การออกแบบ การเรียนรู้
การออกแบบการเรียนรู้ ในการออกแบบการเรียนรู้ในผู้ใหญ่ มีตัวแปรต้องพิจารณา 3 ตัวแปร คือ
1. Learning Strategies กลยุทธการเรียนรู้
2. Learning outcome ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ที่ต้องการ
3. The learner การพัฒนาสู่ผลสัมฤทธิ์ผู้เรียน หมายถึงผู้เรียนมีการพัฒนาความรู้ ทักษะ และความสามารถ
การออกแบบการเรียนรู้ที่ดีจะส่งผลให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้เป็นไปตามที่ผู้ออกแบบการเรียนรู้ต้องการ ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ที่ต้องการประกอบด้วย
1. Program Knowledge หมายถึง การจัดโปรแกรมการเรียนรู้ ที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาในเรื่อง
o Basic facts and skill ความรู้พื้นฐานรวมทั้งทักษะในเรื่องนั้น ๆ เช่น ความรู้ในเรื่องสภาพขององค์กรในปัจจุบัน สมาชิกขององค์กรเป็นต้น ซึ่งเป็นการถ่ายทอดความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) และการถ่ายทอดทักษะในการทำงาน
o Professional/Technical Information ข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวกับความรู้ในเชิงวิชาชีพ งานที่ทำ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ได้แก่ - - Factual information เป็นข้อเท็จจริงต่างๆ เกี่ยวกับวิชาชีพของผู้เรียน ที่ผู้จัดโปรมแกรมต้องการให้ผู้เรียนได้รับความรู้ เช่น น้ำ เกิดจากการรวมตัวของไฮโดรเจนและออกซิเจน
- Detailed complexity มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์แยกแยะปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อน เข้าใจและสามารถระบุรายละเอียดของปัญหาที่เกิดขึ้นว่ามีตัวแปรอะไรบ้างที่เข้ามาเกี่ยวข้อง สามารถวิเคราะห์สาเหตุและคาดการผลที่จะเกิดขึ้นได้เป็นขั้นตอน (cause & effect) เช่น วิศวกรออกแบบการสร้างสะพานจะต้องมีการคำนวณความสามารถในการรองรับน้ำหนักของสะพานรวมทั้งความสามารถในการต้านแรงลม ของสะพาน เพื่อให้ได้สะพานที่มีความแข็งแรงป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาภายหลัง
o Procedural skills เป็นองค์ประกอบสุดท้ายที่ต้องการให้เกิดในโปรแกรมความรู้ เป็นเรื่องทักษะและขั้นตอนการปฏิบัติงานตามสาขาวิชาชีพ ที่ส่งผลให้เกิดความปลอดภัยในการทำงาน ความเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาของตนที่ส่งผลต่อความเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ ซึ่งทักษะในการทำงานนี้จะต้องมีความรู้พื้นฐานในเรื่องความสามารถในการคิดวิเคราะห์แยกแยะปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อน นั่นคือทักษะนี้จะแสดงให้เห็นได้เมื่อผู้เรียนพบกับปัญหายุ่งยากซับซ้อนนั่นเอง
กลยุทธ์ที่ใช้ในการพัฒนาให้เกิดผลสำฤทธิ์ด้านนี้ ประกอบด้วย
o Theory Session เป็นการให้ความรู้ทางด้านทฤษฎีด้วยวิธีการต่างๆ
o Lecture ใช้วิธีการบรรยาย
o Skill session การสอนเกี่ยวกับทักษะ
2. ความรู้ความสามารถในแก้ปัญหาในงาน (Task) แบ่งเป็น 3 องค์ประกอบคือ
2.1 Analytical ความสามารถในการคิดวิเคราะห์วิเคราะห์ แบ่งเป็น 4 ระดับคือ•Linear analysis: เป็นความสามารถและทักษะในการคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เช่น ความสามารถในการเปรียบเทียบ การวิเคราะห์แนวโน้ม และการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเหตุและผลได้
•Diagnostic analysis: เป็นความสามารถในการอธิบาย การตีความข้อมูล ในแต่ละประเภทได้ การขุดคุ้ยค้นหาสาเหตุได้ซึ่งเป็นความสามารถที่พัฒนาขึ้นมาจากระดับแรก
•Complex analysis: เป็นความสามารถในการที่จะแก้ปัญหา และตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องโดยใช้กระบวนการหรือรูปแบบการแก้ปัญหา เช่น รูปแบบการแก้ปัญหาของ Dewey 7 ขั้นตอน คือ 1. มีการระบุปัญหา 2. ระบุแนวทางที่เป็นไปได้ในการแก้ปัญหา 3. การประเมินผลหรือคาดการณ์แต่ละแนวทางที่จะนำไปใช้ในการแก้ปัญหา 4. การตัดสินใจเลือกแนวทางที่ดีที่สุดเพื่อนำไปใช้ในการแก้ปัญหา5. วางแผนสู่การปฏิบัติ6. นำแนวแก้ปัญหาทางที่เลือกไปลงมือปฏิบัติ7. ประเมินผล
•Analysis under uncertainty : เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ขั้นสูง ได้แก่ความสามารถในการวิเคราะห์เหตุการณ์หรือสถานการณ์ สามารถระบุปัญหาและหาแนวทางแก้ไขได้แม้ข้อมูลที่มีไม่สมบูรณ์เพียงพอ ซึ่งเซงเก้ได้ให้ความหมายของบุคคลในกลุ่มนี้ว่าเป็น “บุคคลที่เต็มไปด้วยพลังของความคิดสร้างสรรค์ มีพลังและมีชีวิตชีวา ”
2.2 Logistical การทำงานที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นเหตุเป็นผลหรือ ความเป็นตรรกะ มี 4 องค์ประกอบ ได้แก่
•Goal Identification สามารถระบุเป้าหมายที่ต้องการได้
•Administrative proficiency สามารถในการบริหารจัดการได้ ซึ่งเป็นความสามารถนี้เป็นทักษะที่มีความสัมพันธ์กับการวางแผนและการจัดการ
- การวางแผน(Planning) คือความสามารถในการคาดการกิจกรรมต่าง ๆ ที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงานได้ และสามารถตัดสินใจเลือกกิจกรรมเพื่อลงมือปฏิบัติได้อย่างมีเหตุมีผล
- การจัดระบบ (Organizing) เป็นความสามารถในการที่จะนำทรัพยากรที่มีอยู่มาบริหารจัดการร่วมกันให้บรรลุเป้าหมายเฉพาะได้อย่างมีประสิทธิภาพสมเหตุสมผล
ในขณะที่การจัดการ (Administrative) เป็นการคิดจัดการในเรื่อง
-- Resource allocation คือ การจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม คุ้มค่า
-- Efficiency มีประสิทธิภาพ เป็นการค้นหาแนวทางหรือวิธีการในการบริหารจัดการที่ดีกว่าเดิมโดยมีประเด็นสำคัญคือ
--- การคัดเลือกวิธีการที่มีประสิทธิภาพ
--- มีการตั้งเป้าหมายที่มีความเป็นไปได้
--- ผลลัพธ์ที่ต้องการมีมาตรฐานและมุ่งสู่ความเป็นเลิศขององค์กร
2.3 Implementing การประยุกต์ความรู้ความสามารถในแก้ปัญหาในงานสู่การปฏิบัติ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดที่ต้องการให้เกิด การประยุกต์ความรู้ความสามารถในแก้ปัญหาในงานสู่ มีด้วยกัน 4 องค์ประกอบคือ
•Work motivation ต้องมีกระตุ้นการบุคลการในหน่วยงานเกี่ยวกับคุณค่าของงานที่ทำ โดยเน้นที่การสร้างทัศนคติที่ดีในงานซึ่งเป็นself motivation ที่จะส่งผลให้เกิดความกระตือรือร้น (enthusiasm) มีความรัก และเชื่อมั่นในงานที่ทำ (strong believe in work )
•Bias for Action เป็นการกระตุ้นโดยเน้นที่ความต้องการปัจเจกบุคคลเรื่องความสำเร็จ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ที่ส่งผลให้เกิดความภาคภูมิใจในงาน
•Purposeful action: สร้างความมั่นใจให้ผู้ปฎิบัติบิตงานมีความมั่นใจว่าจะสามารถทำงานได้บรรลุเป้าหมายและเกิดผลลัพธ์ที่ดี
•unilateral power: เป็นการสร้างพลังความสามารถผู้ปฏิบัติงานให้มีความสามารถในการเป็นผู้กำหนดทิศทาง หาแนวร่วม และรวมพลังทรัพยากรที่มีมาบริหารจัดการงานที่รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
•Effectiveness: มีประสิทธิผล พิจารณาจากผลการปฏิบัติงานที่ตอบสนองเป้าหมาย 4 ประการคือ
1. responsiveness คือตอบสนองความต้องการของแลกค้าและความต้องการขององค์กร
2. Innovation เกิดนวัตกรรม
3.Competence มีการพัฒนาและใช้ศักภาพของคนอย่างมีประสิทธิภาพ
4. Efficiency มีประสิทธิภาพ
กลยุทธ์ที่ใช้ในการพัฒนาให้เกิดผลสัมฤทธิ์ด้านนี้ ประกอบด้วย
o Discussion เป็นการอภิปรายกลุ่ม หรือถกแถลงวิเคราะห์ สังเคราะห์ร่วมกัน แล้วหาข้อยุติ
o case study เป็นการนำกรณีตัวอย่างเป็นกรณีศึกษา ทำการวิเคราะห์สังเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของกรณีตัวอย่างและสรุปรูปแบบในการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดร่วมกัน
o Role play เป็นการแสดงบทบาทสมมุติ สถานการณ์สมมุติ และให้ผู้ศึกษาเป็นผู้สังเกตพฤติกรรมที่ผู้แสดงบทบาทสมมุติปฏิบัติตามสถานการณ์สมมุตินั้นๆ แล้วนำมาวิเคราะห์วิจารณ์วิเคราะห์สังเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง และสรุปรูปแนวทางที่ดีที่สุดร่วมกัน
3. การสร้างสัมพันธภาพ (Relationship) แบ่งเป็น
o Intrapersonal สัมพันธภาพในตัวเอง ประกอบด้วยคุณลักษณะดังนี้
• Spontaneity เป็นลักษณะที่มีและเกิดขึ้นเองในบุคคลนั้น ได้แก่ความสามารถของบุคคลในการที่แสดงตัวตนของตนเองออกมาให้ผู้อื่นได้รับรู้อย่างอิสระ
• Self awareness การตระหนักรู้ตนเอง เป็นความสามารถของบุคคลนั้น ๆ ที่มีความตระหนักรู้ในตนเอง สามารถบอกจุดอ่อนจุดแข็งของตนเองได้
• Self confidence ความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นความสามารถของบุคคลในการแสดงออกซึ่งความเชื่อมั่นเด็ดเดี่ยวของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้ได้
• Inner strength ความเข้มแข็งอดทนภายในของบุคคลต่อภาวการณ์หรือสถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงไม่สามารถคาดการณ์ได้
• Self discipline ความมีวินัยในตนเอง หมายถึงความสามารถของบุคคลในการควบคุมกำกับตนเอง และแสดงบทบาทของตนเองได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
• Emotional resilience ความยืดหยุ่นทางอารมณ์ เป็นความสามารถของบุคคลในการควบคุมอารมณ์ต่อสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้นได้อย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นความสามารถที่จะพัฒนาสู่การคิดวิจารณ์ คิดแบบเป็นตรรกะต่อการเปลี่ยนแปลงหรือสถาณการณ์ต่าง ๆ (Critical thinking and meta ability) ได้อย่างเหมาะสมตามมา
o Interpersonal สัมพันธภาพระหว่างบุคคล ประกอบด้วยคุณลักษณะดังนี้
• Communication มีความสามารถในการสื่อสารระดับพื้นฐาน ได้แก่ สามารถเขียน พูด หรือแสดงให้ผู้อื่นเข้าใจได้
• interaction at the objective level ความสามารถการสื่อสาร ปฏิสัมพันธ์ และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้
• Interacting at emotional level สามารถมีปฏิสัมพันธ์ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพบนพื้นฐานการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่เข้าใจในความแตกต่างของการทำงานกับคน และสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• Using group process มีความสามารถในการบริหารจัดการกระบวนการกลุ่มส่วนผลให้เกิดผลลัพธ์ที่บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้ ซึ่งต้องมีสรรถนะ(Competency) ระดับสูงในเรื่อง
- การสื่อสาร
- การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
- การควบคุมอารมณ์
• Using social power มีความสามารถในการใช้พลังทางสังคมมาสนับสนุนงานได้ โดยมีความสามารถเลือกสิ่งเครื่องมือมาใช้ได้อย่างฉลากหลักแหลม ผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ร่วมงานได้เป็นอย่างดี
o Concern for other ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ประกอบด้วยคุณลักษณะดังต่อไปนี้คือ
• Developing others มีความสามารถในการพัฒนาผู้อื่นได้ บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่ามนุษย์ทุกคนใฝ่ดี มีค่าและพัฒนาได้ • Empathy มีความสามารถที่จะเข้าใจความรู้สึกหรือความยากลำบากของผู้อื่น
• Leadership มีความเป็นผู้นำ สามารถตัดสินใจหรือลงความเห็น มอบหมายหน้าที่ และนิเทศติดตามงานได้
• Managing Conflict มีความสามารถในการบริหารความขัดแย้ง ซึ่งต้องอยู่บนพื้นฐานการเป็นผู้นำที่ดี
กลยุทธ์ที่ใช้ในการพัฒนาให้เกิดผลัมฤทธิ์ด้านนี้ ประกอบด้วย
o experiential learning เป็นการสอนให้เกิดการเรียนรู้โดยการทดลองเพื่อหาผลลัพธ์ที่ดีมาเป็นแนวทางปฏิบัติ
o Mentoring การใช้ระบบพี่เลี้ยง โดยผู้ที่มีความสามารถและเป็นที่ยอมรับ(Best practice) มาเป็นเครื่องมือในการสอนหรือพัฒนาให้เกิดการเรียนรู้ในคนที่มีประสบการณ์น้อย หรือบุคลากรใหม่
o Problem base learning การสอนที่มุ้งเน้นให้ผู้เรียนได้ศึกษาทำความเข้าใจเนื้อสาระและสร้างองค์ความรู้ขึ้นมา เพื่อใช้ในการแก้ปัญหา รูปแบบการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นตัวตั้งและเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา วิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งและสรุปแนวทางที่ดีร่วมกัน
4. คิดวิจารณ์ (Critical Thinking) เป็นความสามารถในการบูรณาการในเรื่องต่อไปนี้
- Problem solving การแก้ปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนโดยใช้กระบวนการในการแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง เช่น กระบวนการแก้ปัญหา 7 ขั้นตอนของ Dewey (รายละเอียดใน Task/Analytical )
- Creative มีความคิดอย่างสร้างสรรค์ คิดสร้างแนวคิดใหม่ คิดนอกกรอบ
- Evaluation มีการประเมินผล
- Dialectic thinking; opposing attribute มีความคิดโต้แย้งแบบมีเหตุมีผล เป็นตรรกะ
5. Meta ability พลังการเปลี่ยนแปลง ที่ได้รับการพัฒนาความรู้และปลูกฝังไปเป็นความรู้แฝง (tacit knowledge) ในบุคคลนั้น ๆ ซึ่งแสดงให้เราเห็นได้จาก
o Mental agility ความเฉลียวฉลาดของบุคคล แบ่งเป็น
- Mental capacities ความสามารถในการที่จะเข้าใจปัญหาแม้ใน สถานการณที่ยุ่งยากซับซ้อน
- Speed คิดไว
o Helicopter Perception มองภาพกว้าง หมายถึงความสามารถในการมองภาพหรือสถานการณ์ได้ในทุก ๆ มุมมอง และสามารถสรุปประเด็นปัญหา
โดย : คนึงนิจ อนุโรจน์