วิธีลดภาษีเงินได้ บ.จดทะเบียน
สภาพเศรษฐกิจยังไม่ปกติที่ภาคธุรกิจจะต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับผลกระทบต่อการดำเนินงานที่ต้องมีการวางแผนในการหารายได้ให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ตลาดหลักทรัพย์จึงเป็นตลาดของการลงทุนที่จะทำให้ธุรกิจขยายตัวได้รวดเร็วขึ้น ระดมเงินได้เป็นจำนวนมาก
กิจการที่เข้าตลาดหลักทรัพย์จึงจำเป็นต้องได้รับสิทธิประโยชน์ที่จะกระตุ้นให้ผู้ประกอบการนำกิจการเข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งโดยปกติแล้วบริษัทจำกัดทั่วไปในแต่ละปีเมื่อกิจการมีกำไรสุทธิจะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 30 หากขาดทุนสุทธิไม่ต้องเสียภาษี
การจูงใจให้บริษัทนำกิจการเข้าตลาดหลักทรัพย์จึงได้กำหนดให้ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทที่นำหลักทรัพย์มาจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อจูงใจให้บริษัทนำหลักทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
อันเป็นการเพิ่มทางเลือกในการระดมทุนเพื่อขยายกิจการ และส่งเสริมธรรมาภิบาลของบริษัท รวมทั้งเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในตลาดทุนซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งที่จะทำให้ระบบเศรษฐกิจขยายตัว รัฐบาลจึงได้ออกพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 467 พ.ศ. 2550 กำหนดหลักเกณฑ์การลดอัตราภาษีไว้ดังนี้
1. ให้ลดอัตราภาษีเงินได้ตาม (ก) ของ (2) สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแห่งบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้ายหมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่บริษัทที่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ตามข้อ 2. และคงจัดเก็บในอัตราดังต่อไปนี้เป็นเวลา 3 รอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกันนับแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรกที่เริ่มในหรือหลังวันที่บริษัทที่นั้นมีหลักทรัพย์มาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(1) ร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิ สำหรับบริษัทที่นำหลักทรัพย์มาจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าด้วยการรับหลักทรัพย์จดทะเบียนใน "ตลาดหลักทรัพย์ MAI"
(2) ร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิ สำหรับบริษัทที่นำหลักทรัพย์มาจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ นอกเหนือจากกรณีตาม (1)
2. บริษัทที่จะได้รับสิทธิในการลดอัตราภาษีเงินได้ จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
(1) ยื่นคำขอจดทะเบียนหลักทรัพย์กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2550 และได้รับการจดทะเบียนหลักทรัพย์ภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551
(2) ไม่เคยมีหลักทรัพย์จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในระหว่างระยะเวลา 3 ปีก่อนการจดทะเบียนหลักทรัพย์กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(3) ไม่เป็นบริษัทที่ควบเข้ากันกับบริษัทที่เคยมีหลักทรัพย์จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือรับโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนจากบริษัทดังกล่าว ทั้งนี้ ก่อนการจดทะเบียนหลักทรัพย์กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(4) ไม่รับโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนจากบริษัทที่เคยมีหลักทรัพย์จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตลอดระยะเวลาที่บริษัทได้รับสิทธิลดอัตราภาษีเงินได้ หากมีการรับโอนกิจการดังกล่าว ให้ถือว่าบริษัทนั้นหมดสิทธิที่จะได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่มีการรับโอนกิจการ
(5) ไม่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 3 (1) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 460) พ.ศ. 2549 ตลอดระยะเวลาที่บริษัทได้รับสิทธิลดอัตราภาษีเงินได้
(6) ไม่เคยได้รับสิทธิลดอัตราภาษีเงินได้ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ 387) พ.ศ. 2544 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ 421) พ.ศ. 2547
หากบริษัทใดก็ตามที่ต้องการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 30 ก็คงต้องพิจารณานำกิจการเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อเป็นการระดมเงินทุนและลดภาษีเงินได้เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรเพิ่มขึ้นและประหยัดภาษีของกิจการปีละหลายล้านบาท
แหล่งที่มา : โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์