สิทธิประโยชน์ด้านแรงงานสัมพันธ์


828 ผู้ชม


สิทธิประโยชน์ด้านแรงงานสัมพันธ์




   1. การรวมตัวเป็นองค์การ พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 กำหนดให้สิทธินายจ้างและ ลูกจ้างรวมตัวกันได้ในหลายรูปแบบ
   1.1 ในสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ลูกจ้างอาจจัดตั้งคณะกรรมการลูกจ้างในสถานประกอบกิจการนั้นได้ และนายจ้างต้องจัดให้มีการประชุมหารือกับคณะกรรมการลูกจ้างอย่างน้อย 3 เดือน / ครั้ง
   1.2 ลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป สามารถยื่นคำขอจัดตั้งสหภาพ แรงงานได้
   1.3 นายจ้างตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป สามารถยื่นคำขอจัดตั้งสมาคม นายจ้างได้
   1.4 การจัดตั้งสหพันธ์นายจ้าง และสหพันธ์แรงงาน
     (1)  สหพันธ์นายจ้าง เกิดจากสมาคมนายจ้างตั้งแต่สองสมาคม ขึ้นไป ที่มีสมาชิกประกอบกิจการประเภทเดียวกันรวมกันจดทะเบียนจัดตั้งเป็นสหพันธ์นายจ้างได้ มีสภาพเป็นนิติบุคคล
     (2) สหพันธ์แรงงาน เกิดจากสหภาพแรงงานตั้งแต่สองสหภาพขึ้นไปที่มีสมาชิกเป็นลูกจ้างของนายจ้างคนเดียวกันหรือมีสมาชิกทำงานในกิจการประเภทเดียวกัน รวมกันจดทะเบียนจัดตั้งเป็นสหพันธ์แรงงาน มีสภาพเป็นนิติบุคคล
   1.5 การจัดตั้งสภาองค์การนายจ้างและสภาองค์การลูกจ้าง
     (1) สภาองค์การนายจ้าง เกิดจากสมาคมนายจ้างหรือสหพันธ์นายจ้างไม่น้อยกว่า 5 แห่ง รวมกันจดทะเบียนจัดตั้ง สภาองค์การนายจ้าง มีสภาพเป็นนิติบุคคล
     (2) สภาองค์การลูกจ้าง เกิดจากสหภาพแรงงานหรือสหพันธ์แรงงานไม่น้อยกว่า 15 แห่ง รวมกันจดทะเบียนจัดตั้ง สภาองค์การลูกจ้าง และ มีสภาพเป็นนิติบุคคล
   2. การเจรจาต่อรอง
   พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ให้สิทธิแก่ลูกจ้าง นายจ้าง และองค์การตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ กำหนดหรือเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างดังนี้
   2.1 ให้สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 20 คนขึ้นไป จัดให้มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างไว้เป็นหนังสือ หากไม่มี ให้ถือว่าข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
   2.2 การยื่นข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสภาพการจ้างให้ยื่นเป็นหนังสือแจ้งอีกฝ่ายหนึ่งทราบ โดย
     (1)  ลูกจ้าง 15 % สามารถเข้าชื่อกัน ยื่นข้อเรียกร้องต่อนายจ้างหรือสหภาพแรงงานที่มีสมาชิก 20 % ของลูกจ้างทั้งหมด สามารถยื่นข้อเรียกร้องแทนลูกจ้างที่เป็นสมาชิกได้
     (2) ทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างต้องเริ่มเจรจากันภายใน 3 วัน นับแต่วันรับข้อเรียกร้อง
   2.3 หลังจากยื่นข้อเรียกร้องแล้ว
     (1) กรณีนายจ้างและลูกจ้างเจรจาตกลงกันได้ ให้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเป็นหนังสือ และติดประกาศโดยเปิดเผย และนายจ้างต้องนำข้อตกลงไปจดทะเบียนภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ตกลงกันได้
     (2) กรณีนายจ้างและลูกจ้างเจรจาตกลงกันไม่ได้ ไม่ว่าจะเจรจากันแล้วภายใน 3 วัน หรือไม่มีการเจรจากันให้ถือว่ามีข้อพิพาทแรงงานเกิดขึ้น ให้ฝ่ายแจ้งข้อเรียกร้องแจ้งเป็นหนังสือต่อพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน ภายใน 24 ชม.
   2.4  พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน จะดำเนินการไกล่เกลี่ยให้ตกลงกันภายใน 5 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ถ้าตกลงกันได้ ให้ทำข้อตกลง เกี่ยวกับสภาพการจ้างเป็นหนังสือและนำไปจดทะเบียน หากตกลงกันไม่ได้ ถือว่าเป็นข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้
   2.5  กรณีเป็นข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ ทั้ง 2 ฝ่าย อาจดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
     (1)  นายจ้าง ลูกจ้าง ให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานไกล่เกลี่ยต่อไปจนยุติ
     (2) ตกลงกันตั้งผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานโดยสมัครใจ
     (3) นายจ้างจะปิดงาน หรือลูกจ้างจะนัดหยุดงานได้ แต่ต้องแจ้งให้อีกฝ่ายหนึ่งและแจ้งพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือก่อน 24 ชั่วโมง
   2.6 ในขณะที่ลูกจ้างนัดหยุดงาน หรือนายจ้างปิดงาน ทั้งสองฝ่ายจะให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานไกล่เกลี่ยหรือ เจรจากันเองจนยุติได้ หรือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เห็นว่าการใช้สิทธิดังกล่าวอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่เศรษฐกิจของประเทศหรืออาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชน หรืออาจเป็น ภัยต่อความมั่นคงของประเทศ มีอำนาจสั่งให้ลูกจ้างเลิกนัดหยุดงานและนายจ้างเลิกปิดงานและสั่งให้บุคคลอื่นเข้าทำงานแทน และสั่งให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานโดยทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติตามคำชี้ขาด
   2.7 ระหว่างการเจรจาไกล่เกลี่ยหรือการชี้ขาด ห้ามมิให้เลิกจ้างหรือโยกย้ายหน้าที่การงานของลูกจ้าง ผู้แทนลูกจ้าง หรือสมาชิกสหภาพแรงงานที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง เว้นแต่ทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดโดยเจตนา แก่นายจ้าง หรือจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ฯลฯ

แหล่งข้อมูล : กระทรวงแรงงาน


อัพเดทล่าสุด