้นจะมีการหยุดหายใจเป็นพักๆ จึงทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจเสียจังหวะ ซึ่งจะแตกต่างกับคนที่ไม่มีการนอนกรน และถ้าคุณทราบว่าคุณนั้นเป็นคนนอนกรนอยู่แล้วและไม่ได้รับการรักษาจะทำให้ร่างกายของคุณได้รับภาวะเสี่ยงมากยิ่งขึ้น
5. กรดไหลย้อน ซึ่งการนอนกรนของคุณนั้นเป็นสาเหตุ เพราะมีการเกิดภาวะทางเดินหายใจของคุณนั้นอุดกั้นในช่วงเวลาการนอนหลับของคุณ จึงถือว่าเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่จะมีการก่อให้เกิดอาการกรดไหลย้อนได้ง่ายมากยิ่งขึ้น โดยมีการเกิดความดันที่ไม่สม่ำเสมอจึงจะทำให้เกิดมีกรดไหลย้อน และถ้าหากว่าคุณนั้นไม่ได้ไปรักษาจะทำให้มีกรเสี่ยงต่อโรคกรดไหลย้อนนั่นเอง
6. ภาวะความดันหลอดเลือดแดงในปอดสูง จากการนอนกรนนั้นแล้วมีการอุดกั้นที่ทางเดินหายใจ และร่างกายของคุณนั้นก็ได้รับออกซิเจนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับปกติ จึงส่งผลให้ระดับของออกซิเจนภายในเลือดมีการลดลง การที่เลือดจะไหลเวียนไปเลี้ยงปอดอย่างไม่สะดวก หรือจะเรียกว่าภาวะความดันหลอดเลือดแดงในปอดสูงนั่นเอง และแน่นอนว่าจะมีการส่งผลไปถึงการใช้ชีวิตที่ยุ่งยากนั่นเอง
7. ระบบประสาทและสมอง สำหรับใครที่นอนกรนอย่างเรื้อรังนั้น อาจจะมีการส่งผลถึงระบบประสาทและสมองได้เช่นกัน เพราะการที่นอนกรนนั้นเมื่อมีการหายใจที่ติดขัดก็จะทำให้การที่เลือดนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ จึงทำให้สมองและระบบประสาทนั้นมีการทำงานที่ผิดปกติ และอาจจะมีผลไปถึงการทำงานปอดและหัวใจให้มีการทำงานหนักมากขึ้น
8. โรคสมองเสื่อม โดยสาเหตุเดียวกันกับหลายๆโรคก็คือการกรนจากที่สมองนั้นขาดออกซิเจนที่เข้าไปเลี้ยงสมอง โดยเมื่อคุณเป็นสะสมต่อเนื่องไปเรื่อยๆนั้นจะทำให้คุณนั้นสมองเสื่อมซึ่งอาจจะมีความเสี่ยงที่แตกต่างและจะเสี่ยงมากกว่าผู้ที่ไม่นอนกรน
9. โรคมะเร็ง ซึ่งเนื่องจากผู้ที่นอนกรนนั้นมีภาวการณ์หายใจที่ติดขัด จึงทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนที่ไปเลี้ยง จึงจะทำให้มีการกระตุ้นเนื้องอกให้มีการเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และถ้าหากว่ามีเลือดที่คั่งไปจุดที่มีเนื้องอกอยู่มากๆนั้นจะทำให้เซลล์ใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นมะเร็งในที่สุด ซึ่งนี่ก็เป็นผลวิจัยจากประเทศสเปนและสหรัฐอเมริกา
แน่นอนว่าเป็นเรื่องใหญ่เป็นอย่างมากสำหรับการนอนกรน เพราะนี่จะทำให้คุณนั้นเกิดความเสี่ยงไปกับโรคต่างๆได้อย่างมาก เพราะดังนั้นคุณเองก็ควรที่จะสังเกตตัวเองในเองของเวลานอนหลับแล้วมีเสียงกรนหรือไม่
แต่จริงๆแล้ววิธีแก้ง่ายๆที่คุณนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องไปหาหมอเพื่อที่จะเสียเงินอย่างมากมายนั้นก็คือ การที่คุณออกกำลังกายต่อเนื่องกันทุกวัน และห้ามผลัดวันจะช่วยคุณได้เพราะร่างกายจะมีการนำออกซิเจนเข้าไปในหลอดเลือดได้ดีขึ้นนั่นเอง
ขอบคุณที่มา : www.thailovehealth.com

อัพเดทล่าสุด