รัฐธรรมนูญกับการปกป้องการเกณฑ์แรงงาน
ระบบไพร่-ทาส กับการเปลี่ยนแปลง
กลไกลการคุ้มครองระดับสากล
เรื่องการใช้แรงงานเกณฑ์นั้นได้มีการกำหนดไว้ใน ปฏิญญาสากลว่า ด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 23 เรื่องสิทธิแรงงาน (3) ว่าทุกคนที่ทำงานมีสิทธิที่จะได้รับสินจ้างที่ยุติธรรม ที่จะประกันแก่ตนและครอบครัว ซึ่งความเป็นอยู่อันควรแก่เกียรติศักดิ์ของมนุษย์
และอนุสัญญาแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 29 ว่าด้วยการเกณฑ์แรงงานหรือการใช้แรงงานบังคับ ค.ศ. 1930 ซึ่งได้กำหนดว่าให้ประเทศสมาชิก ซึ่งให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับนี้ต้องดำเนินการยกเลิกหรือสิ้นสุดการเกณฑ์แรงงานหรือแรงงานภาคบังคับทุกรูปแบบ และได้มีกำหนดไว้ในอนุสัญญาฉบับที่ 105 ว่าด้วยการยกเลิกแรงงานบังคับ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการใช้แรงงานอันจะนำไปสู่ที่จะคล้ายคลึงกับแรงงานทาส จึงมีการเพิ่มเติมว่าด้วยการเลิกทาส การค้าทาส และสถาบันและการปฏิบัติคล้ายทาส ค.ศ. 1956 ซึ่งกำหนดให้เลิกวิธีการทาสในเรือนเบี้ยฯลฯ ซึ่งประเทศไทยได้มีการให้สัตยาบันรับอนุสัญญาฉบับที่ 29 ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2512 และฉบับที่ 105 วันที่ 2 ธันวาคม 2510
สำหรับประเทศไทยในปัจจุบันยังมีแรงงานอยู่อีกประเภท คือแรงงานต่างด้าว และส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่มาจากประเทศพม่า ซึ่งอาจเพราะการที่ประเทศพม่ายังไม่มีการให้สัตยาบันรับอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ อาจยังคงมีการการบังคับ หรือการเกณฑ์แรงงาน โดยไม่ถูกต้องและชอบธรรม จึงน่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แรงงานพม่ามีการอพยพหลั่งไหลมาขายแรงงานยังประเทศไทย แม้ว่าจะได้รับค่าจ้างที่ต่ำกว่ากฎหมายแรงงานไทยกำหนดก็ตาม
กลไกลการคุ้มครองในรัฐธรรมนูญไทย
รศ.แล ดิลกวิทยรัตน์ คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้แสดงความคิดเห็นต่อมาตรา 51 ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญไทยว่า การที่จะเกณฑ์แรงงานได้นั้นมีเพียง 2 กรณีเท่านั้นคือ 1.เกิดเหตุการณฯภัยพิบัติ เช่นกรณีการที่ต้องช่วยกันกั้นเขื่อน 2. กรณีการเกิดศึกสงคราม คือสามารถเกณฑ์คนไปรบได้ นอกจากสองกรณีนี้ก็จะไม่สามารถที่จะเกณฑ์แรงงานได้ ซึ่งในสมัยหนึ่งที่ได้มีการพูดถึงลูกเสือชาวบ้านที่ทำการเกณฑ์ผู้คน และหากผู้ที่ถูกเกณฑ์ไม่เข้ามาร่วมหรือขัดขวางก็จะถูกกล่าวหาว่าไม่รักชาติแต่ในปัจจุบันจะกระทำไม่ได้ ซึ่งถือว่ามีความใกล้เคียงกับการที่มีการห้ามใช้แรงงานนักโทษ ในกรณีนี้มีเงื่อนไขทางการค้าระหว่างประเทศ ( ILO.) หากมีการกระทำการฝ่าฝืน ประเทศคู่ค้าก็จะไม่ซื้อสินค้าที่ทำการผลิตนั้นๆ เหตุเพราะเป็นการใช้แรงงานนักโทษ ซึ่งอาจตีความได้ว่าเพราะกำลังใช้แรงงานที่อยู่ในระหว่างที่เขาไม่มีอำนาจต่อรองได้หรือไม่สามารถต่อรองกับนายจ้างได้ว่าราคาของชิ้นงานที่พวกเขาผลิตนั้นควรต้องมีราคาเท่าไรต่อชิ้น เพราะเขาจะถูกกำหนดให้มีหน้าที่ผลิตอย่างเดียวคือรับคำสั่งให้ทำงานจากผู้คุมเท่านั้น
การใช้แรงงานนักโทษจึงเป็นสิ่งที่ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ และได้มีกำหนดไว้ในกฎหมายคุ้มครองแรงงานว่าด้วยค่าจ้างหรือค่าตอบแทนการทำงาน หมายความว่าหากใครทำงานให้เราก็ต้องมีค่าตอบแทนให้โดยต้องไม่ต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำและต้องจ่ายในที่ที่ทำงานจะให้ไปรับที่สำนักงานใหญ่หรือที่อื่นๆกระทำไม่ได้ และต้องจ่ายเป็นเงินตราของประเทศนั้นจะจ่ายเป็นสกุลเงินในประเทศนายจ้าง เช่นนายจ้างสหรัฐอเมริกา หรือไต้หวันนั้นไม่ได้ ความหมายของมาตรา 51 ก็คือหากมีการใช้วิธีเกณฑ์แรงงานที่ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ก็จะต้องจ่ายเงินค่าจ้างไม่ต่ำกว่ากฎหมายแรงงานกำหนด และในกรณีการเกณฑ์ทหารนั้นถือว่า เป็นการเกณฑ์เพื่อการศึกสงครามเป็นการป้องกันประเทศ และช่วยบรรเทาสาธารณภัยจึงสามารถกระทำได้
จึงสรุปว่าการที่ได้มีการนำนักโทษมาทำงาน หรือการที่การมีนำทหารเกณฑ์ ไปทำงานเป็นทหารรับใช้ในบ้าน หรือแรงงานด้านอื่นๆ ถือว่าเป็นการกระทำผิดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 อนุสัญญาระหว่างประเทศ ( ILO.) และปฏิญญาสากล เพราะการเกณฑ์ทหาร ถือว่าเป็นแรงงานบังคับ และรัฐควรคุ้มครองแรงงานทหารเกณฑ์ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้มีการกำหนดบทบาท หน้าที่ทหารเกณฑ์ และการใช้แรงานเกณฑ์ไว้ ในมาตรา 51
วาสนา ลำดี
โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปฏิรูป
สนับสนุนโดยศูนย์อเมริกันเพื่อแรงงานนานาชาติ (ACILS)
แหล่งข้อมูล : https://www.thailabour.org