ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย (ฏีกายาว : กิจการโรงเรียนเอกชน กับ สิทธิตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ )
ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย
ร.ย. 505/43 ++ เรื่อง คดีแรงงาน ++ คดีแดงที่ 5364-5368/2543 ++ โจทก์ทั้งห้าและจำเลยต่างเป็นเอกชน ได้ตกลงกันโดยจำเลยตกลงรับโจทก์ทั้งห้าเข้าทำงานตำแหน่งครูผู้สอน และจ่ายค่าจ้างเป็นเงินเดือนให้โจทก์ทั้งห้าตลอดเวลาที่ทำงานให้จำเลย มีลักษณะเป็นสัญญาจ้างแรงงานตาม ป.พ.พ.มาตรา575 มิใช่สัญญาทางปกครองตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ.2542 มาตรา 3 โจทก์ทั้งห้าจึงมีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลแรงงาน โจทก์ทั้งห้าเป็นครูตาม พ.ร.บ.โรงเรือนเอกชนไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยซึ่งประกอบกิจการโรงเรียนเอกชนเพื่อเรียกร้องสิทธิตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ แต่ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งห้าที่ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพอถือได้ว่าเป็นการฟ้องเรียกค่าชดเชยตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชนฯ ข้อ 32 และข้อ 33ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 6 มาตรา 17 มาตรา 44 และมาตรา 66แห่ง พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2525 และฟ้องเรียกสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตาม ป.พ.พ.มาตรา 582 ซึ่งมิใช่ฟ้องเรียกร้องสิทธิหรือประโยชน์ตามพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ ส่วนที่ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา49 ก็มิใช่ฟ้องที่อ้างสิทธิตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ โจทก์ทั้งห้าจึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจากจำเลยได้ พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2525 มีวัตถุประสงค์ที่จะควบคุมการดำเนินงานของโรงเรียนเอกชนให้เป็นระเบียบได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพ มิใช่กฎหมายซึ่งให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน แม้จะมีการกำหนดให้การคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโดยมีการออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2542 และมีคณะกรรมการประนีประนอม หรือคณะกรรมการคุ้มครองเพื่อพิจารณาหรือพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดแล้วแต่กรณี เป็นผู้ควบคุมดูแลให้เป็นไปตามระเบียบดังกล่าวก็ตาม ก็มิใช่ขั้นตอนการระงับข้อพิพาทตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 วรรคสองดังนั้น เมื่อโจทก์ทั้งห้าถูกจำเลยเลิกจ้าง โจทก์ทั้งห้าย่อมมีสิทธินำคดีมาสู่ศาลแรงงานได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนใน พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชนพ.ศ.2525 ก่อน ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า การออกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดย พ.เป็นผู้ลงนาม เป็นการทำการแทน อ.ผู้รับใบอนุยาตและจำเลยตาม ป.พ.พ.มาตรา 797 จำเลยในฐานะตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายที่ตัวแทนได้ทำไปในขอบอำนาจตามมาตรา 820 ดังนั้น ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ผู้มีอำนาจสั่งลงโทษครูได้ตาม พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชนคือผู้รับใบอนุญาตหรือผู้จัดการซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้รับใบอนุญาต การที่ พ.เป็นผู้ลงนามในคำสั่งเลิกจ้างไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย ถือเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยมิได้อ้างข้อเท็จจริงมาในอุทธรณ์ว่าจำเลยบรรจุโจทก์ทั้งห้าเข้าทำงานวันใด ห่างจากวันที่โจทก์ทั้งห้าเข้าทำงานกี่วัน และศาลแรงงานกลางคิดคำนวณค่าชดเชยผิดพลาดเท่าใด ถือได้ว่าจำเลยไม่ได้กล่าวข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายไว้โดยชัดแจ้งในอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา225 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31
…………………..……………………………………………………………..
คดีทั้งห้าสำนวนศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน โดยเรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ ๑ ถึงโจทก์ที่ ๕ โจทก์ทั้งห้าสำนวนฟ้องว่า โจทก์ทั้งห้าเป็นลูกจ้างของจำเลยตำแหน่งครูผู้สอนในโรงเรียนบริหารธุรกิจภาคใต้ โจทก์ที่ ๑ เข้าทำงานเมื่อวันที่ ๑๕พฤศจิกายน ๒๕๓๙ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๕,๗๐๐ บาท โจทก์ที่ ๒ เข้าทำงานเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๔๐ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๖,๓๖๐ บาทโจทก์ที่ ๓ เข้าทำงานเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๐ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ๖,๓๖๐ บาท โจทก์ที่ ๔ เข้าทำงานเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๓๙ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๖,๓๖๐ บาท โจทก์ที่ ๕ เข้าทำงานเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๖,๕๖๐ บาท จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ ๑ เมื่อวันที่๑ พฤษภาคม ๒๕๔๒ เลิกจ้างโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๕ เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๒ โดยโจทก์ทั้งห้าไม่ได้กระทำความผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้าอันเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ทั้งห้าได้รับความเสียหาย นอกจากนี้จำเลยยังค้างค่าจ้างด้วยขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย ๑๗,๑๐๐ บาท ๑๙,๐๘๐ บาท ๑๙,๐๘๐ บาท๓๘,๑๘๐ บาท ๓๙,๓๖๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๕,๗๐๐ บาท๑๒,๗๒๐ บาท ๑๒,๗๒๐ บาท ๑๒,๗๒๐ บาท ๑๓,๑๒๐ บาท ค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๓๐,๐๐๐ บาท ๓๐,๐๐๐ บาท ๓๐,๐๐๐ บาท ๕๐,๐๐๐บาท ๕๐,๐๐๐ บาท และค่าจ้าง ๕,๗๐๐ บาท ๘,๕๒๐ บาท ๙,๘๘๐ บาท ๘,๐๘๐บาท ๑๐,๓๔๘ บาท แก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๕ ตามลำดับ จำเลยทั้งห้าสำนวนให้การว่า โจทก์ทั้งห้าเป็นลูกจ้างของจำเลยจำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน อยู่ภายใต้ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยไม่ได้อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ โจทก์ทั้งห้าจึงไม่มีอำนาจฟ้องหนังสือบอกเลิกจ้างที่โจทก์ทั้งห้าได้รับเกิดจากความผิดพลาดของนางสาวพรพิศณี เกิดควนเจ้าหน้าที่งานบุคลากรของจำเลยซึ่งไม่มีอำนาจทำหนังสือดังกล่าว จำเลยได้ยกเลิกหนังสือเลิกจ้างแล้ว และโจทก์ทั้งห้าเป็นครูอยู่ภายใต้ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๔๒การจะเลิกสัญญาว่าจ้างครูได้ต้องผ่านคณะกรรมการประนีประนอม คณะกรรมการคุ้มครอง และได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดก่อน จึงถือว่าจำเลยยังมิได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งห้า สำหรับค่าจ้างจำเลยจ่ายให้โจทก์ทั้งห้าครบถ้วนแล้ว ขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้งห้าเป็นลูกจ้างของจำเลย ตำแหน่งครูผู้สอนในโรงเรียนบริหารธุรกิจภาคใต้ โจทก์ที่ ๑ เข้าทำงานเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๕,๗๐๐ บาทโจทก์ที่ ๒ เข้าทำงานเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๔๐ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๖,๓๖๐ บาท โจทก์ที่ ๓ เข้าทำงานเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๐ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๖,๓๖๐ บาท โจทก์ที่ ๔ เข้าทำงานเมื่อวันที่ ๒๘มีนาคม ๒๕๓๙ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๖,๓๖๐ บาท และโจทก์ที่ ๕เข้าทำงานเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ๖,๕๖๐ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๔๒นางสาวพรพิศณี เกิดควน หัวหน้างานบุคคลของจำเลยได้ลงนามในคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ที่ ๑ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๔๒ และมีคำสั่งพักงานโจทก์ที่ ๒ถึงที่ ๕ แล้วมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๕ ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๒โจทก์ทั้งห้าไปร้องขอความเป็นธรรมต่อผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตได้มอบหมายให้ศึกษาธิการจังหวัดภูเก็ตเรียกคู่กรณีมาไกล่เกลี่ย วันที่๑๓ พฤษภาคม ๒๕๔๒ นายอิศนุวัฒน์ จารุทัศน์ ซึ่งเป็นผู้จัดการโรงเรียนบริหารธุรกิจภาคใต้ได้ชี้แจงต่อศึกษาธิการจังหวัดภูเก็ตและคณะว่า คำสั่งที่เลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากออกโดยนางสาวพรพิศณีหัวหน้างานบุคคลของจำเลยซึ่งไม่มีอำนาจเลิกจ้างลูกจ้างของจำเลย และได้ยกเลิกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าให้โจทก์ทั้งห้ากลับไปปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม แต่โจทก์ทั้งห้าไม่กลับไปทำงานให้จำเลยอีกต่อมาจำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ทั้งห้าถึงวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๔๒ แล้วศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การที่นางสาวพรพิศณีลงนามในคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าเป็นการทำการแทนนายอิศนุวัฒน์และจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๗๙๗ จำเลยในฐานะตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายที่ตัวแทนได้ทำไปในขอบอำนาจตามมาตรา ๘๒๐ ส่วนที่จำเลยต่อสู้ว่าตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษครูกำหนดขั้นตอนไว้ว่า ผู้มีอำนาจลงโทษครูให้พ้นจากหน้าที่ได้ต้องเป็นผู้จัดการหรือผู้รับใบอนุญาต หรือผู้ได้รับมอบหมายเท่านั้น เห็นว่า การเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้านางสาวพรพิศณีเป็นผู้ได้รับมอบหมายจากผู้จัดการและผู้รับใบอนุญาตแล้ว ส่วนขั้นตอนการลงโทษครูที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ เป็นเรื่องที่กฎหมายบัญญัติขึ้นเพื่อให้รัฐจัดการและควบคุมการบริหารงานของโรงเรียนเอกชนให้ได้มาตรฐาน มีคุณภาพและคุ้มครองดูแลการทำงานของครู แต่มิใช่บทบัญญัติยกเว้นการบังคับใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในเรื่องนิติกรรมสัญญา ดังนั้นความผูกพันและความรับผิดตามสัญญาตัวแทนจึงเป็นไปตามหลักทั่วไป แม้นายอิศนุวัฒน์จะได้ทำบันทึกชี้แจงต่อศึกษาธิการจังหวัดภูเก็ตเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๔๒ ตามเอกสารหมาย ล.๖ว่า ได้แจ้งยกเลิกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าแล้วก็ไม่มีผล แต่เป็นเพียงการแสดงเจตนาเสนอขอจ้างโจทก์ทั้งห้าใหม่ ย่อมขึ้นอยู่กับโจทก์ทั้งห้าว่าจะสนองรับหรือไม่เมื่อโจทก์ทั้งห้าไม่สมัครใจทำงานกับจำเลยใหม่ ย่อมไม่เกิดสัญญาจ้างขึ้นใหม่การบอกยกเลิกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าของนายอิศนุวัฒน์ไม่มีผล เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งห้ากระทำผิดใด ๆ อันจะเข้าข้อยกเว้นที่นายจ้างหรือผู้รับใบอนุญาตไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.๒๕๔๒ ข้อ ๓๒และข้อ ๓๓ ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๖ มาตรา ๑๗ มาตรา ๔๔ และมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ แล้ว จำเลยย่อมต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ทั้งห้าตามอายุงาน และจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยมิได้บอกกล่าวล่างหน้าจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ทั้งห้าโดยหักค่าจ้างที่จำเลยจ่ายถึงวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๔๒ ออกก่อน การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าเนื่องจากผู้บริหารโรงเรียนต้องการพัฒนาโรงเรียนและบุคลากรครูผู้สอนให้มีคุณภาพและถอดถอนครูที่ไม่มีคุณภาพออกจากระบบ แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งห้ากระทำความผิดหรือถูกประเมินว่าไม่มีคุณภาพ อีกทั้งวิธีการแก้ปัญหาของจำเลยยังมีข้อเคลือบแคลงสงสัยในความสุจริต ถือว่าเป็นการเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าที่ไม่เป็นธรรม เห็นควรกำหนดค่าเสียหายให้ตามสัดส่วนของอายุงานโดยกำหนดให้เท่ากับค่าจ้างปีละ ๑๕ วัน พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน ๑๗,๑๐๐บาท ๑๙,๐๘๐ บาท ๑๙,๐๘๐ บาท ๓๘,๑๘๐ บาท และ ๓๙,๓๖๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าจ้างเป็นเงิน ๓,๒๓๐ บาท ๓,๖๐๔ บาท ๓,๖๐๔บาท ๓,๖๐๔ บาท และ ๓,๗๑๗ บาท ค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นเงิน ๕,๗๐๐ บาท ๖,๓๖๐ บาท ๖,๓๖๐ บาท ๙,๕๔๐ บาท และ๙,๕๔๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๕ ตามลำดับ จำเลยทั้งห้าสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า โจทก์ทั้งห้ามีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ในข้อ ก) ว่าสัญญาการเป็นครูเป็นสัญญาทางปกครอง ต้องบังคับตามกฎหมายปกครองและพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน ไม่ใช่สัญญาจ้างแรงงานอันเป็นสัญญาเอกชนที่จะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์ทั้งห้าจึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้อันเป็นการเรียกร้องสิทธิตามสัญญาจ้างแรงงาน เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ ได้กำหนดคำนิยามคำว่า สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ แต่สัญญาการเป็นครูคดีนี้โจทก์ทั้งห้าและจำเลยต่างเป็นเอกชน ได้ตกลงกันโดยจำเลยตกลงรับโจทก์ทั้งห้าเข้าทำงานให้จำเลยตำแหน่งครูผู้สอนในโรงเรียนบริหารธุรกิจภาคใต้ และจ่ายค่าจ้างเป็นเงินเดือนให้โจทก์ทั้งห้าตลอดเวลาที่ทำงานให้จำเลย จึงมีลักษณะเป็นสัญญาจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๕ มิใช่สัญญาทางปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๓ โจทก์ทั้งห้าจึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ จำเลยอุทธรณ์ในข้อ ๓.๑ ข) และ ค) ว่า จำเลยเป็นนายจ้างซึ่งประกอบกิจการโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน ไม่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ เฉพาะที่เกี่ยวกับครูใหญ่และครู ตามกฎกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ฉบับที่ ๑ โจทก์ทั้งห้าเป็นครูตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจากจำเลย เห็นว่ากฎกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ฉบับที่ ๑ ลงวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๑ ซึ่งออกตามความในมาตรา ๔ วรรคสอง และมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ บัญญัติไว้ใน (๑) ว่า มิให้ใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ.๒๕๔๑ บังคับแก่นายจ้างซึ่งประกอบกิจการโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน ทั้งนี้เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับครูใหญ่และครู เมื่อปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการโรงเรียนบริหารธุรกิจภาคใต้ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนได้ว่าจ้างโจทก์ทั้งห้าเป็นลูกจ้างตำแหน่งครูผู้สอน โจทก์ทั้งห้าจึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกร้องสิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ แต่อย่างไรก็ดี คำฟ้องของโจทก์ทั้งห้าคดีนี้พอถือได้อยู่ในตัวว่าเป็นการฟ้องเรียกค่าชดเชยจากจำเลยตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.๒๕๔๒ ข้อ ๓๒และข้อ ๓๓ ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๖ มาตรา ๑๗ มาตรา ๔๔ และมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ ฟ้องเรียกสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา๕๘๒ มิใช่ฟ้องเรียกร้องสิทธิหรือประโยชน์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ.๒๕๔๑ และฟ้องจำเลยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าวให้อำนาจศาลแรงงานในการใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าการที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเป็นธรรมต่อลูกจ้างหรือไม่ หากเห็นว่าการเลิกจ้างนั้นไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง ศาลแรงงานมีอำนาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างผู้นั้นเข้าทำงานต่อไปในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะเลิกจ้าง ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าลูกจ้างกับนายจ้างไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปได้ ให้ศาลแรงงานกำหนดจำนวนค่าเสียหายให้นายจ้างชดใช้ให้แทน ซึ่งมิใช่ฟ้องที่อ้างสิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑โจทก์ทั้งห้าจึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจากจำเลย จำเลยอุทธรณ์ในข้อ ๓.๑ ง) และ จ) ว่า โจทก์ทั้งห้าฟ้องคดีนี้ โดยมิได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชนพ.ศ.๒๕๒๕ จึงยังไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลแรงงานได้ เห็นว่า พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.๒๕๒๕ มีวัตถุประสงค์ที่จะควบคุมการดำเนินงานของโรงเรียนเอกชนให้เป็นระเบียบได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพ มิใช่กฎหมายซึ่งให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน แม้จะมีการกำหนดให้การคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโดยมีการออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.๒๕๔๒ และมีคณะกรรมการประนีประนอม หรือคณะกรรมการคุ้มครองเพื่อพิจารณาหรือพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด แล้วแต่กรณี เป็นผู้ควบคุมดูแลให้เป็นไปตามระเบียบดังกล่าวก็ตามก็มิใช่ขั้นตอนการระงับข้อพิพาทตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา๘ วรรคสอง ดังนั้น เมื่อโจทก์ทั้งห้าถูกจำเลยเลิกจ้าง โจทก์ทั้งห้าย่อมมีสิทธินำคดีมาสู่ศาลแรงงานได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนในพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.๒๕๒๕ ก่อน โจทก์ทั้งห้าจึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการที่สองว่า คำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าตกเป็นโมฆะหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ข้อ ๓.๒ ก) ข) และค) ได้ว่า ผู้มีอำนาจสั่งลงโทษครูได้ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชนคือ ผู้รับใบอนุญาต หรือผู้จัดการซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้รับใบอนุญาต นางสาวพรพิศณี เกิดควนได้รับคำสั่งจากผู้จัดการโรงเรียนซึ่งไม่ใช่ผู้รับใบอนุญาต การที่นางสาวพรพิศณีออกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้า จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือเป็นโมฆะไม่ผูกพันผู้รับใบอนุญาตนั้น เห็นว่า เรื่องนี้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยพยานหลักฐานต่าง ๆ ในสำนวนแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า ก่อนที่นางสาวพรพิศณีและนายทวีศักดิ์ซ่อนทรัพย์ จะร่วมกันออกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้า ได้มีการปรึกษาหารือและได้รับอนุมัติจากนายอิศนุวัฒน์ผู้รับใบอนุญาตและผู้จัดการโรงเรียนแล้ว การออกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยนางสาวพรพิศณีเป็นผู้ลงนามเป็นการทำการแทนนายอิศนุวัฒน์และจำเลยตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๙๗จำเลยในฐานะตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายที่ตัวแทนได้ทำไปในขอบอำนาจตามมาตรา ๘๒๐ อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยจึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย ถือเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการที่สามว่าการที่จำเลยมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้ามีผลหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ในข้อ ๓.๓ ก) ข) และ ค) ได้ว่า คำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าเป็นคำสั่งทางปกครองซึ่งผู้รับใบอนุญาตหรือผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวได้ เมื่อจำเลยออกคำสั่งยกเลิกคำสั่งเลิกจ้างจึงเป็นการแสดงออกโดยคำสั่งทางปกครองของผู้ว่าราชการจังหวัดต่อโจทก์ทั้งห้าผู้รับคำสั่งทางปกครอง ถือว่ามีผลเป็นการยกเลิกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยโจทก์ทั้งห้าไม่จำต้องสนองรับดังเช่นการเลิกนิติกรรมสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และถือว่าคำสั่งเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๙๖ วรรคสอง เห็นว่าศาลฎีกาได้วินิจฉัยในอุทธรณ์ข้อ ๓.๑ ก) แล้วว่า สัญญาการเป็นครูระหว่างโจทก์ทั้งห้ากับจำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๕มิใช่สัญญาทางปกครอง จึงนำหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ตามกฎหมายปกครองมาใช้บังคับไม่ได้คำสั่งของจำเลยให้ยกเลิกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าไม่มีผล ถือได้ว่าโจทก์ทั้งห้าถูกจำเลยเลิกจ้างตามคำสั่งเลิกจ้างดังกล่าวแล้ว ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการที่สี่ว่า โจทก์ทั้งห้ามีสิทธิฟ้องเรียกค่าชดเชยจากจำเลยหรือไม่ เพียงใด โดยจำเลยอุทธรณ์ในข้อ ๓.๔ ก)และ ข) สรุปได้ว่า โจทก์ทั้งห้าไม่ได้ฟ้องว่าจำเลยฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชนพ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.๒๕๒๕จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ทั้งห้าได้บรรยายไว้ทำนองเดียวกันว่า จำเลยรับโจทก์ทั้งห้าเป็นลูกจ้างของจำเลยตำแหน่งครูผู้สอนในโรงเรียนบริหารธุรกิจภาคใต้และถูกจำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์ทั้งห้ามิได้กระทำความผิด ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งห้า ซึ่งเป็นการบรรยายถึงความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์ทั้งห้ากับจำเลย แล้วถูกจำเลยโต้แย้งสิทธิด้วยการเลิกจ้าง ทำให้โจทก์ทั้งห้าเสียสิทธิต่าง ๆ จึงขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินต่าง ๆ ให้แก่โจทก์ทั้งห้า เป็นการบรรยายพอทำให้เข้าใจข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอยู่ในตัวแล้วว่าโจทก์ทั้งห้าได้ฟ้องกล่าวหาจำเลยว่ากระทำการฝ่าฝืนระเบียบกระทรวงศึกษาธิการดังกล่าวด้วยโดยคำฟ้องของโจทก์ทั้งห้าไม่จำต้องอ้างระเบียบ หรือกฎหมายนี้มาด้วยศาลแรงงานกลางย่อมมีอำนาจยกบทกฎหมายที่ถูกต้องตรงกับเรื่องขึ้นมาปรับแก่คดีได้ ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางนับระยะเวลาเพื่อคำนวณจ่ายค่าชดเชยคลาดเคลื่อน เนื่องจากเริ่มนับตั้งแต่โจทก์ทั้งห้าเข้าทำงานกับจำเลย ซึ่งเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะระเบียบดังกล่าวได้กำหนดให้นับระยะเวลาตั้งแต่วันที่โจทก์ทั้งห้าได้รับอนุญาตให้บรรจุเป็นครูจนถึงวันเลิกสัญญาการเป็นครูนั้น จำเลยมิได้อ้างข้อเท็จจริงมาในอุทธรณ์ว่าจำเลยบรรจุโจทก์ทั้งห้าเข้าทำงานวันใด ห่างจากวันที่โจทก์ทั้งห้าเข้าทำงานกี่วัน และศาลแรงงานกลางคิดคำนวณค่าชดเชยผิดพลาดเท่าใด ถือได้ว่าจำเลยไม่ได้กล่าวข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายไว้โดยชัดแจ้งในอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย พิพากษายืน.
(รุ่งโรจน์ รื่นเริงวงศ์ - สละ เทศรำพรรณ - จรัส พวงมณี )
ศาลแรงงานกลาง - นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ศาลอุทธรณ์ - |