พัฒนาการของโครงการทวิภาษา (ไทย-มลายูถิ่น) สุวิไล เปรมศรีรัตน์ ศูนย์ศึกษาและฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมในภาวะวิกฤต สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล [email protected]
|
|
โครงการทวิภาษา(ไทย - มลายูถิ่น) ที่ดำเนินการอยู่ในโรงเรียนเขตพื้นที่สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นับเป็นความพยายามที่จะหาแนวทางในการแก้เหตุของปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ในระยะยาว ซึ่งประชากรกว่า 83 % พูดภาษามลายูถิ่นซึ่งเรียกว่า “มลายูปาตานี” นับถือศาสนาอิสลาม และมีจัดการศึกษาตามแนวทางอิสลาม ปัจจุบันมีปัญหาด้านการเมือง ปัญหาความขัดแย้งทางวัฒนธรรมและการสื่อสารระดับลึก อัตลักษณ์ทางภาษาซึ่งผูกพันกับศาสนาและความเป็นคนไทยเชื้อสายมลายู ยังไม่ได้รับการยอมรับ และผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเยาวชนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานชาติ(ต่ำที่สุดในประเทศ) มีสาเหตุสำคัญมาจากการจัดการเรียนการสอนที่ขาดการเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ ระหว่างภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่นกับภาษาและวัฒนธรรมของโรงเรียน ซึ่งใช้ภาษาราชการ (ภาษาไทย) เพียงภาษาเดียวเป็นสื่อ ทำให้เป็นอุปสรรคในการพัฒนาสมองและการเรียนรู้ และทำให้คนจำนวนหนึ่งเชื่อว่าเป็นความจงใจที่จะใช้การศึกษาภาคบังคับเป็นเครื่องมือทำลายอัตลักษณ์ทางภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าที่ผ่านมาจะได้มีความพยายามในการพัฒนาความรู้ความสามารถทางภาษาไทยเป็นอย่างมากและหลายรูปแบบ เพื่อให้ประชากรในพื้นที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือของการศึกษาและดำรงชีวิตในสังคมไทย แต่ก็ยังไม่สามารถกล่าวได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง ครูและโรงเรียนยังคงเป็นเป้าหมายของความรุนแรงมาโดยตลอด |
|
จากข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ และรัฐบาลที่ให้หาแนวทางในการจัดการศึกษาที่เหมาะสมในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้โดยคำนึงถึงฐานทางภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่น จึงได้มีความพยายามในการนำภาษาแม่ของคนในจังหวัดชายแดนใต้ คือ ภาษามลายูถิ่นหรือภาษามลายูปาตานีในสามจังหวัด ปัตตานี ยะลา นราธิวาส รวมทั้ง 4 อำเภอ ในจังหวัดสงขลา และภาษามลายูถิ่นสตูลมาใช้ในการเรียนการสอนควบคู่ไปกับภาษาราชการ(ภาษาไทย) ในระบบของการจัดการศึกษาแบบทวิภาษา ซึ่งนอกจากจะช่วยรักษาอัตลักษณ์ความเป็นคนไทยเชื้อสายมลายูไว้ได้ในกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงในสังคมปัจจุบัน ตามความปรารถนาของเจ้าของภาษาแล้ว ยังช่วยให้เด็กได้เรียนอย่างมีความสุข ไม่เครียด ไม่มีปัญหาเรื่องการสื่อความหมาย เนื่องจากเป็นภาษาแม่ที่เด็กคุ้นเคย สอดคล้องกับผลการวิจัยทั้งในประเทศและระดับสากล เช่น งานวิจัยผ่านองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ซึ่งชี้ให้เห็นผลดีของการใช้ภาษาท้องถิ่นที่เป็นภาษาแม่เป็นฐานในการจัดการศึกษา และงานวิจัยของศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล ที่พบว่า คนไทยมุสลิมเชื้อสายมลายูใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ส่วนมาก มีการใช้ภาษามลายูถิ่นของตนในชีวิตประจำวันอย่างเข้มข้น และมีความต้องการที่จะให้หน่วยงานภาครัฐสนับสนุนการใช้ภาษาไทยร่วมกับภาษามลายูถิ่นในการเรียนการสอนเพื่อความเข้าใจในการเรียนรู้ของเยาวชนไทยมุสลิมเชื้อสายมลายูอย่างแท้จริง |
|
โครงการวิจัยปฏิบัติการเรื่อง “การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ภาษาท้องถิ่นและภาษาไทยเป็นสื่อ: กรณีการจัดการศึกษาแบบทวิภาษา (ภาษาไทย - ภาษามลายูถิ่น) ในโรงเรียนเขตพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้” เป็นโครงการ 9 ปี ดำเนินการในโรงเรียนนำร่องที่มีนักเรียนพูดภาษามลายูถิ่น 100% ตั้งแต่ระดับปฐมวัย (อนุบาล 1 – อนุบาล 2) จนจบการศึกษาภาคบังคับชั้น ป.1 – ป.6 รวมการเตรียมการอีก 1 ปี มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการเรียนการสอนแบบทวิภาษา(เต็มรูปแบบ) ในโรงเรียนนำร่อง 4 โรงเรียน ในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาสและสตูล เพื่อเป็นต้นแบบสำหรับโรงเรียนที่มีนักเรียนกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีภาษาแม่ต่างจากภาษาราชการ ด้วยการสร้างกระบวนการพัฒนาสมอง ความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้อย่างเป็นระบบด้วยภาษาแม่ของเด็กและการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อเป็นพื้นฐานของการสร้างความเข้มแข็งในการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยต่อยอดสู่การเรียนสาระวิชาความรู้ด้านต่างๆ และการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างเยาวชนไทยมุสลิมเชื้อสายมลายูในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีความสามารถในการใช้ภาษาทั้งภาษาไทยและภาษามลายูถิ่นของตนได้เป็นอย่างดี ทั้งการฟัง พูด อ่าน และเขียน รักษาอัตลักษณ์ท้องถิ่นความเป็นคนไทยมุสลิมเชื้อสายมลายูไว้ได้ พร้อมกับดำรงอัตลักษณ์ความเป็นคนไทยในระดับชาติ ในเวลาเดียวกัน ก็สามารถดำรงตนอยู่ในสังคมไทยได้อย่างมีคุณค่าและมีศักดิ์ศรี อันจะนำไปสู่สันติสุขอย่างยั่งยืน |
|
“โครงการนี้มีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยกู้ศักดิ์ศรีของชาวมลายู (คนไทยเชื้อสายมลายู) ขอขอบคุณคณะกรรมการที่ได้คิดโครงการฟื้นฟูภาษามลายูขึ้นมา ขอวิงวอนต่อพระเจ้าช่วยดลบันดาลให้โครงการนี้มั่นคงยืนนานตลอดไป” |
|
โครงการทวิภาษาไทย - มลายูถิ่น ยึดหลักการพื้นฐานของการศึกษา ซึ่งได้แก่ “การใช้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง” และ “การเรียนรู้สิ่งใหม่จากสิ่งที่รู้อยู่แล้ว” ซึ่งทั้ง 2 ประการนี้ เกี่ยวข้องกันโดยตรง เนื่องจากเด็กจากบ้าน มาสู่โรงเรียนโดยมีทุนทางสังคมและวัฒนธรรมของตนติดตัวมา เมื่อเข้าสู่โรงเรียน และมีการเรียนการสอนด้วยเนื้อหาที่เป็นสากลเพื่อสู่โลกภายนอก จึงต้องมีการเชื่อมโยงภาษาและวัฒนธรรมที่บ้าน ไปสู่ ภาษาและวัฒนธรรมที่โรงเรียน, จากภาษาฟัง-พูด ไปสู่ ภาษาอ่าน-เขียน, จากภาษาที่หนึ่ง (ภาษาแม่/ภาษามลายูถิ่น) ไปสู่ภาษาที่สอง (ภาษาราชการ/ภาษาไทย), จากภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ไปสู่ ภาษาวิชาการ(ภาษานามธรรม) จากสื่อเรื่องของท้องถิ่นสู่เรื่องของสังคมและโลกภายนอกอย่างเป็นขั้นตอน จะทำให้เกิดความมั่นใจ เกิดความคิดสร้างสรรค์ ได้พัฒนาสมองและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โดยสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งที่ได้รู้อยู่แล้วไปทีละขั้นๆ อย่างมั่นคง |
|
การสร้างหลักสูตรการเรียนการสอนแบบทวิภาษาเน้นพัฒนาการของเด็ก 3 ประการ คือ 1. เพื่อพัฒนาการทางภาษา ซึ่งเป็นเครื่องมือของการเรียนรู้และสื่อสาร โดยจัดให้มีการเรียนการสอนภาษาท้องถิ่นซึ่งเป็นภาษาแม่ของเด็ก และใช้เป็นสื่อในการเรียนการสอนในช่วงปีแรกๆ ของการเรียน เน้นพัฒนาการทางภาษาทั้ง 4 ทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน เพื่อปูพื้นฐานการเรียนรู้ที่เข้มแข็ง และในขณะเดียวกันเมื่อเด็กพร้อม จะมีการเชื่อมเข้าสู่การเรียนการสอนภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาที่สอง อย่างเป็นระบบ อันจะมีผลทำให้ผู้เรียนและผู้สอนเกิดความมั่นใจ 2. เพื่อพัฒนาการด้านวิชาการ โดยอิงตามมาตรฐานที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด จัดให้มีการเรียนรู้ทั้ง 8 สาระวิชา และใช้ตำราภาษาไทย ทั้งนี้สำหรับวิธีการจัดการเรียนการสอนนั้น ในเบื้องต้นจะใช้วิธีการอธิบายความคิดรวบยอด(concept) ของเนื้อหาด้วยภาษาท้องถิ่นและใช้แบบฝึกหัดเป็นภาษาท้องถิ่น เพื่อสร้างความเข้าใจและการเรียนรู้ และมีการสอนคำศัพท์ภาษาไทยในแต่ละวิชาและสรุปบทเรียนเป็นภาษาไทย โดยหากครูผู้สอนไม่สามารถพูดภาษาท้องถิ่นจะต้องมีการใช้ครูผู้ช่วยที่พูดภาษามลายูถิ่น ในการดำเนินงานจึงเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างครูผู้สอนสาระวิชาต่างๆ และครูผู้ช่วยที่ใช้ภาษาท้องถิ่น 3. เพื่อพัฒนาการด้านสังคมและวัฒนธรรม ทำให้เด็กมีความภูมิใจในภาษาและวัฒนธรรมของตน ในขณะเดียวกับที่เคารพในความคิด ความเชื่อของบุคคลจากวัฒนธรรมอื่น โดยบรรจุความเป็นท้องถิ่นไปพร้อมกับความเข้าใจวัฒนธรรมส่วนกลาง อันจะนำไปสู่การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมแบบสังคมไทยอย่างเป็นสุข มีคุณภาพชีวิตที่มั่นคงตามความปรารถนา สามารถรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมท้องถิ่นของตนไว้ได้ ในขณะเดียวกับที่เข้าใจและพัฒนาอัตลักษณ์ความเป็นไทยในระดับชาติได้ |
|
การออกแบบหลักสูตรจึงต่างไปจากหลักสูตรปกติทั่วไป โดยเพิ่มการเรียนการสอนภาษามลายูถิ่นตั้งแต่ปฐมวัยไปสู่สาระเพิ่มเติม “มลายูถิ่นศึกษา” ในช่วงชั้นที่สูงขึ้นจนจบประถมศึกษาปีที่ 6 โดยจำนวนเวลาของการเรียนการสอนภาษาท้องถิ่นและการใช้ภาษาท้องถิ่นเป็นสื่อในการเรียนการสอนจะลดลงเรื่อยๆ ผกผันไปกับการเรียนภาษาไทยที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งภาษาอื่นๆ เช่น ภาษาอังกฤษ ดังนั้น ภาษามลายูถิ่นหรือภาษาแม่ จึงเปรียบเสมือนนั่งร้านที่ช่วยเสริมพื้นฐานและโครงสร้างที่แข็งแกร่งสำหรับการเรียนรู้และพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทั้งในภาษาแม่ของตนและในภาษาไทยหรือภาษาอื่นๆ ที่ตามมา ดังนั้น โครงการทวิภาษาจึงไม่ได้เพียงแต่สอนภาษามลายูถิ่นในโรงเรียนเท่านั้น แต่ใช้ภาษามลายูถิ่นสอนให้เด็กคิดเป็น กล้าพูด กล้าแสดงออก กล้าแสดงความคิดเห็น ซึ่งแสดงถึงพัฒนาการสมอง ทั้งนี้ในการดำเนินโครงการทวิภาษาไทย – มลายูถิ่น ได้ใช้วิธีการประชุมปฏิบัติการโดยครูผู้สอนแต่ละชั้น ครูวิชาการ ผู้อำนวยการโรงเรียน ศึกษานิเทศก์และชุมชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในการจัดทำหลักสูตร แผนการเรียนการสอนและการสร้างสื่อ เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทและมีความเป็นท้องถิ่นตามที่ต้องการ การจัดการเรียนการสอนแบบทวิภาษามหิดล – สกว เป็นสูตรยารักษาโรคที่ไม่ใช่สูตรสำเร็จแต่เราจะต้องเอามาปรุงเองให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ |
|
นอกจากนี้ยังมีการสร้างสื่อการเรียนการสอนจำนวนมากและหลากหลายรูปแบบร่วมไปกับกลวิธีในการสอนที่กระตุ้นความคิด จินตนาการและการแสดงออก กล้าพูด กล้าคิดและกล้าแสดง ครูผู้สอนต้องเปลี่ยนจากการเป็นผู้อธิบาย ไปสู่การเป็นผู้ตั้งคำถามและจัดประสบการณ์การเรียนรู้แก่เด็ก โดยทั้งครูไทยมุสลิมและไทยพุทธมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการเรียนการสอน การจัดประสบการณ์และการจัดทำสื่อ รวมถึงการฝึกสอนกลวิธีแบบต่างๆ และการใช้สื่อประกอบ ในการจัดการเรียนการสอนแบบทวิภาษาครูเหนื่อย เนื่องจากต้องตอบคำถามต่างๆ ของเด็ก แต่ครูก็มีความสุขและมีความภูมิใจจากผลที่ปรากฏต่อเด็ก ซึ่งแตกต่างจากรุ่นต่างๆ ที่ผ่านมาในชีวิตการสอนของครู(อนุบาลหนึ่ง) ซึ่งบางคนสอนมามากว่า 10-20 ปี เพราะ “เด็กกล้าพูด กล้าแสดงออก ไม่กลัว เพราะไม่มีอุปสรรคทางภาษามากั้นขวาง ต่างไปจากเมื่อใช้ภาษาไทย เด็กจะลอยและเงียบ” (คำบอกเล่าของครูจิเนาะ ชั้นอนุบาลหนึ่ง โรงเรียนบ้านประจัน จ.ปัตตานี) |
|
ส่วนพ่อแม่ผู้ปกครองก็ดีใจที่ลูกๆ รู้จักวิธีการปฏิบัติตนตามแบบวัฒนธรรมอิสลามที่เหมาะสมและรู้จักการปฏิบัติตนตามมารยาทของไทย มีความพอใจที่เด็กๆ ร้องเพลงเป็นภาษามลายูถิ่นได้ และแปลกใจที่เด็กพูดภาษาไทยได้อย่างชัดเจนในการฝึกออกคำสั่งให้พ่อแม่ปฏิบัติ ตามวิธีการ TRP เมื่อเริ่มเรียนคำศัพท์ภาษาไทยจากโรงเรียน สำหรับทางโรงเรียนและผู้เกี่ยวข้องพอใจผลการประเมินเปรียบเทียบความรู้ด้านภาษามลายูถิ่นและภาษาไทยก่อนและหลังเรียน ซึ่งเห็นชัดเจนถึงพัฒนาการของเด็ก เช่น ความรู้ภาษาไทยของเด็กสามจังหวัดในโรงเรียนทดลอง เมื่อเริ่มเรียนมีความรู้ไม่เกิน 20% แต่หลังจากการเรียน ผลประเมินเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 60% เป็นต้น ผลของการดำเนินงานมามากกว่า 2 ปี ชุมชนในเขตพื้นที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจและความมั่นใจในระบบการศึกษาในระบบโรงเรียนของรัฐมากขึ้น มีจำนวนนักเรียนมาสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนทดลองเพิ่มมากขึ้นในปีต่อๆ มา ชุมชนมีส่วนร่วมกับงานของโรงเรียนมากขึ้น มีความพยายามที่จะผ่อนปรนและผสมผสานความต้องการของชุมชนกับมาตรฐานทางวิชาการมากขึ้น เช่น ในการจัดทำสื่อการอ่านแม้ในหลักการจะใช้ภาษามลายูถิ่นอักษรไทย เพื่อความสะดวกและประสิทธิภาพในการเชื่อมโยงเข้าสู่ภาษาไทย แต่ก็ได้เพิ่มการเขียนชื่อเรื่องหน้าปกด้วยอักษรยาวี หรือเพิ่มคำแปลข้อความด้วยภาษามลายูอักษรยาวีในด้านหลังเช่นเดียวกันคำแปลภาษาไทย อีกทั้งได้วางแผนการทำงานวิจัยเพื่อการศึกษาและฟื้นฟูการใช้ภาษามลายูอักษรยาวี โดยจะบรรจุเป็นส่วนหนึ่งของ “มลายูถิ่นศึกษา” อีกด้วย ทั้งนี้เพื่อสนองต่อความต้องการและความศรัทธาต่ออักษรยาวีของชุมชน ซึ่งในเรื่องนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชน |
|
ในขณะเดียวกัน บุคลากรของกระทรวงศึกษาธิการก็มีความเข้าใจในหลักการและวิธีการของทวิภาษา(เต็มรูปแบบ) มากขึ้นเรื่อยๆ โดยศึกษานิเทศก์มีส่วนร่วมในการทำแผนการเรียนการสอนและติดตามดูแลประเมินผลเป็นอย่างมากและเห็นได้ชัดเจน และเขตพื้นที่เริ่มเข้ามามีส่วนในการสนับสนุนการจัดหาครูที่เป็นเจ้าของภาษาให้เพิ่มเติม ผู้บริหารระดับต่างๆ จากกระทรวงศึกษาธิการเริ่มเข้าใจวิธีการและให้ความร่วมมือในแง่มุมต่างๆ เพิ่มขึ้น จะเห็นได้จากการที่ทีมวิจัยได้รับเชิญให้ไปเสนอแนวคิดและประสบการณ์ในการดำเนินงานโครงการทวิภาษาในที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงของ สพฐ. และสภาการศึกษาได้บรรจุการจัดการศึกษาแบบทวิ(ภาษาไทย-มลายูถิ่น)ในแผนพัฒนาการศึกษาชายแดนภาคใต้ฉบับใหม่ เป็นต้น นอกจากนี้ นักวิชาการของสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำโครงการวิจัยเพื่อการจัดการเรียนการสอนแบบทวิภาษาในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออก รวมทั้งโครงการพัฒนาการเรียนการสอนของชุมชนบริเวณรอบตะเข็บชายแดน โดยทีมวิจัยของโครงการทวิภาษาได้มีส่วนช่วยในการให้ความรู้ในด้านหลักการและวิธีการแก่บุคลากรทางการศึกษาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งนับว่าเป็นการขยายงานและเผยแพร่ความรู้ที่สำคัญ |
|
นอกจากนี้โครงการฯ ได้รับความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ เช่น ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล และสื่อมวลชน ได้เผยแพร่เรื่องราว ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการทวิภาษาสู่สาธารณชนที่ได้ผลมาก เช่น รายการพันแสงรุ้ง ตอนทวิภาษา(ไทย – มลายูปาตานี) ราชบัณฑิตยสถานร่วมมือในการสนับสนุนการใช้ภาษาท้องถิ่นในการจัดทำนโยบายภาษาแห่งชาติ โดยได้จัดประชุมเพื่อส่งเสริมการใช้ภาษาแม่/ ภาษาท้องถิ่นในการศึกษาและในสื่อมวลชนทั้งระดับชาติ (2 ครั้ง) และนานาชาติ (1 ครั้ง) ซึ่งได้รับความเห็นพ้องจากเจ้าของภาษากลุ่มต่างๆ และผู้เกี่ยวข้องถึงกว่า 90% และนอกจากนี้โครงการได้รับเชิญให้นำเสนองานในที่ประชุมของสำนักงานเลขาธิการรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAMEO) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ณ กรุงเทพมหานคร และได้รับคัดเลือกให้เป็นโครงการต้นแบบ (Good Functioning Model) สำหรับประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งจะนำไปใช้ในการจัดการศึกษาสำหรับกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศของตน โดย SEAMEO และกระทรวงศึกษาธิการของประเทศอินโดนีเซียได้เชิญทีมวิจัยโครงการทวิภาษา(ไทย - มลายูปาตานี) ไปนำเสนอวิธีการดำเนินงานและจัดประชุมปฏิบัติการ เพื่อระดมความคิดเมื่อเดือนมิถุนายน 2552 ณ กรุงจาการ์ต้า โดยได้กำหนดจะเริ่มโครงการในกลุ่มภาษาชวา, ซุนดา และมากัสซา ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่ในประเทศอินโดนีเซียและมีปัญหาการเรียนในภาษาราชการหรือภาษาอินโดนีเซียของเยาวชน ซึ่งถือว่าทีมวิจัยทวิภาษา(ไทย - มลายูถิ่น) ได้รับเกียรติเป็นอย่างยิ่ง |
|
ดังนั้นในปีที่ 3 ของการทำงาน บรรยากาศของความร่วมมือ ทั้งจากชุมชน พื้นที่ และจากสังคมภายนอกจึงดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นกำลังใจในการทำงานของทีมวิจัยเพื่อเชื่อมโยงพื้นฐานท้องถิ่นของเยาวชนสู่สาระความรู้และการเรียนเชิงวิชาการผ่านภาษาไทยในระดับสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามยังมีปัญหาที่ทีมวิจัยประสบ คือ การไม่เห็นความสำคัญของภาษาท้องถิ่น(หรือภาษาแม่) ในการนำมาใช้เพื่อพัฒนาการศึกษาของเด็ก ปัญหาการปรับเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีสอนของครู แนวคิดของผู้บริหารการศึกษาซึ่งมีผลต่อการสนับสนุนส่งเสริมโครงการฯ และลักษณะการทำงานแบบปัจเจกนิยม ซึ่งทำให้การทำงานยากกว่าที่ควร และท้ายที่สุด คือ ปัญหาความหวาดระแวง และความไม่สงบในพื้นที่ ที่ทำให้การดำเนินงานไม่สามารถทำได้สะดวก การติดตามดูแล ประเมินผลไม่สามารถเป็นไปได้เท่าที่ควร อย่างไรก็ตามทีมวิจัยในพื้นที่ที่เข้มแข็งและมีความเชื่อมั่นต่องานวิจัยนี้ เป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั้งด้านวิชาการ เทคนิควิธีการ และการบริหารจัดการ ซึ่งต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับบริบทอยู่ตลอดเวลา |