หลักการ กำหนดโครงการฝึกอบรม
เมื่อมีหลักสูตรการฝึกอบรมที่ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว เพื่อให้การบริหารฝึกอบรมสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจำเป็นต้องเขียนโครงการฝึกอบรมขึ้น เพื่อประโยชน์ดังต่อไปนี้ |
1. เพื่อนำเสนอผู้บังคับบัญชาระดับสูง เพื่อขออนุมัติให้ดำเนินการตามโครงการเนื่องจากการดำเนินการฝึกอบรมนั้น จะต้องกระทบหรือเกี่ยวข้องกับบุคคลและหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งอยู่นอกเหนือจากการควบคุมบังคับบัญชาของหน่วยงานที่จัดการฝึกอบรม ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องให้ผู้บังคับบัญชาในระดับสูงให้ความเห็นชอบเสียก่อน |
2. เพื่อเป็นการอนุมัติงบประมาณสำหรับการฝึกอบรมจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงในการจัดและดำเนินโครงการ |
3. เพื่อใช้แจ้งให้บุคคลและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทราบถึงรายละเอียดต่าง ๆ อัน จะเป็นประโยชน์ในการร่วมมือประสานงานกันต่อไป |
4. เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผู้บริหารงานฝึกอบรม |
ความหมายของโครงการฝึกอบรม |
ผู้เขียนเข้าใจว่า คำว่า "โครงการ" เป็นคำศัพท์ที่เดิมอยู่ในวิชาการเกี่ยวกับการวางแผน ซึ่งหมายถึง ขั้นตอนที่ลงสู่ รายละเอียด มากที่สุดในกระบวนการวางแผน ส่วนคำว่า"โครงการฝึกอบรม" นั้น ในคู่มือการเขียนโครงการฝึกอบรม /สัมมนาของ สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ. ให้คำจำกัดความว่า คือ "กิจกรรมที่ระบุรายละเอียดถึง การปฏิบัติงาน อย่างมีขั้นตอน ของการดำเนินงานต่างๆ (ในที่นี้ก็คือ การจัดฝึกอบรม - ผู้เขียน) ตลอดจนการใช้ทรัพยากรที่ประสานสอดคล้องกัน เพื่อให้บรรลุวัตถุ ประสงค์และเป้าหมายที่ต้องการ ภายในระยะเวลาที่กำหนด" หรือ "เป็นแผนงานของการปฏิบัติงาน (เพื่อจัดการฝึกอบรม - ผู้เขียน) ให้เป็นไปตามขั้นตอนและวัตถุประสงค์ที่วางไว้" [1] |
รูปแบบ/โครงสร้างในการเขียนโครงการฝึกอบรม |
จากข้อเขียนต่าง ๆ ของนักวิชาการด้านการบริหารงานฝึกอบรม สรุปได้ว่า การเขียนโครงการฝึกอบรม ควรจะ ประกอบด้วยหัวข้อดังต่อไปนี้ |
1. ชื่อโครงการ |
โดยทั่วไป ชื่อโครงการมีองค์ประกอบ 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 เป็น ประเภทของโครงการ โดยทั่วไปมักใช้ชื่อโครงการ 3 ประเภท คือ 1. โครงการฝึกอบรม มักจะหมายถึง โครงการที่เน้นถึงการจัดประสบการณ์ให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และทัศนคติในสิ่งที่บกพร่องเป็นปัญหา หรือเพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานที่จำเป็น โดยเทคนิค วิธีการฝึกอบรม อาจมีหลายชนิดประกอบกัน แต่มักจะเน้นการบรรยายเป็นส่วนประกอบสำคัญ |
2. โครงการสัมมนา มักจะหมายถึง โครงการที่มีลักษณะเป็นการประชุมโดยเชิญผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในงาน หรือเรื่องที่กำหนด มาอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น และประสบการณ์ซึ่งกันและกัน เทคนิควิธีการ ที่ใช้มักจะเป็นเทคนิค ที่เน้นกลุ่มผู้เข้าอบรมเป็น ศูนย์กลาง |
3. โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ หมายถึง การฝึกอบรมที่เน้นให้ผู้เข้าอบรมเกิดความสามารถหรือทักษะในการปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม โดยเน้นการฝึกปฏิบัติของผู้เข้าอบรมเป็นสำคัญ |
ส่วนที่ 2 เป็นลักษณะหรือความเกี่ยวข้องของโครงการ ว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร หรือเกี่ยวกับใคร ส่วนใหญ่มักจะกำหนด ชื่อโครงการใน 3 ลักษณะ คือ |
1. กำหนดตามตำแหน่งงานของผู้เข้ารับการฝึกอบรม เช่น การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย การฝึกอบรม เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการยุคใหม่ การฝึกอบรมนักบริหารงานมหาวิทยาลัย การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ธุรการ ฯลฯ |
2. กำหนดตามลักษณะของเนื้อหาวิชาหลักของหลักสูตร เช่น การฝึกอบรมเทคนิคการนำเสนองานอย่างมีประสิทธิภาพ การฝึกอบรมหลักสูตรการบริหารงานฝึกอบรม การประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง การวางแผนการปฏิบัติงาน การฝึกอบรมหลักสูตร การใช้งานโปรแกรม Microsoft Excel for Windows การประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อรื้อปรับกระบวนการทำงาน ในสำนักงาน อธิการบดี ฯลฯ |
3. กำหนดตามลักษณะของเนื้อหาวิชาหลักของหลักสูตรและตำแหน่งของผู้เข้าอบรมประกอบกัน เช่น การฝึกอบรม ปฐมนิเทศ ข้าราชการฝ่ายบริการทางวิชาการและธุรการ การฝึกอบรมการพัฒนาเจ้าหน้าที่ระดับบริหาร การสัมมนาการบริหาร สำหรับ ผู้บังคับบัญชา การฝึกอบรมหลักสูตรสุขศึกษาสำหรับผู้ช่วยทันตแพทย์ ฯลฯ |
2. หลักการและเหตุผล หรือ เหตุผลและความจำเป็น |
กริช อัมโภชน์ ได้อธิบายถึงแนวการเขียนหลักการและเหตุผล ไว้พอสรุปได้ดังนี้ 1) หลักการที่ควรเป็นหรือควรยึดถือปฏิบัติ 2) สภาพหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พฤติกรรมของผู้ที่ควรจะต้องมาเข้ารับการฝึกอบรม) ซึ่งเบี่ยงเบนไปจากหลักการที่ควรจะเป็น และเป็นสถานการณ์อันไม่พึงปรารถนา 3) ระบุถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความเบี่ยงเบนระหว่างหลักการกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงว่าเสียหายเพียงใด หรือมีความรุนแรงแค่ไหน หากปล่อยทิ้งไว้จะเสียหายมากน้อยอีกสักเท่าใด 4) ระบุว่าความเบี่ยงเบนจากหลักการหรือสภาพที่ควรจะเป็นหรือปัญหาตามข้อ 2) นั้นเป็นความจำเป็นในการฝึกอบรม อย่างไร และเพียงใด 5) สรุปว่า เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว จำเป็นที่จะต้องฝึกอบรมใคร ในเรื่องอะไร |
ส่วนคู่มือการเขียนโครงการฝึกอบรม/สัมมนาของสถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สรุปถึงวิธีการเขียนหลักการ และเหตุผลว่า ควรจะเขียนดังนี้ |
1. เขียนในลักษณะบรรยายความ ไม่นิยมเขียนเป็นข้อ ๆ 2. จะต้องเขียนให้ชัดเจน อ่านเข้าใจง่าย และมีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอ 3. ย่อหน้าแรก เป็นการบรรยายถึงเหตุผลและความจำเป็นในการจัดโครงการฝึกอบรมครั้งนี้ โดยบอกที่มา และความ สำคัญ ของโครงการฝึกอบรมนั้น ๆ 4. ย่อหน้าที่สอง เป็นการอธิบายถึงปัญหาข้อขัดข้อง หรือพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนจากหลักการที่ควรจะเป็น ซึ่งทำให้เกิด ความ เสียหายในการปฏิบัติงาน (หรืออาจเขียนรวมไว้ในย่อหน้าที่ 1 ก็ได้) 5. ย่อหน้าสุดท้าย เป็นการสรุปว่าจากสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ผู้รับผิดชอบในการพัฒนาบุคคล จึงเห็นความจำเป็น ที่จะต้อง จัดโครงการฝึกอบรมขึ้นในเรื่องอะไร และสำหรับใคร เพื่อให้เกิดผลอย่างไร |
แนวทางในการเขียนหลักการและเหตุผลดังกล่าวข้างต้น โดยสรุปแล้วมีแนวการเขียนคล้ายคลึงกัน ดังตัวอย่าง การเขียนหลักการและเหตุผลต่อไปนี้ |
|
ตัวอย่าง การเขียนหลักการและเหตุผล |
หลักการและเหตุผล | ในปัจจุบันการฝึกอบรมเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญวิธีหนึ่ง ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาขีดความ สามารถในการปฏิบัติงาน การที่จะทราบได้ว่า เมื่อจัดการฝึกอบรมไปแล้วจะคุ้มค่า บรรลุวัตถุประสงค์ มีปัญหาอุปสรรค อะไรบ้าง เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข หรือพัฒนาคุณภาพของการฝึกอบรมได้นั้นขึ้น อยู่กับการประเมินผล การฝึกอบรมที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ | จากนโยบายพัฒนาข้าราชการและสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ทำให้หน่วยงาน ต่างๆมีการจัดฝึกอบรมเพื่อพัฒนาผู้ปฏิบัติงานของตนอย่างกว้างขวาง แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า การประเมินผล การฝึกอบรม ยังมีทำกันน้อยมาก ทั้งนี้ เนื่องจากเหตุผลหลายประการ ซึ่งสาเหตุที่เด่นชัดที่สุดก็คือ การที่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ด้านการฝึกอบรมส่วนใหญ่ยังมีข้อจำกัดด้านวิชาการและทักษะเกี่ยวกับการประเมินผลการฝึกอบรม | จากเหตุผลความจำเป็นดังกล่าว สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ. จึงได้จัดโครงการประชุมเชิง ปฏิบัติการเรื่อง เทคนิคการประเมินผลการฝึกอบรมให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการฝึกอบรมของหน่วยงานต่างๆ ซึ่งรับผิดชอบงานประเมินผลการฝึกอบรมขึ้น | |
|
ที่มา โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง เทคนิคการประเมินผลการฝึกอบรม จัดโดย สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ. |
แนวทางในการเขียนหลักการและเหตุผล ทั้งสองแนวทางดังกล่าวข้างต้น นับว่าเป็นการเขียนที่สมบูรณ์ครบถ้วนดี อย่างไรก็ตาม หากผู้รับผิดชอบจัดการฝึกอบรมต้องการเขียนแบบหลักการและเหตุผลแบบสั้น ก็อาจเขียนในแนวนี้ได้ คือ |
1. เขียนถึงความเป็นมาหรือความสำคัญของเรื่องที่ประสงค์จะจัดโครงการฝึกอบรม และอาจรวมไปถึงสภาพการณ์ หรือหลักการที่ควรจะเป็นในเรื่องดังกล่าว |
2. เขียนถึงสภาพปัญหาหรือความเบี่ยงเบนที่เกิดขึ้นจริงในเรื่องนั้นๆ โดยอาจระบุถึงความรุนแรงของปัญหา และความ เสียหาย ที่เกิดขึ้นด้วยหรือไม่ก็ได้ หรือ เขียนถึงแนวโน้มของปัญหาที่อาจเกิดขึ้น หากไม่มีการเตรียมป้องกัน ไม่ให้เกิดขึ้นด้วย การ พัฒนาบุคลากรกลุ่มดังกล่าวด้วยการฝึกอบรมที่เห็นควรจะจัดให้มีขึ้น |
3. สรุปว่า เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหา หรือ เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาดังกล่าว จึงจำเป็นต้องจัดฝึกอบรมขึ้นสำหรับใคร ในเรื่องอะไร |
ทั้งนี้ ในการเขียนไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกแต่ละขั้นตอนออกเป็นย่อหน้า อาจเขียนรวมกันเป็นเพียงย่อหน้าเดียว สองหรือ สามย่อหน้าก็ได้ แล้วแต่เนื้อความว่ายาวมากน้อยเพียงใด ดังตัวอย่างการเขียนหลักการและเหตุผลข้างล่างนี้ |
|
ตัวอย่าง การเขียนหลักการและเหตุผลอย่างง่าย |
หลักการและเหตุผล | เนื่องจากในปัจจุบันซึ่งสภาพเศรษฐกิจ สังคม และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ระบบและ ลักษณะการบริหารงานของหน่วยงานต่างๆในมหาวิทยาลัยจำเป็น ต้องมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลง ไปอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง บุคลากรสำคัญกลุ่มหนึ่งในหน่วยงานระดับคณะ สำนัก สถาบัน ซึ่งเป็นทั้งผู้มีส่วนร่วม ในการกำหนดนโยบายในการบริหาร และในขณะเดียวกันต้องทำหน้าที่เป็นปรึกษาในการวางแผน เพื่อนำนโยบาย มาสู่การปฏิบัติ และควบคุมการบริหาร ตลอดจนการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามนโยบาย นั่นคือ ผู้บริหารระดับรองคณบดี รองผู้อำนวยการสำนัก/สถาบัน ซึ่งล้วนแต่เป็นนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ และมีความสามารถในเชิงวิชาการ แต่ต้องมาทำ หน้าที่ที่แตกต่างออกไป ผู้บริหารระดับนี้จึงจัดเป็นกลุ่มผู้บริหารซึ่งมหาวิทยาลัยให้ความสำคัญ และประสงค์จะเสริม สร้างความรู้ความเข้าใจและพัฒนาบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบในด้านการบริหาร ให้เหมาะสม และสอดคล้อง กับความจำเป็นในปัจจุบันและอนาคต มหาวิทยาลัยจึงมีนโยบายเห็นสมควรให้ งานฝึกอบรม จัดการฝึกอบรมหลักสูตร นักบริหารงานมหาวิทยาลัย รุ่นที่ 1 ขึ้น | |
|
ที่มา : โครงการฝึกอบรม หลักสูตร นักบริหารงานมหาวิทยาลัย รุ่นที่ 1 จัดโดย งานฝึกอบรมกองการเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ |
3. วัตถุประสงค์ของโครงการฝึกอบรม [2] |
นักวิชาการด้านการฝึกอบรมกล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการฝึกอบรมที่ดีควรเป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม กล่าวคือ ระบุไว้ล่วงหน้าว่า เมื่อผ่านการฝึกอบรมแล้ว ผู้เข้าอบรมควรจะมีพฤติกรรมอย่างไรบ้าง โดยเป็นพฤติกรรม ซึ่งสามารถสังเกตได้และ วัดได้ เพื่อจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาต่อการประเมินผลและติดตามผล |
ดังนั้น เมื่อจะเขียนวัตถุประสงค์ของโครงการฝึกอบรม เราอาจยกวัตถุประสงค์ในการฝึกอบรม ซึ่งได้กำหนดขึ้น โดยการเขียน ในขั้นตอนของการกำหนดหลักสูตร มาทบทวนว่ามีองค์ประกอบของวัตถุประสงค์ที่ดี ดังนี้ หรือไม่ |
1. สามารถเข้าใจง่าย ชัดเจน ไม่คลุมเครือ 2. เฉพาะเจาะจง ไม่กว้างจนเกินไป - มิฉะนั้นจะทำได้ยากและวัดยาก 3. ระบุถึงผลลัพธ์ที่ต้องการ ว่าสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นคืออะไร 4. จะต้องสามารถวัดได้ ทั้งในแง่ของปริมาณและคุณภาพ 5. มีความเป็นไปได้ ไม่เลื่อนลอย หรือทำได้ยากเกินความเป็นจริง |
นอกจากนั้น วรภา ชัยเลิศวนิชกุล [3] ได้เสนอแนะถึงคำกริยาที่ควรหลีกเลี่ยง ในการเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เนื่องจากทำให้วัดและประเมินการฝึกอบรมได้ยาก ได้แก่ คำว่าเพื่อให้... |
- เข้าใจถึง - ทราบถึง - คุ้นเคยกัน - รู้ซึ้งถึง - สนใจใน - เคยชินกับ - ยอมรับใน - เชื่อถือใน - สำนึกใน - ซาบซึ้งใน ฯลฯ |
ส่วนคำที่อาจใช้ในการเขียนวัตถุประสงค์ของโครงการ แล้วทำให้สามารถวัดและประเมินผลการฝึกอบรมได้ ได้แก่ คำว่าเพื่อให้ |
- แสดง - กระทำ - ดำเนินการ - วัด - เลือก - แก้ไข - สาธิต - ตัดสินใจ - วิเคราะห์ - วางแผน - มอบหมาย - จำแนก - จัดลำดับ - ระบุ - อธิบาย - แก้ปัญหา - ปรับปรุง พัฒนา - ตรวจสอบ |
ดังตัวอย่างการเขียนวัตถุประสงค์ของโครงการฝึกอบรม ดังต่อไปนี้ |
วัตถุประสงค์ | เพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถที่จะ 1. อธิบายแนวคิด หลักการ ขั้นตอน วิธีการ เทคนิค และกระบวนการฝึกอบรมต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง 2. ระบุบทบาท และหน้าที่ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ฝึกอบรมได้อย่างเหมาะสม 3. วางแผนดำเนินการฝึกอบรม และนำไปปรับใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ 4. แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับงานฝึกอบรม ตลอดจนสร้างความร่วมมือและประสานงาน ด้านการฝึกอบรมระหว่างกัน | |
ที่มา โครงการฝึกอบรมความรู้พื้นฐานด้านการฝึกอบรม จัดโดย สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ. |
4. คุณสมบัติของผู้เข้ารับการฝึกอบรม |
เป็นการระบุว่า ผู้เข้ารับการฝึกอบรม/ผู้เข้าร่วมสัมมนา/ผู้เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการนั้นมีคุณสมบัติอย่างไร ดังนี้ |
4.1 เป็นบุคลากรฝ่ายใด หรือดำรงตำแหน่งใด ระดับใด และสังกัดหน่วยงานใดบ้าง 4.2 ระบุระดับความรู้พื้นฐาน ว่าจะต้องได้ผ่านการฝึกอบรมใดมาก่อน หรือต้องมีความรู้พื้นฐาน หรือประสบการณ์ใด อยู่แล้วบ้าง หรือ ในบางหลักสูตรอาจจำเป็นต้องระบุวุฒิการศึกษาก็ได้ 4.3 ต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ หรือกำลังจะได้รับมอบหมายงานใด แล้วแต่ความจำเป็น ของแต่ละโครงการ 4.4 อาจระบุคุณสมบัติเกี่ยวกับความสามารถในการมาเข้ารับการฝึกอบรมได้ตลอดหลักสูตร หรือเกี่ยวกับการยินยอมอนุญาต ของผู้บังคับบัญชาด้วยก็ได้ (ในกรณี หลักสูตรฝึกอบรมระยะยาว) 4.5 อาจระบุว่าเป็นผู้เข้ารับการฝึกอบรมจากหน่วยงานใดบ้าง จำนวนกี่คน คิดเป็นจำนวนรวมเท่าไร และหากจะมีการจัดแบ่ง เป็นรุ่น คาดว่าจะมีกี่รุ่น และรุ่นละเท่าใดด้วยก็ได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้ |
|
ตัวอย่างที่ 1 : การระบุคุณสมบัติของผู้เข้ารับการอบรม |
คุณสมบัติของผู้เข้ารับการฝึกอบรม | 1) เป็นข้าราชการ หรือ พนักงาน ฝ่ายบริการทางวิชาการและธุรการ จากหน่วยงานต่างๆของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2) ดำรงตำแหน่งระดับ 6 ขึ้นไป หรือทำหน้าที่บริหารงานระดับหัวหน้างาน 3) มีประสบการณ์การทำงานไม่น้อยกว่า 5 ปี 4) หน่วยงานต้นสังกัดส่งเข้ารับการฝึกอบรม และให้การรับรองว่าสามารถเข้ารับการฝึกอบรม ได้อย่างสม่ำเสมอตลอดหลักสูตร | |
ที่มา : โครงการฝึกอบรม การพัฒนาเจ้าหน้าที่ระดับบริหาร จัดโดย งานฝึกอบรมกองการเจ้าหน้าที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
|
และ ตัวอย่างที่ 2: การระบุคุณสมบัติของผู้เข้ารับการฝึกอบรมแบบระบุจำนวน |
คุณสมบัติของผู้เข้ารับการฝึกอบรม | 1) หัวหน้าสำนักงานอธิการบดี จำนวน 1 คน 2) ผู้อำนวยการกองต่างๆ และหัวหน้างานตรวจสอบภายใน จำนวน 8 คน 3) หัวหน้างานต่างๆ ในสำนักงานอธิการบดี กองละ 3 คน จำนวน 21 คน รวมจำนวน 30 คน | |
ที่มา : โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่องการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างสำนักงานอธิการบดี มธ. |
5. หลักสูตรฝึกอบรม |
เจ้าหน้าที่ผู้เขียนโครงการฝึกอบรม จะต้องนำหลักสูตรและรายละเอียดหัวข้อวิชาที่ได้รับการสร้างหรือพัฒนา ไว้แล้วตามขั้นตอนในบทที่ 4 มาบรรจุลงในโครงการฝึกอบรม โดยมีแนวทาง ดังนี้ |
5.1 ระบุหลักสูตรฝึกอบรมและหัวข้อวิชาทั้งหมดที่จะทำการฝึกอบรม โดยเรียงตามลำดับหมวดวิชาและหัวข้อวิชา ที่อยู่ในแต่ละหมวด (ถ้าเป็นหลักสูตรฝึกอบรมระยะยาว และมีหลายหมวด) พร้อมทั้งระบุจำนวนชั่วโมงที่กำหนดไว้ด้วย ดังตัวอย่าง ต่อไปนี้ |
1. หมวดกลยุทธ์การบริหาร 1.1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ : บทบาทในสังคมไทย 1.5 ชั่วโมง 1.2 จากปรัชญาอุดมศึกษาสู่การบริหารงานมหาวิทยาลัย : ปัจจุบันและอนาคต 1.5 ชั่วโมง 1.3 การบริหารวิชาการสมัยใหม่ : ข้อคิดการผลิตบัณฑิต วิจัย และ บริการสังคม 1.5 ชั่วโมง 1.4 คุณธรรมและจรรยาบรรณของผู้บริหาร 1.5 ชั่วโมง 1.5 แนวคิดการบริหารสมัยใหม่ : มุมมองจากภาครัฐ 1.5 ชั่วโมง 1.6 สู่ความเป็นเลิศในการบริหารงานมหาวิทยาลัย : ทัศนะของภาคเอกชน 1.5 ชั่วโมง 1.7 การวางแผนกลยุทธ์ในการบริหารอุดมศึกษา 3 ชั่วโมง 1.8 การใช้งบประมาณเพื่อการบริหาร 3 ชั่วโมง 1.9 การวางแผนและการบริหารงบประมาณเพื่อพัฒนาคณะ สำนัก สถาบัน 3 ชั่วโมง 1.10 การบริหารงานบุคคลในมหาวิทยาลัย 3 ชั่วโมง 1.11 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวินัยข้าราชการ 1.5 ชั่วโมง 1.12 ผู้นำกับการบริหารสมัยใหม่ 3 ชั่วโมง 1.13 การบริหารการเงินในมหาวิทยาลัย 1.5 ชั่วโมง 1.14 ระเบียบและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเงินของมหาวิทยาลัย 1.5 ชั่วโมง 1.15 ทัศนะและประสบการณ์ของผู้บริหาร 1.5 ชั่วโมง รวม 30 ชั่วโมง
| |
|
2. หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับนักบริหาร 2.1 ระบบคอมพิวเตอร์ของ มธ. และการวางแผนพัฒนาระบบ คอมพิวเตอร์ของคณะ สำนัก สถาบัน 2 ชั่วโมง 2.2 การใช้คอมพิวเตอร์ในงานบริหาร -โปรแกรมด้านการจัดการฐานข้อมูล -โปรแกรมสำหรับงานวิเคราะห์ -โปรแกรมช่วยในการตัดสินใจ 4 ชั่วโมง 2.3 การใช้คอมพิวเตอร์ในการติดต่อสื่อสารภายในและระหว่างองค์กร 5 ชั่วโมง 2.4 การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการบริหาร และการบริหารทรัพยากรสาร สนเทศ 2 ชั่วโมง รวม 13 ชั่วโมง
| |
3. หมวดดูงาน | เป็นการจัดให้ผู้ผ่านการอบรมในภาคทฤษฎี (สองหมวดแรก) ไปดูงานด้านการบริหารงานมหาวิทยาลัย ณ มหาวิทยาลัยในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเวลา ประมาณ 10 วัน โดยแบ่งผู้เข้าอบรมออกเป็น 2 รุ่นๆ ละไม่เกิน 20 คน | |
ที่มา : โครงการฝึกอบรม หลักสูตร นักบริหารงานมหาวิทยาลัย รุ่นที่ 1 จัดโดย งานฝึกอบรมกองการเจ้าหน้าที่ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ |
5.2 ระบุรายละเอียดของหัวข้อวิชาทุกหัวข้อวิชา โดยเรียงตามลำดับตามที่ระบุไว้ในหลักสูตร โดยในรายละเอียดของ แต่ละหัวข้อวิชา จะประกอบด้วย ชื่อหัวข้อวิชา วัตถุประสงค์ แนวการอบรม/ประเด็นสำคัญ วิธีการ/เทคนิคฝึกอบรม และระยะเวลา ฝึกอบรม ดังตัวอย่างต่อไปนี้ |
|
ตัวอย่าง : รายละเอียดหัวข้อวิชา |
ชื่อหัวข้อวิชา | เทคนิคการระดมสมอง (Brainstorming) | วัตถุประสงค์ | เพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถใช้งานเทคนิคการระดมสมองในการประชุมกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ | แนวการอบรม | - ความหมายของการระดมสมอง | | - จุดมุ่งหมายในการใช้เทคนิคการระดมสมอง | - ขั้นตอนในการระดมสมอง | - ข้อดีและข้อจำกัด | วิธีการฝึกอบรม | การบรรยาย และสาธิตการใช้เทคนิคการระดมสมอง | ระยะเวลา | 1.5 ชั่วโมง | |
รายละเอียดหัวข้อวิชานี้ หากเป็นหลักสูตรระยะยาว และมีหัวข้อวิชาจำนวนมาก ผู้เขียนโครงการอาจนำไปแนบท้าย โครงการฝึกอบรมก็ได้ (โปรดดูตัวอย่างหลักสูตรและรายละเอียดหัวข้อวิชาเพิ่มเติมในภาคผนวก หมายเลข 5) |
หลักการสร้างหลักสูตร กำหนดหัวข้อวิชา และการจัดทำรายละเอียดหัวข้อวิชา อธิบายไว้อย่างละเอียดแล้วในบทที่ 4 |
6. ระยะเวลาในการฝึกอบรม |
การเขียนระยะเวลาฝึกอบรม หมายถึงการระบุว่า |
6.1 การฝึกอบรมจะใช้ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ใด ถึงเมื่อใด ตรงกับวันอะไรบ้าง และรวมกันแล้วเป็นระยะเวลาเท่าใด จำนวนกี่วันทำการหรือกี่ชั่วโมง |
6.2 ระบุด้วยว่าวันฝึกอบรมตรงกับวันอะไรบ้าง( เช่น วันจันทร์-ศุกร์) ทั้งนี้ เนื่องจากการฝึกอบรมบางโครงการ อาจใช้เวลาฝึกอบรมเป็นระยะๆ ไม่ติดต่อกัน เช่น อาจเป็นทุกวันจันทร์และพุธ ของแต่ละสัปดาห์ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่เท่านี้ จนถึงอีกวันที่หนึ่งก็ได้ ผู้เขียนโครงการจำเป็นต้องระบุให้ชัดเจนเพื่อป้องกันความเข้าใจผิดด้วยว่า รวมแล้วเป็นวันฝึกอบรมกี่วัน |
นอกจากนั้น การกำหนดวันที่จะฝึกอบรมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าหากไม่รอบคอบพออาจก่อให้เกิดปัญหาว่าผู้ที่ควรจะมา เข้ารับการฝึกอบรมอาจไม่สามารถมาเข้ารับการฝึกอบรมได้ มีปัจจัยที่ควรคำนึงในการกำหนดวันฝึกอบรม คือ |
1) ลักษณะการปฏิบัติงาน ผู้จัดโครงการควรคำนึงถึงลักษณะการปฏิบัติงานของผู้เข้าอบรมว่าจะต้องมีช่วงใด ของปีหนึ่ง ๆ ที่สามารถจะมาเข้ารับการฝึกอบรมได้สะดวกกว่าช่วงเวลาอื่น ๆ หรือช่วงใดที่จะไม่สามารถเข้ารับการฝึกอบรมได้อย่างแน่นอน เช่น หากผู้ที่จะต้องเข้ารับการฝึกอบรมปฏิบัติงานด้านการเงินการบัญชี ก็จะต้องมีปริมาณงานมากและเร่งด่วน ในช่วงใกล้จะสิ้นปี งบประมาณและสิ้นปีการศึกษา ย่อมไม่สามารถมาเข้าฝึกอบรมในช่วงดังกล่าวได้ |
2) เทศกาลและวันที่ควรยกเว้น ในช่วงใกล้เทศกาลที่สำคัญๆ เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ และตรุษจีน เป็นช่วงที่ควร งดเว้น ไม่กำหนดวันฝึกอบรม เพราะเป็นช่วงที่ทุกคนจะสงวนไว้สำหรับการรื่นเริงหรือพักผ่อนกับครอบครัว แม้กระทั่งช่วงวัน ที่อยู่ระหว่าง วันหยุดประจำปีต่าง ๆ ก็ควรหลีกเลี่ยงการกำหนดวันฝึกอบรม เพราะผู้เข้าอบรมอาจถือว่าเป็นความจำเป็น และยอมขาดฝึกอบรม ในวันดังกล่าว ทำให้การเข้าฝึกอบรมไม่สมบูรณ์ไปอย่างน่าเสียดาย |
3) ระยะทางและการเดินทางของผู้เข้าอบรม หากผู้เข้าอบรมต้องเดินทางไป-กลับมายังสถานที่อบรมเป็นระยะทางไกล เช่น สถานที่ฝึกอบรมจัดอยู่ ณ มธ.ท่าพระจันทร์ โดยมีผู้เข้าอบรมส่วนหนึ่งปฏิบัติงาน ณ มธ.ศูนย์รังสิต การกำหนดระยะเวลา ฝึกอบรม เพียงครึ่งวันย่อมควรหลีกเลี่ยง เพราะจะทำให้ผู้เข้าอบรมเสียเวลาเดินทางไปปฏิบัติงานต่อได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง การเดินทางมาเข้ารับ การฝึกอบรมย่อมจะไม่คุ้มค่า นอกจากนั้น การฝึกอบรมนอกสถานที่ย่อมจะต้องคำนึงถึง ระยะเวลาเดินทาง ไปยังสถานที่ฝึกอบรม ด้วยในทำนองเดียวกัน |
|
ตัวอย่าง การเขียนระยะเวลาฝึกอบรม |
ระยะเวลาฝึกอบรม | หลักสูตรที่ 1 : ฝึกอบรมภาคทฤษฎีทุกวันจันทร์และพฤหัสบดี โดยเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม - วันพฤหัสบดี ที่ 28 กันยายน 2543 เว้นวันหยุดราชการ ซึ่งตรงกับวันที่ 10, 17, 21, 24, 28, 31 สิงหาคม และ 4, 7, 11, 14, 18, 21, 25, 28 กันยายน 2543 รวม 13 วันทำการ | |
|
ที่มา : โครงการฝึกอบรม การพัฒนาเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการยุคใหม่ หลักสูตรที่ 1 จัดโดย งานฝึกอบรม กองการเจ้าหน้าที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
7. สถานที่ในการฝึกอบรม |
เป็นการระบุว่า จะใช้สถานที่ใดบ้างเป็นสถานที่ฝึกอบรม หากมีหลายแห่งควรจะต้องระบุด้วยว่า วันเวลาใด ใช้สถานที่ใดในการฝึกอบรม ดังตัวอย่างต่อไปนี้ |
สถานที่ฝึกอบรม | ภาคทฤษฎี (หมวดการบริหาร หมวดทั่วไป และหมวดมนุษยพฤติกรรม) ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคาร เอนกประสงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ | หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศ ณ ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ประยุกต์ อาคารคณะ ศิลปศาสตร์ ชั้น 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และ ณ ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ อาคารโดมบริหาร ชั้น 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิตหมวดสหวิทยาการ ณ สถานที่นอกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ต่างจังหวัด) | |
ที่มา : โครงการฝึกอบรมการพัฒนาเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการยุคใหม่ จัดโดย งานฝึกอบรม มธ. |
8. วิทยากรในการฝึกอบรม |
เป็นการระบุชื่อวิทยากร ตำแหน่ง และส่วนราชการที่สังกัด หากยังไม่ทราบแน่นอนว่าวิทยากรจะเป็นใคร หรือยังไม่สามารถ ระบุได้ อาจระบุเพียงว่าวิทยากรมาจากหน่วยงานหรือองค์กรใดเท่านั้นก็ได้ ดังตัวอย่างนี้ |
วิทยากร | วิทยากร และวิทยากรผู้ช่วยจากสถาบันประมวลข้อมูลเพื่อการศึกษาและการพัฒนา โดยจะมีผู้ทำหน้าที่วิทยากรจำนวน 1 คน และวิทยากรผู้ช่วย จำนวน 3 คน ต่อชั่วโมง | |
ที่มา : โครงการฝึกอบรม การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรม Microsoft Excel for Windows จัดโดย งานฝึกอบรม ร่วมกับ สถาบันประมวลข้อมูลเพื่อการศึกษาและการพัฒนา มธ. |
9. เทคนิค/วิธีการฝึกอบรม |
เป็นการระบุถึงเทคนิคหรือวิธีการฝึกอบรมที่คาดว่าจะใช้ในการฝึกอบรมหัวข้อวิชาต่างๆ นำมารวบรวมไว้ภายใต้หัวข้อนี้ ซึ่งจะทำให้พอเข้าใจได้ว่า จะมีการใช้เทคนิคอะไรบ้างระหว่างการฝึกอบรม ดังตัวอย่างข้างล่างนี้ |
เทคนิคการฝึกอบรม การบรรยาย การอภิปราย การสัมมนากลุ่ม เกม และกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ต่างๆ | |
ที่มา : การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อประมวลวิชา ในโครงการฝึกอบรมการพัฒนาเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ จัดโดย งานฝึกอบรม กองการเจ้าหน้าที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
10. การประเมินผล |
เป็นการระบุว่า จะมีการประเมินผลหรือติดตามผลโครงการฝึกอบรมนั้น ๆ ด้วยวิธีใด โดยใช้เครื่องมืออะไร เช่น |
- ประเมินผลด้วยการให้ผู้เข้าอบรมทำแบบทดสอบก่อน-หลังการฝึกอบรม - สังเกตการณ์การมีส่วนร่วม และการเรียนรู้ของผู้เข้าอบรมระหว่างการฝึกอบรม - ให้ผู้เข้าอบรมกรอกแบบประเมินรายวิชา เพื่อประเมินเนื้อหา วิธีการฝึกอบรม และวิทยากรเมื่อเสร็จสิ้นการอบรมทุกวิชา - ให้ผู้เข้าอบรมกรอกแบบประเมินโครงการ เมื่อเสร็จสิ้นการอบรมแล้ว - ให้ผู้เข้าอบรมแบ่งกลุ่มทำแบบฝึกปฏิบัติ (Assignment) ในช่วงท้ายของการอบรม ฯลฯ |
นั่นคือ ในขั้นตอนของการเขียนโครงการฝึกอบรมนั้น เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโครงการจะต้องมีการดำเนินการ ตามกระบวนการ ประเมินผลโครงการฝึกอบรมไปบ้างแล้ว คือ อย่างน้อยจะต้องได้มีการกำหนดแล้วว่า แผนการรวบรวมข้อมูล ในการประเมินผล และติดตามผลการฝึกอบรมจะเป็นอย่างไร จะดำเนินการประเมินผลด้วยวิธีการใด และใช้เครื่องมืออะไร จึงจะสามารถ นำมาระบุไว้ ในโครงการฝึกอบรมดังกล่าวข้างต้นได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ |
การประเมินผล | 1. ทำการทดสอบก่อน-หลังการอบรมด้วย "แบบทดสอบก่อน - หลังการอบรม" 2. ให้ผู้เข้าอบรมกรอกแบบประเมินโครงการอบรม และประเมินผลการอบรมด้วยวาจาหลังจากสิ้นสุดการอบรมแล้ว 3. เจ้าหน้าที่สังเกตการณ์การฝึกอบรม เพื่อประเมินการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมของผู้เข้าอบรม | |
ที่มา : โครงการฝึกอบรมปฐมนิเทศบุคลากรฝ่ายบริการทางวิชาการและธุรการ จัดโดย งานฝึกอบรม กองการเจ้าหน้าที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
11. การรับรองผลการฝึกอบรม/การผ่านการฝึกอบรม |
เป็นการระบุถึงเงื่อนไขในการที่จะรับรองว่าผู้เข้าอบรมแต่ละรายได้ผ่านการฝึกอบรมหรือไม่ ซึ่งมักจะแบ่งออกเป็นเงื่อนไข เกี่ยวกับ |
1. ระยะเวลาการเข้ารับการฝึกอบรม และ 2. การผ่านการทดสอบ/การส่งผลงาน/ผลการฝึกปฏิบัติตามที่ได้รับมอบหมาย หรือดังตัวอย่างข้างล่างนี้ |
การผ่านการฝึกอบรม : | ผู้เข้าอบรมที่มีระยะเวลาเข้าอบรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 และได้ส่งผลงานการฝึกปฏิบัติ (Assignment) ตามที่วิทยากรกำหนด จึงจะได้รับการรับรองการผ่านการฝึกอบรม จากกองการเจ้าหน้าที่ มธ. | |
ที่มา : โครงการฝึกอบรม การใช้โปรแกรม Microsoft Excel for Windows จัดโดย งานฝึกอบรมกองการเจ้าหน้าที่ ร่วมกับ สถาบันประมวลข้อมูลเพื่อการศึกษาและการพัฒนา มธ. |
12. จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ |
ในโครงการฝึกอบรมของหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งจะขออนุมัติโครงการจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ผ่านกองคลังนั้น ในประมาณการค่าใช้จ่ายที่จะตั้งของบประมาณจะต้องมีข้อมูลประกอบอย่างครบถ้วน นั่นคือ มีการระบุว่าบุคคลที่จะเข้าร่วมโครงการ หรือผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งจะต้องนำมาคำนวณค่าใช้จ่ายด้วยนั้น มีกี่ประเภทๆ ละ กี่คน รวมเป็นกี่คน ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการคิด คำนวนค่าใช้จ่ายของโครงการดังตัวอย่างข้างล่างนี้ |
ผู้เข้าร่วมโครงการ | | 1. ผู้เข้าร่วมประชุมฯ | 36 คน | 2. วิทยากรและที่ปรึกษาประจำกลุ่ม | 5 คน | 3. คณะกรรมการรื้อปรับกระบวนการทำงานในสำนักงานอธิการบดี | 4 คน | 4. เจ้าหน้าที่และพนักงานขับรถ | 6 คน | รวม | 51 คน | |
ที่มา : โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อรื้อปรับกระบวนการทำงานในสำนักงานอธิการบดี ครั้งที่ 1จัดโดย งานฝึกอบรม กองการเจ้าหน้าที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
13. ประมาณการค่าใช้จ่ายของโครงการฝึกอบรม |
ในการจัดทำประมาณการค่าใช้จ่ายของโครงการฝึกอบรม ก่อนอื่นผู้รับผิดชอบจะต้อง ตระหนักว่าค่าใช้จ่าย ที่แท้จริง ทั้งหมด ในการจัดโครงการฝึกอบรม แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ |
ก. ค่าใช้จ่ายของโครงการ หรืองบประมาณส่วนที่จ่ายจริง ได้แก่ ค่าใช้จ่ายที่ขออนุมัติจ่ายไว้ในโครงการฝึกอบรม โดยสามารถ ระบุ ได้อย่างชัดเจนเป็นรายการต่าง ๆ ตามความจำเป็น (ไม่ว่าจะขอเบิกจ่ายจากงบประมาณส่วนใดก็ตาม) |
ข. ค่าใช้จ่ายแฝง ได้แก่ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจริง หรือมีการใช้จ่ายอยู่จริง แต่ไม่สามารถระบุรายการค่าใช้จ่ายนั้นๆ เป็นจำนวนเงินได้อย่างชัดเจน เช่น ค่าสาธารณูปโภค(น้ำ ไฟ โทรศัพท์) ค่าใช้สถานที่ในการจัดฝึกอบรม ค่าวัสดุอุปกรณ์และเครื่องเขียน เช่น กระดาษ แผ่นใส ปากกาไวท์บอร์ด ฯลฯ ซึ่งไม่ได้จัดซื้อเพื่อการฝึกอบรมนั้นๆโดยเฉพาะ(ไม่ได้ใช้เงินของโครงการฝึกอบรมนั้น) ค่าใช้ครุภัณฑ์ต่างๆ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือโสตทัศนูปกรณ์ในการฝึกอบรม ตลอดจนเงินเดือนค่าจ้างของเจ้าหน้าที่ และผู้เข้า อบรมตลอดระยะเวลาที่มาเข้ารับการฝึกอบรม |
อย่างไรก็ตาม ในการประมาณการค่าใช้จ่ายในการจัดโครงการฝึกอบรม เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบจะคิดเฉพาะเพียงค่าใช้จ่าย ของโครงการ หรืองบประมาณที่จ่ายจริงเท่านั้น หลักการประมาณการค่าใช้จ่ายนั้น ผู้คิดประมาณการจะต้องศึกษา และทำความเข้าใจ สิ่งต่อไปนี้ : |
1) รายละเอียดโครงการฝึกอบรม แผนการดำเนินการฝึกอบรม ตลอดจน กำหนดการฝึกอบรมอย่างละเอียด |
2) หลักเกณฑ์และอัตราการเบิกจ่ายเงินงบประมาณตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมของ ส่วนราชการ พ.ศ. 2545 (ดังแนบไว้ในภาคผนวก หมายเลข6) รวมทั้งหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากค่าใช้จ่ายรายการ พื้นฐานในการจัดโครงการฝึกอบรมของส่วนราชการนั้น หากมีวงเงินงบประมาณได้รับจัดสรรไว้ จะสามารถเบิกจ่าย จากงบประมาณ แผ่นดินได้ และถึงแม้จะเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายจากรายได้พิเศษของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรืองบประมาณของหน่วยงาน ก็ยังคงต้องยึดถือหลักเกณฑ์ของงบประมาณแผ่นดินเป็นหลักเช่นเดียวกัน และ |
3) หลักเกณฑ์และอัตราการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของมหาวิทยาลัยหรือของหน่วยงาน ในกรณีที่ต้องการเบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่าย จากงบประมาณของมหาวิทยาลัยหรือของหน่วยงาน โดยอาจเป็นการเบิกค่าใช้จ่ายสมทบ ในรายการที่สามารถเบิกจ่ายจากงบประมาณ แผ่นดินได้อยู่แล้ว หรือเป็นการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายบางรายการเพิ่มเติมสำหรับรายการซึ่งไม่สามารถเบิกจ่ายจากงบประมาณแผ่นดินได้ก็ตาม ทั้งนี้ เพื่อทำให้การประมาณการค่าใช้จ่ายมีความถูกต้องตรงกับความจำเป็นในการใช้จ่าย และไม่เป็นอุปสรรคในการดำเนินงาน ตลอดจนไม่ก่อให้เกิดปัญหาในการเบิกจ่ายเงินในระยะเวลาต่อไป |
โดยทั่วไป การประมาณการค่าใช้จ่าย มักจะมีรายการดังต่อไปนี้ |
การประมาณค่าใช้จ่ายโครงการฝึกอบรม | 1. กรณีการฝึกอบรมในสถานที่ทำงาน | 1.1 ค่าสมนาคุณวิทยากร | ตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมของส่วนราชการ พ.ศ.2545 หลักเกณฑ์ในการเบิกจ่ายเงินค่าสมนาคุณวิทยากร ขึ้นอยู่กับลักษณะของการฝึกอบรม คือ | | 1. ชั่วโมงการฝึกอบรมที่มีลักษณะเป็นการบรรยาย ให้จ่ายค่าสมนาคุณวิทยากรไม่เกิน 1 คน | 2. ชั่วโมงการฝึกอบรมที่มีลักษณะเป็นการอภิปรายเป็นคณะ หรือสัมมนา ให้จ่ายค่าสมนาคุณวิทยากรได้ไม่เกิน 5 คน โดยรวมถึงผู้ดำเนินการอภิปรายหรือสัมมนาด้วย | 3. ชั่วโมงการฝึกอบรมที่มีลักษณะเป็นการแบ่งกลุ่มฝึกภาคปฏิบัติ แบ่งกลุ่มอภิปราย หรือแบ่งกลุ่มทำกิจกรรม ซึ่งได้ กำหนดไว้ในหลักสูตรหรือโครงการแล้วและจำเป็นต้องมีวิทยากรประจำกลุ่ม ให้จ่ายค่าสมนาคุณวิทยากรได้ไม่เกินกลุ่มละ 2 คน | 4. ชั่วโมงการฝึกอบรมใดมีวิทยากรเกินกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ข้างต้นให้เฉลี่ยจ่ายค่าสมนาคุณภายใน จำนวนเงิน ที่จ่ายได้ ตามหลักเกณฑ์ | ทั้งนี้ การฝึกอบรม 1 ชั่วโมง ต้องมีเวลาไม่น้อยกว่า 50 นาที หากการฝึกอบรมมีเวลาไม่เต็มชั่วโมง แต่ไม่น้อยกว่า 25 นาที ให้เบิกจ่ายเงินค่าสมนาคุณได้กึ่งหนึ่ง | ส่วนอัตราการจ่ายเงินค่าสมนาคุณวิทยากรนั้น ตามระเบียบฯ ดังกล่าวขึ้นอยู่กับ : | ก. ระดับของการฝึกอบรม ซึ่งมี 3 ระดับ คือ - การฝึกอบรม ระดับต้น ซึ่งผู้เข้าอบรมส่วนใหญ่เป็นข้าราชการระดับ 1 - 2 - การฝึกอบรม ระดับกลาง ซึ่งผู้เข้าอบรมส่วนใหญ่เป็นข้าราชการระดับ 3 - 8 - การฝึกอบรม ระดับสูง ซึ่งผู้เข้าอบรมส่วนใหญ่เป็นข้าราชการระดับ 9 ขึ้นไป | ทั้งนี้ ในปัจจุบัน อัตราค่าสมนาคุณวิทยากร คือ | - ค่าสมนาคุณวิทยากรในการฝึกอบรมระดับต้นและระดับกลาง ไม่เกินชั่วโมงละ 600 บาท | - ค่าสมนาคุณวิทยากรในการฝึกอบรมระดับสูง ไม่เกินชั่วโมงละ 800 บาท | ข. สังกัดของวิทยากร ว่ามาจากภาคราชการ หรือมิใช่ภาคราชการ (วิทยากรภาคราชการ หมายถึง วิทยากรที่เป็นข้าราชการ พนักงานและลูกจ้างของส่วนราชการ หน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรมหาชน รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ ) กล่าวคือ หากเป็นวิทยากรซึ่งมิได้มาจากภาคราชการ ให้จ่ายค่าสมนาคุณวิทยากรเพิ่มได้อีกไม่เกินหนึ่งเท่า ของอัตราดังระบุในข้อ ก. | 1.2 ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่ม | อัตราค่าอาหารว่างและเครื่องดื่มในสถานที่ของทางราชการและรัฐวิสาหกิจ ตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ ไม่เกิน มื้อละ(ครึ่งวัน) 25 บาท/คน หากต้องการเบิกจ่ายเฉพาะค่าเครื่องดื่มอย่างเดียว อัตราค่าเครื่องดื่มไม่เกิน มื้อละ 10 บาท/คน | 1.3 ค่าอาหารกลางวัน | อัตราค่าอาหารกลางวันโดยตรงนั้นไม่มีปรากฏในระเบียบกระทรวงการคลัง หากมีการกำหนดค่าอาหารในกรณีจัด ไม่ครบทุกมื้อ (ใน 1 วัน) และจัดฝึกอบรมในสถานที่ของทางราชการ ระเบียบฯได้กำหนดอัตราค่าอาหารในการฝึกอบรม ไว้ดังนี้ | - การฝึกอบรม ระดับต้น ไม่เกิน 200 บาท/วัน/คน - การฝึกอบรม ระดับกลาง ไม่เกิน 300 บาท/วัน/คน - การฝึกอบรม ระดับสูง ไม่เกิน 400 บาท/วัน/คน | ในกรณีของ มธ. หากห้องประชุมที่ใช้เป็นสถานที่จัดฝึกอบรมไม่สะดวกที่จะจัดเลี้ยงอาหารกลางวัน แต่ผู้จัดการ ฝึกอบรม ประสงค์จะอำนวยความสะดวกแก่ผู้เข้าอบรม เพื่อประหยัดเวลา หรือในกรณีที่ต้องการประหยัดงบประมาณ อาจใช้อาหารกล่องแทนก็ได้ | 1.4 ค่าใช้จ่ายในการใช้และการตกแต่งสถานที่ฝึกอบรม | ตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ สามารถเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการใช้และตกแต่งสถานที่ฝึกอบรมได้เท่าที่จ่ายจริง ค่าใช้จ่าย ในรายการนี้ ได้แก่ ค่าแจกันดอกไม้ ค่าจัดทำป้ายชื่อโครงการฝึกอบรม เป็นต้น | 1.5 ค่าใช้จ่ายในพิธีเปิด-ปิดการฝึกอบรม | สำหรับการฝึกอบรมที่เน้นพิธีการ ก็อาจตั้งขอค่าใช้จ่ายในพิธีเปิด-ปิดการฝึกอบรม ซึ่งระเบียบกระทรวงการคลังฯ ได้กำหนด ไว้ให้เบิกจ่ายได้เท่าที่จ่ายจริง ไม่เกินราคามาตรฐานที่กระทรวงการคลังกำหนด(ถ้ามี) ซึ่งแต่เดิมได้เคยมีอัตรากำหนดไว้พอสรุปได้ ดังนี้ | - การฝึกอบรมที่มีระยะเวลาฝึกอบรมไม่เกิน 2 วัน ให้เบิกจ่ายสำหรับพิธีเปิดและพิธีปิดการฝึกอบรม ในวงเงิน 400 บาท - การฝึกอบรมที่มีระยะเวลาฝึกอบรมเกินกว่า 2 วันขึ้นไป ให้เบิกจ่ายสำหรับพิธี เปิดและพิธีปิด ได้ครั้งละ 400 บาท | 1.6 ค่าวัสดุ เครื่องเขียน และอุปกรณ์ | โดยปกติแล้วค่าวัสดุต่าง ๆ ในการจัดทำเอกสารประกอบการอบรม ตลอดจน ค่าเครื่องเขียนและอุปกรณ์ต่าง ๆ จะเป็นค่าใช้จ่าย แอบแฝงที่รวมอยู่ในค่าใช้จ่าย และค่าวัสดุของหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดโครงการฝึกอบรม ดังนั้น หากจะมีการขอเบิกจ่าย ค่าวัสดุในโครงการฝึกอบรมอีก มักจะเป็นค่าวัสดุซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการ จัดโครงการฝึกอบรม ดังกล่าวเป็นการเฉพาะเท่านั้น | ค่าใช้จ่ายรายการนี้ โดยทั่วไปแล้ว สามารถเบิกจ่ายตามระเบียบกระทรวงการคลังได้เท่าที่จ่ายจริง แต่อาจมีบางรายการ ที่มีราคามาตรฐานที่กระทรวงการคลังกำหนด ก็จะเบิกจ่ายได้เท่ากับราคามาตรฐานเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การจัดทำเอกสารประกอบ การอบรม ในปัจจุบันอาจจะมีวิธีผลิตเอกสารได้หลายวิธี เช่น การถ่ายเอกสาร การผลิตสำเนาด้วยเครื่องถ่ายสำเนาแบบดิจิตอล (Copy Printer) ซึ่งสามารถผลิตสำเนาเอกสารได้อย่างมีคุณภาพและราคาประหยัดกว่าเดิม ผู้รับผิดชอบโครงการอาจ ประมาณการ ค่าใช้จ่ายเป็นรายการ ค่าถ่ายเอกสารประกอบการอบรม หรือ ค่าผลิตเอกสารด้วยเครื่องถ่ายสำเนาแบบดิจิตอลโดยตรง ตามจำนวน ที่คาดว่าจะจ่ายจริงก็ได้ | 1.7 ค่าพาหนะรับจ้างสำหรับวิทยากรภายนอก | ตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ การจัดรถรับ-ส่งวิทยากรภายนอก (ทั้งภาคราชการ และภาคเอกชน) อาจทำได้โดยต้องรับส่ง จากสำนักงานของวิทยากรดังกล่าว ไป-กลับยังหน่วยงานผู้จัดการฝึกอบรม (ไม่ใช่จากที่พักอาศัย) โดยเบิกจ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ เท่าที่จ่ายจริง หากใช้รถราชการ แต่ในทางปฏิบัติบางกรณีอาจไม่สะดวก จำเป็นต้องขอให้วิทยากรใช้บริการพาหนะรับจ้าง (รถแท็กซี่) ในการเดินทาง โดยผู้จัดดำเนินการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้ กรณีเบิกจ่ายค่าพาหนะรับจ้างนี้ ต้องประมาณการเป็น รายการค่าพาหนะ รับจ้างไว้เป็นเงินจำนวนหนึ่ง เมื่อจ่ายเงินค่าพาหนะรับจ้างให้วิทยากร ต้องคำนวณค่าใช้จ่ายตามระยะทาง จากสำนักงาน ของวิทยากร มายัง มธ. ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกอบรม โดยคำนึงถึงสภาพการจราจรโดยปกติของเส้นทางดังกล่าวด้วย หากการจราจรติดขัด เป็นประจำ อาจต้องประมาณการเพิ่มด้วย (รายการนี้จะไม่สามารถเบิกจ่ายจากงบประมาณแผ่นดินได้) | 1.8 ค่าใช้จ่ายอื่นที่จำเป็นในการจัดฝึกอบรม | เป็นรายการค่าใช้จ่ายที่ขอตั้งงบประมาณสำรองไว้ เผื่อจะมีรายการค่าใช้จ่ายจำเป็นที่ไม่ได้คาดหมายไว้เกิดขึ้น จะสามารถ มีวงเงิน สำหรับใช้จ่ายได้ | |
2. กรณีการฝึกอบรมนอกสถานที่ทำงาน (ต่างจังหวัด) รวมทั้งกรณีการจัดไปดูงานนอกสถานที่ | เนื่องจากระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมของส่วนราชการได้กำหนดอนุญาตเอาไว้ว่า การพิจารณา หาสถานที่เพื่อจัดฝึกอบรมให้อยู่ในดุลยพินิจของหัวหน้าส่วนราชการเจ้าของงบประมาณ ดังนั้น ในการจัดฝึกอบรม บางโครงการ ซึ่งหวังจะได้รับประโยชน์จากข้อดีของการจัดฝึกอบรมนอกสถานที่ทำงาน ซึ่งได้แก่ 1) การดึงดูดผู้เข้าร่วมโครงการ ให้สนใจมาเข้าร่วม มากขึ้น เนื่องจากได้มีการเปลี่ยนสถานที่ 2) ตัดขาดผู้เข้าร่วมโครงการจากการรบกวนของงานประจำ 3) ส่งเสริมให้สามารถดำเนิน กิจกรรม ระหว่างการฝึกอบรมได้สะดวกขึ้น เช่น การสัมมนากลุ่ม การแบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติ กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ต่างๆ และกิจกรรมนอก ห้องประชุม เช่น กิจกรรม Walk Rally 4) เป็นการสร้างบรรยากาศในการฝึกอบรม และ 5) เป็นการสร้างความสัมพันธ์ ระหว่าง ผู้เข้าร่วมโครงการได้มากขึ้น | ในกรณีนี้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากกรณีจัดฝึกอบรมในสถานที่ทำงานอีกหลายด้าน จำเป็นที่ผู้จัดโครงการฝึกอบรม ต้อง วางแผน และเตรียมการอย่างรอบคอบ รายการค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ | 2.1 ค่าที่พัก | ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมของส่วนราชการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2541 กำหนดให้ใช้อัตรา ค่าเช่าที่พักในการฝึกอบรมในประเทศ (ทั้งในกรณีเช่าที่พักของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน) ตามบัญชีหมายเลข 4 ดังนี้ | บาท : คน | | | ระดับการฝึกอบรม | อัตราค่าเช่าที่พักคนเดียว | อัตราค่าเช่าที่พัก 2 คน | 1. การฝึกอบรมระดับต้น | ไม่เกิน 600 บาท | ไม่เกิน 450 บาท | 2. การฝึกอบรมระดับกลาง | ไม่เกิน 800 บาท | ไม่เกิน 550 บาท | 3. การฝึกอบรมระดับสูง | ไม่เกิน 1,600 บาท | ไม่เกิน 1,100 บาท | | 2.2 ค่าอาหาร | โดยปกติแล้ว ผู้จัดโครงการฝึกอบรมจะต้องจัดเตรียมอาหารให้ผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมด โดยประมาณการค่าอาหาร ตามข้อมูลที่ได้สอบถามจากสถานที่ซึ่งจะไปจัดการฝึกอบรม ว่าอาหารมื้อใด ราคาเท่าใดบ้าง และจะต้องกำหนดราคาค่าอาหารต่อวัน รวมแล้วไม่เกินอัตราค่าอาหารในการฝึกอบรมตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ ดังนี้ | |
อัตราค่าอาหารในการฝึกอบรม | (บาท : คน : วัน) | |
ระดับการฝึกอบรม | การฝึกอบรมในสถานที่ของ ทางราชการหรือรัฐวิสาหกิจ | การฝึกอบรมในสถานที่ของเอกชน | จัดครบทุกมื้อ | จัดไม่ครบทุกมื้อ | จัดครบทุกมื้อ | จัดไม่ครบทุกมื้อ | 1. การฝึกอบรม ระดับต้น | ไม่เกิน 300 | ไม่เกิน 200 | ไม่เกิน500 | ไม่เกิน 250 | 2. การฝึกอบรม ระดับกลาง | ไม่เกิน 500 | ไม่เกิน 300 | ไม่เกิน 800 | ไม่เกิน 400 | 3. การฝึกอบรม ระดับสูง | ไม่เกิน 700 | ไม่เกิน 400 | ไม่เกิน 1,000 | ไม่เกิน 500 | |
จากอัตราดังกล่าวข้างต้น ผู้ประมาณการค่าอาหารจะต้องคำนึงไว้ว่า ไม่ว่าจะต้องเบิกจ่ายค่าอาหาร 1 มื้อ หรือ 2 มื้อ ภายในวันเดียวกัน จะต้องเบิกค่าใช้จ่ายในอัตราไม่เกินวงเงินเท่ากัน เช่น เมื่อจัดฝึกอบรมระดับกลาง ในโรงแรมของเอกชน โดยจัดอาหารเย็น จำนวน 1 มื้อ ในวันแรกที่เข้าพัก จะขอตั้งงบประมาณเป็นเงินจำนวน 250 บาทต่อคน (ไม่เกินอัตรา 400 บาท/คน/วัน) ในวันดังกล่าว แต่หากจำเป็นต้องจัดทั้งอาหารกลางวัน และอาหารเย็นในวันดังกล่าว ก็จะสามารถตั้งงบประมาณ รวมกันทั้ง 2 มื้อได้ไม่เกิน 400 บาทต่อคน เช่นเดียวกัน | 2.3 ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่ม | อัตราค่าอาหารว่างและเครื่องดื่มตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ ขึ้นอยู่กับสถานที่จัดการฝึกอบรมว่าเป็น ของทางราชการ หรือเอกชน ดังตารางข้างล่างนี้ | |
ระดับการฝึกอบรม | การฝึกอบรมในสถานที่ของ ทางราชการหรือรัฐวิสาหกิจ | การฝึกอบรมในสถานที่ของเอกชน | อาหารว่างและเครื่องดื่ม | เครื่องดื่ม | อาหารว่างและเครื่องดื่ม | เครื่องดื่ม | ทุกระดับ | ไม่เกิน 25 บาท | ไม่เกิน 10 บาท | ไม่เกิน 50 บาท | ไม่เกิน 20 บาท | | |
|
ดังนั้น ก่อนที่จะประมาณการค่าอาหารว่างและเครื่องดื่มในการฝึกอบรมนอกสถานที่ ผู้ประมาณการจึงต้องทราบว่า จะใช้สถานที่ประเภทใดในการฝึกอบรม เพื่อจะได้ประมาณการตรงตามที่ผู้จัดเรียกเก็บและไม่เกินอัตราดังระบุข้างต้น | 2.4 ค่ายานพาหนะ | โดยปกติผู้จัดการฝึกอบรมจะต้องเป็นผู้ดำเนินการจัดยานพาหนะสำหรับการเดินทางไปฝึกอบรมนอกสถานที่ การประมาณ การค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับประเภทของยานพาหนะที่จะใช้ | หากใช้รถของส่วนราชการ ตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ สามารถเบิกจ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิงได้เท่าที่จ่ายจริง จึงควร ประมาณการค่าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยคำนวณตามระยะทางไป-กลับ ประเภทของรถและราคาของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ เช่น ถ้าเป็นน้ำมัน เบนซินจะต้องประมาณการราคาสูงกว่าน้ำมันดีเซล รถบัสจะใช้น้ำมันสิ้นเปลืองกว่ารถยนต์ เป็นต้น | | | | สำหรับในกรณีที่ไม่สามารถใช้รถยนต์ของส่วนราชการได้ และผู้จัดโครงการพิจารณาเห็นว่าเป็นการเหมาะสม ที่จะใช้ รถยนต์เช่าเหมาทั้งคันนั้น เนื่องจากไม่มีระเบียบกระทรวงการคลังฯ กำหนดรายละเอียดการเบิกจ่ายเอาไว้ จำเป็นต้องขอเบิกจ่าย จาก งบประมาณของหน่วยงาน และหากประสงค์จ่ายจากงบประมาณแผ่นดิน ก็จะต้องขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังเป็นกรณี ๆ ไป | 2.5 ค่าเช่าหรือค่าใช้สถานที่ฝึกอบรม | ค่าใช้จ่ายรายการนี้ หมายถึง ค่าใช้ห้องประชุม ค่าใช้ห้องประชุมสัมมนากลุ่มย่อย หรือสถานที่ในการจัด กิจกรรมต่าง ๆ ในการฝึกอบรม รวมทั้งกิจกรรมของผู้เข้าอบรม ซึ่งเจ้าของสถานที่พัก อาจเรียกเก็บแยกต่างหากจากค่าเช่าที่พักของผู้เข้าอบรม ค่าใช้จ่ายรายการนี้มักจะไม่ใคร่เกิดขึ้นในกรณีใช้สถานที่พักของเอกชน เนื่องจากได้มีการคิดค่าบริการ และค่าใช้สถานที่ ดังกล่าว รวมไว้กับค่าเช่าที่พักและอาหารอยู่แล้ว แต่ในกรณีค่าเช่าสถานที่พักของหน่วยราชการหรือรัฐวิสาหกิจ อาจมีการแยกคิดต่างหากได้ ค่าใช้จ่ายดังกล่าวสามารถเบิกจ่ายจากงบประมาณแผ่นดินได้ตามที่จ่ายจริง ตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ | 2.6 ค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสาร | ค่าใช้จ่ายรายการนี้ ผู้ประมาณการอาจกำหนดประมาณการไว้เป็นเงินจำนวนเล็กน้อย เพื่อใช้เป็นค่าโทรศัพท์ และค่าส่งโทรสาร สำหรับในกรณีที่มีเหตุจำเป็นในการติดต่อประสานงานระหว่างการเดินทางไปฝึกอบรมนอกสถานที่ และสามารถเบิกจ่ายได้เท่าที่จ่ายจริง ตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ | 2.7 ค่าสมนาคุณพนักงานขับรถยนต์ และค่าสมนาคุณเจ้าหน้าที่ช่วยงาน | โดยปกติผู้จัดโครงการฝึกอบรมควรจัดที่พักและอาหารให้แก่พนักงานขับรถยนต์และเจ้าหน้าที่ช่วยงาน ในการจัดฝึกอบรม นอกสถานที่เช่นเดียวกับวิทยากร และผู้เข้าอบรมอยู่แล้ว ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ดังกล่าว จึงไม่สามารถ ขอเบิกค่าเบี้ยเลี้ยงหรือเงินอื่นใด ตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ ให้แก่เจ้าหน้าที่ทั้งสองประเภทดังกล่าวได้อีก แต่ในกรณีของ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งต้องการสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พนักงานขับรถยนต์ จึงได้มีการกำหนดอัตราเงินค่าสมนาคุณพนักงานขับรถยนต์และเจ้าหน้าที่ในการฝึกอบรมในการจัดฝึกอบรมนอกสถานที่ ให้สามารถ เบิกจ่ายจากงบประมาณของหน่วยงานได้ คือ | | ตำแหน่ง | พนักงานขับรถยนต์ | เจ้าหน้าที่จัดฝึกอบรม | อัตรา | คนละ/วันละ 200 บาท | คนละ/วันละ 80 บาท | | | ทั้งนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ดังกล่าวปฏิบัติงานครบ 24 ชั่วโมงแล้ว มีระยะเวลาปฏิบัติงานต่อเนื่องอีกครบ 12 ชั่วโมง ให้นับเพิ่ม เป็นอีก 1 วัน | |
2.8 ค่าใช้จ่ายอื่นที่จำเป็นในการฝึกอบรม | ในการเดินทางไปจัดการฝึกอบรมนอกสถานที่ อาจมีค่าใช้จ่ายจำเป็น ซึ่งไม่สามารถประมาณการได้ หรือไม่คาดคิดมาก่อน เกิดขึ้นได้ เช่น ค่าผ่านทางด่วน หรือทางพิเศษต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องขอประมาณการค่าใช้จ่ายจำเป็นสำรองไว้จำนวนหนึ่งด้วย | นอกจากนั้น ในการประมาณการค่าใช้จ่ายทั้งหมด จะต้องระบุด้วยว่าจะขอเบิกจ่ายจากงบประมาณใดบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากแต่ละรายการขอเบิกจ่ายจากงบประมาณต่างกัน และต้องสรุปยอดรวมที่จะขอเบิกจ่ายจากงบประมาณแต่ละประเภทไว้ด้วย ดังตัวอย่างการประมาณการค่าใช้จ่ายข้างล่างนี้ | |
|
ที่มา : การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อประมวลวิชา ตามโครงการฝึกอบรมการพัฒนาเจ้าหน้าที่ระดับ ปฏิบัติการยุคใหม่ รุ่นที่ 3 จัดโดย งานฝึกอบรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | 14. ที่ปรึกษาโครงการฝึกอบรม | สำหรับบางหน่วยงาน เช่น โครงการฝึกอบรมของสถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ. จะต้องมีหัวข้อ "ที่ปรึกษาโครงการฝึกอบรม" ไว้เพื่อเป็นการสร้างศรัทธาและความเชื่อถือให้กับผู้ที่สนใจจะมาเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรนั้น ๆ ทั้งนี้ เพราะผู้ซึ่งมีชื่อเป็นที่ปรึกษาของโครงการมักจะเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงของหน่วยงานที่รับผิดชอบจัดโครงการฝึกอบรม หรือเป็นผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก และยอมรับในด้านความรู้ความสามารถและประสบการณ์ อาจช่วยทำให้โครงการ ฝึกอบรมซึ่งมีท่านเหล่านั้นเป็นที่ปรึกษา ดูมีคุณค่าขึ้น | ดังนั้น หากโครงการฝึกอบรมใดมีผู้บังคับบัญชาหรือผู้บริหารระดับสูง ตลอดจน ผู้ทรงคุณวุฒิช่วยให้คำแนะนำปรึกษาอยู่จริง ก็น่าจะมีหัวข้อนี้เพื่อใส่รายชื่อของท่านที่ได้ช่วยให้การปรึกษาแนะนำไว้ด้วย ทั้งนี้ ในความคิดเห็นของผู้เขียน มิใช่เพื่อเป็นการสร้าง ความศรัทธาเชื่อถือที่ผู้เข้าอบรมจะมีต่อโครงการฝึกอบรมเป็นประการสำคัญ หากเพื่อเป็นการให้เกียรติ และแสดงถึงการตระหนัก ในคุณค่าของการให้คำแนะนำปรึกษาของท่านเหล่านั้นเสียมากกว่า | การใส่รายชื่อของที่ปรึกษา ควรระบุชื่อ - สกุล ตำแหน่งหน้าที่เฉพาะที่สำคัญและหน่วยงานที่สังกัดไว้ด้วย | 15. ผู้รับผิดชอบโครงการฝึกอบรม | ในกรณีที่โครงการฝึกอบรมมีเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบจัดและดำเนินโครงการเป็นการเฉพาะ ย่อมจำเป็นที่จะต้องระบุ ชื่อ - สกุล ตำแหน่ง หน่วยงานที่สังกัด หมายเลขโทรศัพท์ โทร-สาร ของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบไว้อย่างชัดเจนในรายละเอียดของโครงการ แต่ในบางกรณีที่โครงการฝึกอบรมใหญ่มาก มีระยะฝึกอบรมยาวนาน เจ้าหน้าที่หลายคนต้องร่วมรับผิดชอบดำเนินงานแต่ละด้าน หรือมีหลายหน่วยงานร่วมกันรับผิดชอบดำเนินงานในด้านต่าง ๆ อาจระบุเฉพาะชื่อหน่วยงาน งานด้านที่รับผิดชอบดำเนินการ และหมายเลขโทรศัพท์ โทรสารก็ได้ ดังตัวอย่างข้างล่างนี้ | | หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการ | งานฝึกอบรม กองการเจ้าหน้าที่ - เจ้าของโครงการ โทร 6235080, 6132060-1 โทรสาร 2233754 | สถาบันภาษา - ดำเนินงานด้านวิชาการของโครงการ โทร 6133101-2 | งานการเจ้าหน้าที่ กองงานศูนย์รังสิต - ร่วมประสานงานโครงการ ณ มธ.ศูนย์รังสิต โทร 5644440 ต่อ 1107, 1108 | | | ที่มา : โครงการฝึกอบรมภาษาอังกฤษสำหรับบุคลากร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจำภาค 2/2542 | |
|
15. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ | เป็นการระบุถึงประโยชน์หรือผลที่คาดว่าจะได้รับจากความสำเร็จของการจัดโครงการฝึกอบรม ทั้งผลทางตรง และผลทางอ้อมที่ดีต่าง ๆ และมีใครบ้าง (ส่วนใหญ่จะเป็นผู้เข้าอบรม) จะได้รับประโยชน์อะไรทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ นั่นคือ จะต้องตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการฝึกอบรมที่ได้กำหนดไว้นั่นเอง[22] | วิธีการเขียน มักใช้การเขียนแบบบรรยายความ แต่เขียนเพียงย่อหน้าสั้น ๆ เนื้อหากระชับได้ใจความเท่านั้น หรืออาจเขียนเป็น ข้อ ๆ ก็ได้ | อย่างไรก็ตาม เท่าที่ผู้เขียนสังเกตจากการเขียน "ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ" ในโครงการต่าง ๆ แล้วเชื่อว่า เป็นการเขียน ถึง "วัตถุประสงค์สูงสุด" หรือ "วัตถุประสงค์ในอุดมคติ" ดังที่ อาจารย์กริช อัมโภชน์ ได้อธิบายเอาไว้ (อธิบายไว้ในบทที่ 4: การสร้าง หลักสูตรฝึกอบรม)นั่นเอง | | ตัวอย่าง : โครงการฝึกอบรมการบริหารสำหรับผู้บังคับบัญชา | ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ | คาดว่า จะทำให้ผู้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรการบริหารสำหรับผู้บังคับบัญชา สามารถนำความรู้ด้าน การบริหารงาน บริหารคน และบริหารตนเองไปใช้ และปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งนำไปปรับใช้ ในการ ปกครองบังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา ด้วย กุศโลบายอย่างมีประสิทธิภาพ | | | โดยสรุปแล้ว โครงสร้างหรือรูปแบบของโครงการฝึกอบรม ควรจะเป็นดังนี้ : | | |
[22] หมายเหตุ เท่าที่ผู้เขียนสังเกตจากการเขียน "ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ" ในโครงการต่าง ๆ แล้ว เชื่อว่า เป็นการเขียนถึง "วัตถุประสงค์สูงสุด" หรือ "วัตถุประสงค์ในอุดมคติ" ดังที่อาจารย์กริช อัมโภชน์ ได้อธิบายเอาไว้ (ในบทที่ 4 : การสร้าง หลักสูตร ฝึกอบรม) นั่นเอง | |
[1] สายสอางค์ แกล้วเกษตรกรณ์ , อ้างแล้ว , หน้า 3. |
[2] โปรดดูรายละเอียดเรื่อง การกำหนดวัตถุประสงค์ในการฝึกอบรม ในบทที่ 4 หน้า36-38 |
[3] วรภา ชัยเลิศวนิชกุล, การแก้ปัญหาและการตัดสินใจ, ชุดฝึกอบรมเรื่องการบริหารสำหรับผู้บังคับบัญชา, สถาบันพัฒนาข้าราชการ พลเรือน, สำนักงาน ก.พ. หน้า 103 |
ที่มา : https://www.tu.ac.th/org/ofrector/person/train/handbook/fix.html