ทิศทางงานวิจัยด้านโลจิสติกส์ รศ.ดร.ดวงพรรณ กริชชาญชัย ศฤงคารินทร์ วิมล หงษ์ลอย สำนักประสานงานชุดโครงการวิจัยโลจิสติกส์ ภายใต้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) [email protected] wimon.[email protected]
|
|
งานวิจัย จากการดำเนินงานของสำนักประสานงานชุดโครงการวิจัยโลจิสติกส์ ตั้งแต่ปี 2546-2551 รวมเป็นระยะเวลา 5 ปี มีโครงการที่เสร็จสิ้นแล้ว 13 โครงการ กำลังดำเนินการอยู่ 9 โครงการ กำลังพัฒนาข้อเสนอโครงการอยู่ 11 โครงการ ซึ่งมุมมองของผู้ประสานงานเองมองออกเป็น 3 ระดับคือ ระดับแรกเป็นองค์ความรู้เชิงนโยบายมหภาค งานวิจัยลักษณะนี้จะเป็นงานวิจัยในการศึกษาหาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เพื่อให้เห็นภาพในการตั้งรับและรุกและรู้จักตนเอง โดยผลวิจัยและแนวทางการแก้ไขที่ออกมาจะสร้างนโยบายและทิศทางโลจิสติกส์ของประเทศทั้งในระดับปฏิบัติการ และระดับนโยบาย ซึ่งโครงการที่ทางสำนักประสานงานฯ ได้ดำเนินการอยู่ได้แก่ โครงการการเตรียมการโลจิสติกส์เพื่อตอบรับสถานการณ์ FTA จีน – อาเซียน ,โครงการการออกแบบระบบการตัดสินใจเพื่อระบบการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบระหว่างไทยเวียดนาม , โครงการการศึกษาความพร้อมและการปรับตัวของสาขาบริการโลจิสติกส์ของไทยต่อการเปิดเสรีการค้าบริการ , โครงการการศึกษาสะพานเศรษฐกิจภาคใต้ที่มีผลกระทบต่อมูลค่าเพิ่มของโซ่อุปทาน , โครงการการศึกษาศักยภาพของตลาดหัวอิฐต่อการเป็นศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าเกษตรในภาคใต้ ระดับที่สองเป็นองค์ความรู้ระดับอุตสาหกรรมรายสาขา เป็นงานมุ่งเน้นการได้มาซึ่งต้นแบบโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมรายสาขา โดยศึกษาการไหลของอุตสาหกรรมนั้น ๆ จากต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ซึ่งผลงานวิจัยนี้จะเป็นการแก้ปัญหาที่สะท้อนจากบริบทโซ่อุปทานของ sector นั้น ๆ ดังเช่น โครงการการประเมินศักยภาพเชิงบูรณาการการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมในประเทศไทย , โครงการการจัดการโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมกุ้งขาวพิโทพีเนียสแวนาไมในประเทศไทย , โครงการการจัดการโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมสับปะรด , โครงการการศึกษากระบวนการจัดการโซ่อุปทานและการกระจายของก๋วยเตี๋ยวเส้นสด กรณีศึกษาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ , โครงการการจัดตารางการขนส่งเพื่อให้ค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดถังพักนมต่ำที่สุด : กรณีศึกษาโรงงานผลิตนมขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อ.ส.ค.) จังหวัดขอนแก่น , โครงการการพัฒนารูปแบบการคัดกรองสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่เป็นหัตถอุตสาหกรรม , โครงการการพัฒนาแบบจำลองโซ่อุปทานในการทำงานร่วมกันระหว่างธุรกิจค้าส่งค้าปลีกและการพัฒนาดัชนีชี้วัดสมรรถนะโซ่อุปทานธุรกิจการค้าปลีก , โครงการการศึกษาระบบจัดการโซ่อุปทานของลำไยสดในประเทศไทย , โครงการพัฒนาระบบสอบย้อนกลับการผลิตการแปรสภาพและการค้าข้าวหอมมะลิอินทรีย์โดยการบูรณาการระบบโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทานผ่านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ , โครงการการจัดการโกดังสินค้าและคลังกระจายสินค้าสำหรับอุตสาหกรรมน้ำตาล เป็นต้น |
|
ระดับที่สามเป็นองค์ความรู้ทางเทคนิคและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม โดยผู้เขียนมองว่างานวิจัยในระดับนี้เป็นงานสนับสนุนในระดับอุตสาหกรรมรายสาขามากกว่าการเกิดโจทย์ในตัวเทคโนโลยีหรือข้อมูลเอง เพื่อหาคำตอบหรือเครื่องมือที่ถูกต้องให้กับอุตสาหกรรมไทย โครงการลักษณะนี้ได้แก่ โครงการปัจจัยการผลิตและผลผลิตสำหรับกลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนกลางเพื่อประเมินผลด้านเศรษฐกิจ , โครงการการจัดทำตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตด้านโลจิสติกส์ของไทย, โครงการการจัดลำดับการผลิตซ้ำใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์คอนกรีต และโครงการการนำเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลมาประยุกต์ใช้เพื่อการขนส่งในประเทศไทย |
|
นักวิจัย จากงานวิจัยทั้ง 3 ระดับนี้ นักวิจัยแต่ละโครงการจะมีวิธีการดำเนินการที่แตกต่างกันออกไป โดยในงานวิจัยระดับมหภาค นักวิจัยส่วนใหญ่จะมาจากสหสาขาวิทยาการ ทั้งนักบริหารจัดการ นักเศรษฐศาสตร์ นักวิศวกรรมศาสตร์ ระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นการออกสำรวจและสัมภาษณ์หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำข้อมูลที่ได้กลับมาวิเคราะห์และออกแบบเพื่อให้ได้ผลวิจัยสำหรับการใช้ประกอบการสนับสนุนการตัดสินใจให้แก่หน่วยงานที่จะนำผลงานวิจัยไปใช้เป็นประโยชน์ต่อไป งานวิจัยระดับอุตสาหกรรมรายสาขา นักวิจัยส่วนใหญ่จะมาจากสาขาวิศวกรรมอุตสาหการ และวิทยาการจัดการ ระเบียบวิธีวิจัยที่นักวิจัยใช้ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการสัมภาษณ์อุตสาหกรรมที่กำลังดำเนินการศึกษา ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเป็นหลัก และนำข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์มาวิเคราะห์และดำเนินการปรับปรุงกระบวนการภายในองค์กร โดยนำหลักการ Supply Chain Optimization การพยากรณ์ การจัดการวัสดุคงคลัง การเชื่อมโยงภายในองค์กรและเทคโนโลยีสารสนเทศ มาใช้ในการวิเคราะห์หาจุดแข็งและจุดอ่อนของอุตสาหกรรมนั้น ๆ แล้วเสนอเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อไป งานวิจัยระดับเทคโนโลยีอุตสาหกรรม นักวิจัยส่วนใหญ่จะเป็นนักวิศวกรรมศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี ระเบียบวิธีวิจัยที่นักวิจัยกลุ่มนี้ใช้คือการนำ Technology base มาสร้างองค์ความรู้ในเชิง application เพื่อให้ได้เทคโนโลยีที่คิดค้นและประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ |
|
บทเรียนจากงานวิจัย สิ่งที่ผู้ประสานงานเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา 5 ปี ที่จัดตั้งสำนักประสานงานชุดโครงการวิจัยโลจิสติกส์นี้ขึ้นมา เช่น งานที่เราดำเนินการแล้วประสบความสำเร็จคืองานในระดับอุตสาหกรรม การวิเคราะห์และออกแบบกระบวนการโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมที่ศึกษา ซึ่งเป็นงานส่วนหนึ่งในกระบวนการปรับปรุงภายในองค์กร และ Supply Chain Optimization เช่น โครงการโซ่อุปทานสับปะรด ผลงานวิจัยที่นักวิจัยได้เข้าไปศึกษา supply และ demand ทั้งระบบออกมาทำให้รู้ว่าโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมสับปะรดในประเทศไทยเป็นอย่างไร ปัญหาและอุปสรรคในชุดโครงการวิจัยโลจิสติกส์ สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเด็นหลัก ๆ คือ 1) ปัญหามาจากนักวิจัย ในลักษณะงานของโลจิสติกส์และโซ่อุปทานต้องมีบริบทให้โจทย์วิจัยอยู่เพราะ โลจิสติกส์และโซ่อุปทานเปรียบเสมือนเครื่องมือในการวิเคราะห์เท่านั้น นักวิจัยต้องใส่ความพยายามที่จะหาคำตอบจากบริบทนั้น ๆ อย่างมีตรรกะและมีเหตุผลแต่สิ่งที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่คือ นักวิจัยจะมีคำตอบอยู่แล้วจากเครื่องมือวิเคราะห์ที่ตนถนัดซึ่งบางครั้งอาจจะไม่ได้มาซึ่งคำตอบที่ตรงประเด็นได้ 2) ปัญหาในการถ่ายทอดและขยายผลงานวิจัย คือ • การมีส่วนร่วมของผู้ใช้ผลงานวิจัย โดยงานวิจัยจะเริ่มจากการพัฒนาข้อเสนอโครงการโดยการยืนยันความต้องการงานวิจัยจากผู้ใช้ผลหลาย ๆ ฝ่าย แต่ในขณะที่การดำเนินงานวิจัยผู้ที่ยืนยันความร่วมมือนั้นมิได้ติดตามผลอย่างแท้จริง โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐ ทำให้เมื่อผลงานวิจัยบรรลุแล้ว ผู้ใช้ไม่สามารถนำไปถ่ายทอดสู่ระดับนโยบายได้ • ความสามารถในการแปลผลงานวิจัยของนักวิจัยโลจิสติกส์โดยมากจะจบงานวิจัยที่ผลการทดลองและบทวิเคราะห์แต่จะขาดการสังเคราะห์นำไปสู่บริบท ดังนั้นอุปสรรคจึงอยู่ที่การถ่ายทอดผลงานวิจัยไปสู่ระดับที่นำไปใช้ได้จริง หรือการแปลสู่ Public Policy |
|
อนาคตของสำนักประสานงานชุดโครงการวิจัยโลจิสติกส์ สิ่งที่จะเกิดขึ้นสำหรับสำนักประสานงานชุดโครงการวิจัยโลจิสติกส์ ภายใต้ สกว. และทิศทางงานวิจัยในปี 2552 จะเป็นผลจากการระดมสมองในงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “ระดมสมองเพื่อกำหนดทิศทางโลจิสติกส์ของไทย” เมื่อวันอังคารที่ 9 ธันวาคม 2551 ที่ผ่านมา โดยสามารถสรุปได้ดังนี้ 1) ประเทศไทยใช้คำว่า “ โลจิสติกส์” เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ เพื่อนำไปสู่วัตถุประสงค์ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ” ( National Competitiveness ) 2) “ โลจิสติกส์” ต้องมี “บริบท” ให้อยู่ เพราะหลักการจัดการโลจิสติกส์จะขึ้นอยู่กับบริบท และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป 3) บริบทของโลจิสติกส์ในประเทศไทย มี 2 ระดับใหญ่ๆ คือ ระดับจุลภาค และระดับมหภาค โดยกรอบโลจิสติกส์ของประเทศไทยสามารถสรุปได้ดังแผนภาพต่อไปนี้ |
|
|
|
หากแบ่งระบบโลจิสติกส์ของไทยตามบริบท จะแบ่งได้ 2 ระดับ คือ 1) โลจิสติกส์ระดับจุลภาค (micro) คือโลจิสติกส์ที่อยู่ในบริบทของอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นการบริหารการไหล ของโซ่อุปทานใดๆ โลจิสติกส์ในระดับนี้จะแยกตามบริบทของอุตสาหกรรมรายสาขา (industrial sector) โดยศึกษาการไหลของ sector นั้นๆ 2) โลจิสติกส์ระดับมหภาค (macro) คือ โลจิสติกส์ที่อยู่ในบริบทภาพของประเทศและคู่ค้าของประเทศ โลจิสติกส์ในระดับนี้จะมุ่งเน้นที่การบริหารการไหลในระดับประเทศและระหว่างประเทศซึ่งเกี่ยวโยงถึงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและกฎระเบียบนโยบายต่างๆ การศึกษาระบบโลจิสติกส์ทั้ง 2 ระดับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งสามารถตีความได้ 3 ข้อ คือ การลดต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพ และการสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งหมายความว่าในการปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ทั้ง 2 ระดับนี้จะสามารถส่งผลถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยใช้ดัชนีที่กล่าวมาแล้วทั้ง 3 ข้อนี้เป็นตัวชี้วัด |
|
นอกจากนี้บริบททั้ง 2 ระดับของโลจิสติกส์ในประเทศไทยนั้น มีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทั้งบริบทและการบ่งชี้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งแบ่งได้ 3 กลุ่ม คือ 1) ปัจจัยขับเคลื่อน / ปัจจัยผลักดัน คือ - Economic Restructuring - Dynamic Business Environment 2) ปัจจัยสนับสนุน คือ - เทคโนโลยีโลจิสติกส์ - กฎ ระเบียบ การเจรจาการค้าต่างๆ - ฐานข้อมูลที่จำเป็นของประเทศ 3) ปัจจัยที่ต้องพิจารณา คือ - อะไรคือ Product Champion ของประเทศไทย - งานวิจัย / งานด้านโลจิสติกส์ ที่ต้องดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว เพื่อใช้เป็นข้อมูลต่อยอดได้ ทั้งนี้ผลที่คาดว่าจะได้รับสามารถแสดงออกเป็น 2 รูปแบบ คือ 1) องค์ความรู้หรือข้อมูลพื้นฐานของประเทศประกอบการตัดสินใจหรือพิจารณา(basic research) 2) ผลเชิงประยุกต์ที่นำมาใช้ได้เลย (applied research) จากกรอบทิศทางโลจิสติกส์ของประเทศไทยนี้ ส่งผลให้ทิศทางงานวิจัยและโจทย์วิจัยสามารถมองได้ใน 2 บริบทเช่นกัน คือโลจิสติกส์ระดับจุลภาค และระดับมหภาค โดยพิจารณาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อบริบทดังกล่าวได้ 3 ปัจจัย คือ ปัจจัยขับเคลื่อน / ผลักดัน ปัจจัยที่ต้องพิจารณา และปัจจัยสนับสนุน ซึ่งประเด็นของแต่ละปัจจัยทั้ง 2 บริบทสรุปได้ดังนี้ |
|
|
|
จากคำถามทั้งหมดในแต่ละปัจจัยสะท้อนโดยบริบทของโลจิสติกส์ทั้ง 2 ระดับ และเมื่อนำมาวิเคราะห์รวมกับงานวิจัยที่ได้ดำเนินการผ่านมาแล้วนั้น พบว่างานวิจัยด้านโลจิสติกส์แยกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ โลจิสติกส์ระดับมหภาค ระดับอุตสาหกรรม และงานสนับสนุนระบบโลจิสติกส์ของ 2 กลุ่มข้างต้น และเมื่อพิจารณาในแต่ละกลุ่มประกอบกับผลจากการระดมสมองเมื่อวันอังคารที่ 9 ธันวาคม 2551 แล้ว พบว่า 1) งานวิจัยโลจิสติกส์ระดับมหภาค งานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ที่ได้ทำไปแล้วในกลุ่มนี้เป็นงานวิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลของประเทศ (fact findings) ประกอบการพิจารณาในบริบทของการแข่งขันในระดับพื้นที่ประเทศและภูมิภาค ผลวิจัยที่ได้จะนำมาซึ่งข้อมูลประกอบการตัดสินใจ |
|
|
|
จะเห็นว่าผลวิจัยในบริบทระดับนี้ได้มาซึ่งข้อมูลประกอบการพิจารณา ณ สถานการณ์ปัจจุบัน แต่ถ้าหากพิจารณาประเด็นคำถามแต่ละปัจจัยและผลการระดมสมองแล้วจะพบว่าสิ่งที่ขาดและยังต้องดำเนินการ คือ ทิศทางของสถานการณ์ในอนาคตตั้งแต่ระดับภูมิภาค ระดับโลกที่จะส่งผลต่อประเทศในการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ทิศทางงานวิจัยที่ต้องดำเนินการปี 2552 : โลจิสติกส์ระดับมหภาค - งานวิจัยด้านโลจิสติกส์ในบริบทระดับภูมิภาคที่ทำให้เห็นผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต - งานวิจัยที่ระบุ ถึง Product Champion ของประเทศ และการใช้การจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานในการสร้างความสามารถในการแข่งขันของ product นั้น ในบริบทการแข่งขันระหว่างประเทศ |
|
2) งานวิจัยโลจิสติกส์ระดับอุตสาหกรรม งานวิจัยระดับนี้เป็นงานวิจัยที่ศึกษาการไหลในโซ่อุปทานรายอุตสาหกรรม โดยลำดับการทำในอุตสาหกรรมรายสาขาที่มีประเด็นที่เป็นที่สนใจในสถานการณ์ปัจจุบัน ผลวิจัยของงานระดับนี้เป็นการแก้ปัญหาที่สะท้อนจากบริบทโซ่อุปทานของ sector นั้นๆ บางส่วน หรือการแก้ปัญหาทั้งโซ่อุปทานในองค์รวม |
|
|
|
|
|
จะเห็นว่าผลวิจัยในกลุ่มนี้เป็นลักษณะการศึกษาทั้งโซ่อุปทาน แต่เลือกแก้ปัญหาที่โดดเด่นของกิจกรรมโลจิสติกส์ในโซ่อุปทานนั้น ดังนั้นสิ่งที่ขาดและยังต้องดำเนินการโดยรวมคือ ยังไม่ทราบถึงอุตสาหกรรมสาขาใดกันแน่ที่ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันในของประเทศโดยสร้างธุรกิจและรายได้ให้กับทั้งโซ่อุปทานในประเทศได้ และอุตสาหกรรมแต่ละสาขาที่ศึกษาไปแล้วและที่ยังไม่ศึกษาควรแก้ปัญหาประเด็นอื่นๆ อีกหรือไม่ นอกจากนี้ยังขาดการศึกษาแบบการไหลย้อนกลับในโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงการศึกษาเพื่อแบ่ง class ในโซ่อุปทานอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อประโยชน์แก่การศึกษาโซ่อุปทานในประเทศไทย ทิศทางงานวิจัยที่ต้องดำเนินการปี 2552 : โลจิสติกส์ระดับอุตสาหกรรม - งานวิจัยที่ระบุ Product Champion ของไทยที่มีผลต่อความสามารถในการแข่งขันของโซ่อุปทาน product นั้นในบริบทโซ่อุปทานในประเทศ - งานวิจัยเพื่อแบ่ง class โซ่อุปทานของอุตสาหกรรมไทย - งานวิจัยราย sector แต่เป็นประเด็นที่ทบทวนจากงานวิจัยเดิมแล้ว - Reverse Logistics & Green Supply Chain |
|
3) งานวิจัยกลุ่มสนับสนุน 2 กลุ่มข้างต้น งานวิจัยในกลุ่มนี้แบ่งได้ 2 ประเภท คือ งานการสร้างฐานข้อมูลเพื่อสนับสนุนงาน 2 กลุ่มข้างต้น และงานวิจัยเชิงประยุกต์เพื่อสร้างเทคโนโลยี |
|
|
|
งานวิจัยในกลุ่มนี้เป็นงานสนับสนุนมากกว่าการเกิดโจทย์ในตัวเทคโนโลยี หรือข้อมูลเอง ดังนั้นทิศทางงานวิจัยในกลุ่มนี้จะถูกขับมาจาก 2 กลุ่มข้างต้น ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ต้องการการตรวจสอบว่าปัจจุบันมีการทำอะไรไปบ้างแล้วและยังขาดข้อมูลหรือเทคโนโลยีใดสนับสนุนอยู่บ้างในแต่ละบริบท ทิศทางงานวิจัยที่ต้องดำเนินการปี 2552 : งานสนับสนุน ระบบโลจิสติกส์ใน 2 บริบท ทั้งระดับมหภาคและระดับอุตสาหกรรม ต้องการปัจจัยสนับสนุนอะไรบ้าง • ด้านเทคโนโลยี • กฎระเบียบและนโยบาย • ข้อมูลสนับสนุน ทิศทางงานวิจัยด้านโลจิสติกส์ของประเทศไทย แบ่งได้ 3 กลุ่ม คือ โลจิสติกส์ระดับมหภาค, โลจิสติกส์ระดับอุตสาหกรรม และงานวิจัยสนับสนุน 2 บริบทข้างต้น โดยโจทย์วิจัยตั้งแต่ปี 2552 ควรมุ่งเน้นถึง • การทบทวนและใช้ผลงานวิจัยที่ผ่านมา เพื่อต่อยอด • ทิศทางและผลกระทบในอนาคตที่มีต่อความสามารถในการแข่งขันของไทย • ระบบโซ่อุปทานของ Product champion ที่สร้างศักยภาพในการแข่งขันของไทยทั้งบริบทระหว่างประเทศและในอุตสาหกรรม |
|
สังเคราะห์บทความเรื่อง “โลจิสติกส์” โดย รศ.ดร.สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ สกว. สนใจงานวิจัยที่เข้าใจภาพรวมของเศรษฐกิจแบบ supply chain - value chain มาตั้งแต่ปี 2544 ในขณะนั้นกระแสความคิดเศรษฐกิจพอเพียงกำลังเป็นที่สนใจกันทั่วไป สกว. ฝ่ายอุตสาหกรรมจึงสนใจที่จะเข้าใจภาพรวมของการไหลของเศรษฐกิจ sector ต่างๆ (ที่ สกว. สนใจเป็นการเฉพาะคือ sector ที่มี local content สูง) สกว. จึงหารือกับผู้นำกลุ่มนักวิจัยรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่ง (รศ. ดร. ดวงพรรณ กริชชาญชัย / มหาวิทยาลัยมหิดล) ที่จบการศึกษาทางด้านนี้ กลุ่มนี้มีองค์ประกอบที่หลากหลาย เช่น บัญชี เศรษฐศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ การจัดการ ต่อมา สกว. สนับสนุนให้เกิดการจัดการแบบชุดโครงการ โดยมีแนวทางการทำงาน 3 ประการ คือ 1. เร่งหาคำตอบว่าประเทศไทยควรทำอย่างไรกับนโยบายโลจิสติกส์ของประเทศในการแข่งขันด้านการค้าและอุตสาหกรรม เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดการค้าเสรีจีน-อาเซียน ที่จะมีผลในปี 2010 (ในฐานะที่ไทยมีตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ตรงกลางระหว่างจีนที่มีประชากรกว่า 1,000 ล้านคน และทางใต้อีกกว่า 600 ล้านคน) 2. ให้ใช้การจัดการแบบโลจิสติกส์เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตในระดับรายโรงงาน ให้แข่งขันได้ (ขณะนั้นประเทศเพิ่งฟื้นตัวจากปัญหาเศรษฐกิจฟองสบู่แตก และกระแสการเปิดการค้าเสรีมาแรงมาก) 3. การวิจัยจะต้องเป็นวิทยาศาสตร์ ให้พยายามหานวัตกรรมใหม่ในการวิจัยมาทดแทนการวิจัยเชิงคุณภาพแบบสำรวจความคิดเห็น (ใช้แบบสอบถามและ focus group) เช่น ใช้ศาสตร์ด้านแบบจำลอง (modeling) โดยวิธีคณิตศาสตร์ เพื่ออธิบายผลทางเศรษฐศาสตร์ และช่วยในการตัดสินใจด้วยศาสตร์ทาง optimization ด้วยหลักคิดเบื้องต้น ชุดโครงการนี้จึงมี guide line ที่ชัดเจน การมีผู้ประสานงานที่มีเครือข่ายกว้าง เป็นที่ยอมรับทั้งซีกเพื่อนนักวิชาการ ผู้กำหนดนโยบาย (เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) และอุตสาหกรรม ทำให้ชุดโครงการนี้ผลิตผลงานออกมาเป็นจำนวนมาก สิ่งที่ สกว. เรียนรู้จากชุดโครงการนี้คือ 1. ความเป็นเครือข่าย 3 ฝ่าย ทำให้งานมีความชัดเจน เพราะมีคนเคยกลั่นกรองโจทย์ 2. นักวิจัยจำนวนมากยังอยู่ใน stage การเรียนรู้บริบท การมีที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ในการมองภาพกว้าง (macro) เช่น สศช. มาช่วย comment นั้น ได้เพิ่มการเรียนรู้ในเชิงบริบทและกลไกนโยบายอย่างมาก (ขอขอบคุณ คุณสุริยนต์ ธัญกิจจานุกิจ) ที่มีความเห็นอย่างตรงไปตรงมาเพื่อสอนนักวิจัยอยู่เสมอ แต่นักวิจัยก็มีจุดแข็งที่สามารถเสนอวิธีวิทยา (methodology) ใหม่ๆ เพื่อการแปลผลให้งานวิจัยมีหลักการทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น 3. การทำวิจัยแบบนี้เราจะต้องจัดการปลายน้ำในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปตามประเภทงานพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือเทคโนโลยี เพราะเป็นการจัดการให้เกิดนโยบาย ดังนั้น สกว. จึงตั้งเป้าพัฒนาต่อให้กลุ่มนักวิจัยนี้รวมตัวกันสร้างและบูรณาการองค์ความรู้ให้เกิดเป็น “ทางเลือกนโยบาย” (policy options) และปฏิบัติงานแบบขุมความคิด (think tank) เพื่อช่วยให้เกิดนโยบายสาธารณะที่เหมาะสมโดยมีข้อมูลวิชาการมาประกอบอย่างมีหลักการ |