คำพิพากษาศาลฎีกาคดีแรงงาน : พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑


1,197 ผู้ชม


คำพิพากษาศาลฎีกาคดีแรงงาน : พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑




 

มาตรา ๕

               คำพิพากษาฎีกาที่  ๕๖๑๐/๒๕๔๒  เมื่อโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยตามสัญญาจ้างแรงงาน  แม้จำเลยจ่ายเงินค่าจ้างบางส่วนและออกใบรับเงินในนามจำเลยให้แก่โจทก์ตามคำขอของบริษัทซึ่งเป็นนายจ้างของโจทก์  ก็ไม่ทำให้จำเลยกลายเป็นนายจ้างของโจทก์ไปด้วยได้

มาตรา ๑๗

                คำพิพากษาฎีกาที่  ๔๖๒๕–๔๗๐๑/๒๕๔๒  เมื่อวันที่  ๒๙ มิถุนายน  ๒๕๔๑  ซึ่งเป็นวันถึงกำหนดจ่ายสินจ้าง  นายจ้างมีหนังสือบอกกล่าวเลิกจ้างลูกจ้าง  แต่ลูกจ้างทราบการบอกกล่าวในวันที่  ๑  กรกฎาคม  ๒๕๔๑  ดังนี้ต้องถือว่านายจ้างบอกกล่าวเลิกจ้างลูกจ้างในวันที่ลูกจ้างได้ทราบการบอกกล่าวเลิกจ้างคือวันที่  ๑  กรกฎาคม  ๒๕๔๑  และเป็นผลให้เลิกสัญญาจ้างกันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าในวันที่  ๓๐  สิงหาคม  ๒๕๔๑  (คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๒๔๙–๘๓๖๕/๒๕๔๒ ก็วินิจฉัยไว้ทำนองเดียวกัน )

                คำพิพากษาฎีกาที่  ๗๐๔๗/๒๕๔๒  บทบัญญัติมาตรา  ๑๗  วรรคสอง  ได้กำหนดหลักการเรื่องการบอกกล่าวล่วงหน้าเพื่อเลิกสัญญาจ้างขึ้นใหม่เป็นพิเศษยิ่งกว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  ๕๘๒  โดยกำหนดว่าในกรณีที่สัญญาจ้างไม่มีกำหนดระยะเวลา  นายจ้างหรือลูกจ้างอาจบอกเลิกสัญญาจ้างโดยบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวหนึ่งคราวใดเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็ได้  อันเป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า  การบอกกล่าวล่วงหน้าเพื่อเลิกสัญญาจ้างอาจทำเป็นหนังสือหรืออาจบอกกล่าวล่วงหน้าด้วยวาจาก็ได้  แต่การบอกกล่าวล่วงหน้าที่ได้ทำเป็นหนังสือได้ถูกจำกัดโดยมาตรา ๑๗ วรรคท้ายว่าไม่ให้ใช้บังคับแก่การเลิกจ้างตามมาตรา  ๑๑๙  และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  ๕๘๓  กล่าวคือ  ถ้ามีเหตุเลิกจ้างตามบทบัญญัติทั้งสองมาตราดังกล่าว  นายจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาด้วยวาจาได้ทันที  โดยไม่ต้องบอกกล่าวเลิกสัญญาจ้างล่วงหน้าเป็นหนังสือ  แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ว่า  ถ้านายจ้างประสงค์จะยกเหตุตามมาตรา  ๑๑๙  ขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้นั้น  คงมีความหมายเพียงว่า  ในกรณีนายจ้างเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจ้างโดยทำเป็นหนังสือ  หากนายจ้างประสงค์จะยกเหตุตามมาตรา  ๑๑๙  ขึ้นอ้างเพื่อไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย  นายจ้างจะต้องระบุเหตุดังกล่าวนั้นไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างด้วย  มิฉะนั้นนายจ้างก็ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง  มาตรา  ๑๗  วรรคสาม  จึงหาได้บังคับเด็ดขาดห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างด้วยวาจาไม่ ( คำพิพากษากาที่ ๙๕/๒๕๔๓ ก็วินิจฉัยไว้ทำนองเดียวกัน )

มาตรา ๕๖

                คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๖๔๖/๒๕๔๒   ลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือนซึ่งตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานมิได้กำหนดให้นับเป็นอย่างอื่น  จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา  ๑๙๓/๖ วรรคท้าย  ให้ถือว่าเดือนหนึ่งมี  ๓๐ วัน  เมื่อลูกจ้างได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๓๗,๕๐๐  บาท หารด้วย ๓๐  จึงเป็นค่าจ้างวันละ ๑,๒๕๐  บาท

มาตรา ๑๑๖

                คำพิพากษาฎีกาที่  ๙๓๓๐/๒๕๔๒  เมื่อลูกจ้างยอมรับว่าได้กระทำความผิดจริง  นายจ้างก็มีอำนาจลงโทษลูกจ้างด้วยการพักงานได้  ดังนั้น  การพักงานดังกล่าวจึงเป็นการพักงานเนื่องจากการลงโทษทางวินัยแก่ลูกจ้างเพราะลูกจ้างกระทำความผิด  มิใช่กรณีที่นายจ้างสั่งพักงานระหว่างทำการสอบสวนลูกจ้างซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามมาตรา  ๑๑๖ และ ๑๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน  พ.ศ. ๒๕๔๑  ซึ่งลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินหรือค่าจ้างตามบทมาตราดังกล่าว

มาตรา ๑๑๘

                คำพิพากษาฎีกาที่  ๕๑๘๐/๒๕๔๒  สัญญาที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนซึ่งจะเข้าข้อยกเว้นที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ. ๒๕๔๑  มาตรา ๑๑๘  วรรคสาม  จะต้องเป็นสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดสัญญาเอาไว้แน่นอนไม่มีการเปลี่ยนแปลงและจะต้องเลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลานั้นด้วย  ประกอบกับกฎหมายเรื่องค่าชดเชยเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนจะดูเจตนาของคู่สัญญาประกอบด้วยไม่ได้  เมื่อสัญญากำหนดให้ลูกจ้างและนายจ้างบอกเลิกสัญญาจ้างเมื่อใดก็ได้  โดยบอกกล่าวให้อีกฝ่ายทราบล่วงหน้า  ๒  เดือน  สัญญาดังกล่าวจึงไม่มีลักษณะเป็นสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน  ทั้งนายจ้างเลิกจ้างโจทก์ก่อนครบกำหนดสัญญา  จึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายดังกล่าว

                คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๗๖๗–๖๗๖๙/๒๕๔๒  สัญญาจ้างที่ระบุว่า “สัญญาฉบับนี้มีระยะเวลา  ๒๔  เดือน  จากวันเริ่มจ้างจริง  แต่อาจจะมีการทำข้อตกลงกันใหม่ก่อนที่สัญญาจะสิ้นสุดโดยเป็นที่ยอมรับทั้ง  ๒  ฝ่าย”  เป็นข้อตกลงการจ้างที่มีเงื่อนไขที่นายจ้างกับลูกจ้างจะตกลงกันต่อไปได้  ถือได้ว่าเป็นการจ้างที่มิได้กำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน

                คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๙๖๖–๖๙๗๑/๒๕๔๒  ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกำหนดกรณีเลิกจ้างเมื่อเกษียณอายุว่า  บริษัทจะเลิกจ้างเมื่อลูกจ้างครบเกษียณอายุ  ๖๐  ปี  ในกรณีการเลิกจ้างตามปกติถ้าผลประโยชน์ที่ลูกจ้างได้รับตามโครงการเกษียณอายุน้อยกว่าค่าชดเชยการเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงานบริษัทจะจ่ายเงินส่วนที่ขาดอยู่นั้นให้  จำนวนเงินที่ลูกจ้างได้รับจากโครงการเกษียณอายุให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการจ่ายค่าชดเชยด้วย  ดังนั้นเงินผลประโยชน์ตามโครงการเกษียณอายุก่อนเวลาปกติที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างไปตามระเบียบและข้อบังคับของโครงการเกษียณอายุจึงมีค่าชดเชยรวมอยู่ด้วย

มาตรา ๑๑๙(๑)

                คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๖๐๕/๒๕๔๒  เมื่อกฎหมายคุ้มครองแรงงานมิได้ให้ความหมายคำว่า “ทุจริต” ไว้และมิได้ใช้คำว่า “โดยทุจริต”  ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑ (๑) จึงต้องใช้ความหมายคำว่า “ทุจริต” ตามพจนานุกรมคือ  ความประพฤติชั่ว โกง ไม่ซื่อตรง การที่ลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างวันละ  ๑๙๐  บาท  ละทิ้งงานไปเป็นเวลา ๑ ชั่วโมง  แม้ว่านายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างในระยะเวลาที่ลูกจ้างละทิ้งงานแต่ก็เกิดโทษแก่นายจ้างน้อย  ยังไม่พอถือว่าลูกจ้างมีความประพฤติชั่ว  โกง  ไม่ซื่อตรง  อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่

มาตรา ๑๑๙(๔)

                คำพิพากษาฎีกาที่  ๒๑๗๑/๒๕๔๒   เมื่อลูกจ้างกระทำผิดวินัยเกี่ยวกับการทำงาน  นายจ้างย่อมมีอำนาจออกหนังสือตักเตือนและมีอำนาจนำหนังสือตักเตือนไปประกาศให้ลูกจ้างผู้กระทำผิดวินัยและลูกจ้างอื่นทราบได้  การที่ลูกจ้างผู้กระทำผิดวินัยไปฉีกทำลายประกาศหนังสือตักเตือนของนายจ้างโดยพลการ  ทำให้ทรัพย์สินคือหนังสือตักเตือนของนายจ้างต้องสูญหายและขาดประโยชน์และอาจทำให้ลูกจ้างอื่นเอาอย่าง  ทำให้นายจ้างไม่สามารถปกครองบังคับบัญชาลูกจ้างได้  การกระทำของลูกจ้างดังกล่าวจึงเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง

                คำพิพากษาฎีกาที่  ๓๘๓๑/๒๕๔๒  การที่ลูกจ้างให้คำปรึกษากับหนังสือพิมพ์ฉบับอื่น  ซึ่งเป็นคู่แข่งกับหนังสือพิมพ์ของนายจ้าง  กรณีถือได้ว่าลูกจ้างได้แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากหน้าที่การงานที่ลูกจ้างทำกับนายจ้าง   โดยทำงานให้แก่ธุรกิจที่แข่งขันกับนายจ้างทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง  เป็นกรณีที่ถือว่าลูกจ้างฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับทำงานของนายจ้างเป็นกรณีที่ร้ายแรง

                คำพิพากษาฎีกาที่  ๕๖๐๙/๒๕๔๒  การที่ลูกจ้างมีชู้กับพนักงานช่างประจำโรงแรมของนายจ้าง  แม้จะไม่ปรากฏว่าเกิดขึ้นภายในบริเวณโรงแรมหรือในเวลาทำงาน  ก็ถือได้ว่าเป็นการไม่รักษาเกียรติและประพฤติชั่ว  ซึ่งเป็นการละเมิดต่อศีลธรรมอันดีอย่างร้ายแรง  จนเป็นเหตุให้ครอบครัวผู้อื่นแตกแยก  และเป็นที่รู้กันทั่วในหมู่พนักงานโรงแรมของนายจ้าง  การกระทำของลูกจ้างและชายชู้ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อการปกครองบังคับบัญชาพนักงานโรงแรมของนายจ้าง  รวมทั้งชื่อเสียงของโรงแรมนายจ้างด้วย  เนื่องจากลูกจ้างมีตำแหน่งฝ่ายบริหารเป็นถึงผู้จัดการแผนกต้อนรับแต่กลับประพฤติชั่วเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่พนักงานอื่น ๆ  การกระทำของลูกจ้างเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างเป็นกรณีร้ายแรง

มาตรา ๑๒๕

                คำพิพากษาฎีกาที่  ๓๘๑๐/๒๕๔๒  การวางเงินตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานจะต้องให้สอดคล้องกับความไม่พอใจคำสั่งดังกล่าวด้วย  โดยนายจ้างไม่พอใจหรือโต้แย้งคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานเท่าใดก็วางเงินเพียงเท่าที่ตนโต้แย้ง  ไม่จำต้องวางเต็มจำนวนตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานเสมอไป ( คำพิพากษาฎีกาที่  ๒๘๑๑/๒๕๔๒ ก็วินิจฉัยไว้ทำนองเดียวกัน )

                คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๕๕๒/๒๕๔๒  กรณีที่ลูกจ้างได้ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑  มาตรา ๑๒๓  และพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างตามมาตรา ๑๒๔  แต่นายจ้างไม่นำคดีมาสู่ศาลภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง  คำสั่งดังกล่าวจึงถึงที่สุดตามมาตรา  ๑๒๕  นายจ้างจะดำเนินการในศาลแรงงานอีกไม่ได้ซึ่งรวมตลอดถึงการให้การต่อสู้คดีด้วย  ทั้งนี้โดยต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน  พ.ศ.  ๒๕๒๒  มาตรา ๘ วรรคท้าย  ดังนั้นเมื่อลูกจ้างนำคดีมาฟ้องเพื่อขอให้นายจ้างปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน  นายจ้างจึงไม่มีสิทธิที่จะต่อสู้คดีว่าคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยเหตุที่นายจ้างมิได้เลิกจ้างอันทำให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชย  อันเป็นการโต้แย้งคำสั่งอันถึงที่สุดแล้วได้

อัพเดทล่าสุด