ภาษาในภาวะวิกฤต...ช่วยด้วย! ฉันกำลังจะตาย


989 ผู้ชม


ภาษาในภาวะวิกฤต...ช่วยด้วย! ฉันกำลังจะตาย
เรื่อง  วันพรรษา อภิรัฐนานนท์

"อยแฮ่ ! โอฮ ฮีก ซี บืล"แปลว่า "ช่วยด้วย! ฉันกำลังจะตาย" -- นี่คือภาษามลาบรี (ตองเหลือง) ที่เชื่อว่าน้อยคนจะเคยได้ยิน!
 

 รู้หรือไม่ว่า อีกภายในไม่เกิน 10 ปี คำๆ นี้ และภาษาๆ นี้ รวมทั้งภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยในไทยอีกไม่ต่ำกว่า 14 กลุ่มภาษา จะสูญหายตายไปจากโลก หรือหากกลั้นใจดูต่อไปอีกไม่เกิน 100 ปี ก็จะพบว่าอีกกว่า 5,000 ภาษามนุษย์ทั่วโลก จะกลายเป็นแค่เสียงในตำนานที่ไม่มีใครได้ยินไปชั่วกาลนาน  
ภาษาในภาวะวิกฤต
ภาษาในภาวะวิกฤต...ช่วยด้วย! ฉันกำลังจะตาย

ปีนี้เป็นปีภาษาสากล (International Year of Languages) ก็เพราะมีคนหลายคนเชื่อว่า สถานการณ์ภาษาของ (ทุกภาษาใน) โลกกำลังวิกฤต อาจเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ได้ เพราะแม้แต่นักภาษาศาสตร์ผู้โด่งดัง ไมเคิล เคร้าช์ ยังต้องพูดซ้ำประโยคที่ตัวเองเคยพูดไว้นานแล้ว (ในปี 1992) ว่า ภายในอีกไม่เกิน 100 ปี หากยังไม่ดำเนินการอะไร 90% ของภาษาบนโลกที่มีอยู่กว่า 6,000 ภาษา จะสูญหายไปจากโลก
 

ศตวรรษแห่งความตายถูกตอกย้ำด้วยความจริงที่ว่า โลกใบนี้กำลังหมุนเร็วจี๋ด้วยอิทธิพลของโลกาภิวัตน์ ข้อมูลข่าวสารที่พุ่งไปเร็วยิ่งกว่าความเร็วเหนือแสงยังคนทั่วโลก ให้รู้เข้าใจถึงกันหมดด้วยภาษาหลักใหญ่ๆ ด้วยเหตุนี้ภาษาเล็กๆ ย่อยๆ หรือที่เรียกว่าภาษากลุ่มชาติพันธุ์ จึงมีคนใช้น้อยลงเรื่อยๆ ประกอบกับนโยบายด้านภาษาของประเทศต่างๆ ก็มีส่วนไม่น้อยที่ทำให้ภาษาทั่วโลกเข้าสู่ภาวะวิกฤตใกล้สูญ
 
"การสื่อสารที่มีพลังไร้พรมแดน ทำให้ภาษาพื้นบ้านของชนกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยทั่วโลกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญสลาย สภาวการณ์นี้กำลังเป็นภัยคุกคามความหลากหลายทางภาษา และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน" ศ.ดร.สุวิไล เปรมศรีรัตน์ นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขาปรัชญาปี 2549 และประธานศูนย์ศึกษาฟื้นฟูภาษา-วัฒนธรรมในภาวะวิกฤต สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดลกล่าว
 

ภาษาไทยกับโลกที่เล็กลง

ศ.ดร.สุวิไล เล่าว่า ไทยตั้งอยู่ใจกลางแผ่นดินเอเชียอาคเนย์ เป็นขวานด้ามใหญ่ ที่รวมความหลากหลายของภาษาชาติพันธุ์ ประชากรของเรา 60 ล้านคน มีภาษาพูดมากกว่า 70 กลุ่มภาษา แต่ภาษาไทยก็ไม่พ้นกระแสโลก ปัจจุบันมีภาษากลุ่มชาติพันธุ์อย่างน้อย 14 กลุ่มภาษาของไทย ที่กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตใกล้สูญอย่างรุนแรง

14 ภาษาไทยใกล้สูญได้แก่ 1.ภาษากลุ่มชอง 2.กะซอง 3.ซัมเร 4.ชะโอจ 5.มลาบรี 6.ซาไก 7.ณัฮกุร 8.โซ่ (ทะวืง) 9.ละว้า (ก๋อง) 10.อึมปี 11.บิซู 12.ลัวะ (ละเวือะ) 13.มอเกล็น และ14.อุรักละโวย ฟังแล้วไม่คุ้นหูนัก และไม่แปลกใจกับคำอธิบายที่ตามมาว่า ภาษาใกล้สูญคือภาษาที่เหลือคนพูดน้อย ประชากรกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ ล้วนแต่เหลือน้อยถึงน้อยที่สุด บางกลุ่มภาษาเหลือคนพูดไม่ถึง 10 คน (กะซอง/ซัมเร จ.ตราด)

เพราะโลกเล็กลงอย่างที่ว่า ประกอบกับนโยบายการศึกษาของไทยในอดีต (100 ปีที่ผ่านมา) การศึกษาผ่านระบบโรงเรียนโดยใช้ภาษาไทยเป็นภาษาราชการ ภาษาไทยจึงเข้าไปตั้งมั่นอยู่ในโรงเรียน เคยได้ยินมั้ยที่ว่า ครูสมัยก่อนห้ามเด็กพูดภาษาถิ่น (ประมาณว่าให้อมบอระเพ็ด) ไม่ว่าจะด้วยหวังดีหรืออะไรก็ตาม นั่นคือการส่งสัญญาณว่าภาษาถิ่นเป็นสิ่งไม่ดี-ใช้เป็นทางการไม่ได้ นี่เองกระมังที่ทำให้บางภาษาเหลือคนพูดไม่ถึง 10 คน  
 


เดิมพันของนักภาษาศาสตร์   
 

ภาษาในภาวะวิกฤต...ช่วยด้วย! ฉันกำลังจะตาย

ภาวะแบบนี้เกิดกับทุกภาษาย่อยๆ ทั่วโลก บางคนอาจมองว่าการตายของภาษาไม่ใช่เรื่องใหญ่ ในเมื่อโลกมันหมุนไป ก็หมุนไปตามโลกสิ ภาษาไหนตาย ก็ตายไป So What อย่างไรก็ตาม ในมุมของนักภาษาศาสตร์ การตายของภาษาไม่ใช่แค่เพียงการไม่มีภาษาไว้สื่อสาร สิ่งที่ต้องสูญเสียคือ องค์ความรู้และโอกาสในการต่อยอดองค์ความรู้ แต่ละกลุ่มภาษาก็มีรากฐานความรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน หากเราต้องสูญเสียไปเกือบทั้งหมด 90% ของภาษาที่มีอยู่ โลกจะเหลืออะไร  
"เดิมพันของการกู้วิกฤตไม่ใช่เพียงการกู้ภาษา หรือเครื่องมือสื่อสาร หากเดิมพันคือความสิ้นสูญของระบบและฐานรากแห่งองค์ความรู้ที่หลอมรวมอยู่ในภาษา" ศ.ดร.สุวิไล กล่าว

สังคมอ่อนแอด้วยรากที่ตื้นเขิน ความร้ายแรงของปัญหาเทียบได้ปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ที่นักวิทยาศาสตร์ นักชีววิทยาถือเป็นเรื่องใหญ่ นักภาษาศาสตร์เองมองการถูกทำลายความหลากหลายทางภาษา-วัฒนธรรมว่า เป็นการสูญเสียความหลากหลาย และความลุ่มลึกทางปัญญาของมนุษยชาติ ซึ่งส่งผลให้เกิดวิกฤตอัตลักษณ์ของกลุ่มชนต่างๆ

จะลุกขึ้นไปจัดการกับโลกาภิวัตน์โลกทั้งใบคงยาก แต่สิ่งที่น่าจะทำได้คือ ระบบการศึกษาในประเทศ ควรดัดแปลงให้ทันต่อยุคสมัย แทนที่จะใช้ภาษาเดียว ขอพื้นที่ในโรงเรียนให้ภาษาท้องถิ่นบ้างได้หรือไม่ เด็กจะได้เห็นคุณค่า มีเวทีสำหรับใช้พูดภาษาย่อยได้กว้างขวางขึ้น

ปัจจุบันศูนย์ศึกษาและฟื้นฟูภาษา-วัฒนธรรมในภาวะวิกฤต ได้ดำเนินโครงการวิจัยศึกษาและฟื้นฟูหลายโครงการภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)

ที่จันทบุรีมีคนชอง

ภาษาในภาวะวิกฤต...ช่วยด้วย! ฉันกำลังจะตายกรณีศึกษาของภาษาชอง จ.จันทบุรี ซึ่งศูนย์ฯ ทำงานคลุกกับชาวบ้าน ฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมชองโดยคนชองเอง มีการสร้างระบบตัวเขียนโดยยืมภาษาไทยมาใช้ ชาวบ้านรุ่นเก่ามีบทบาทอย่างมาก เช่น ผู้ใหญ่เฉิน ผันผาย ถามผู้ใหญ่ว่าทำไมต้องฟื้นภาษาชอง ผู้ใหญ่ตอบ -- "ก็เพราะภาษาชองไม่มีตัวเขียน ทำให้เด็กชองไม่รู้ภาษาชอง จึงเกิดความมุ่งมั่นที่จะอนุรักษ์ภาษาชองไว้ให้ลูกหลาน แม้บางครั้งกำลังเก็บเงาะอยู่ ก็ต้องทิ้งไว้ก่อน ต้องเดินทางโหนรถเมล์ในกรุงเทพฯ เพื่อไปทำระบบเขียนภาษาชองที่มหิดล"

ปฏิบัติการค่อยๆ คืนภาษาชองสู่ชีวิตประจำวันนับว่าน่าพอใจ ปัจจุบันมีการสอนภาษาชองในโรงเรียนประถมศึกษา เด็กๆ กลับบ้านได้ใช้ภาษาชองกับพ่อแม่ นับเป็นการแผ่ขยายวงสนทนาภาษาชองวงเล็กๆ ที่ปลาบปลื้มกันไปทั้งครูอาจารย์ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ปฏิบัติการเดียวกันนี้ ยังมีอีกหลายแห่งและอยู่ระหว่างริเริ่มอีกหลายแห่ง ที่สำคัญคือ โครงการทวิภาษา-วางแผนการใช้ภาษามลายูถิ่น (มลายูปาตานี) เพื่อการศึกษาและพัฒนาชุมชนในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้

ศ.ดร.สุวิไล กล่าวว่า โครงการทวิภาษามีปัญหาลักลั่นอยู่บ้าง กับนโยบายภาษาแห่งชาติที่ใช้ภาษาไทยเท่านั้น ด้วยรัฐวิธีแต่เดิมชูไทยเป็นหนึ่งด้วยเหตุผลความเป็นเอกภาพ ขจัดให้มีภาษาเดียวด้วยความกลัวแอบแฝงเก่าๆ มองความแตกต่างว่าทำให้แตกแยก และทำให้บางครั้งบางกลุ่มชนก็ต่อต้านรุนแรงอย่างที่ก็เห็นๆ กันอยู่

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นเพราะหลายฝ่ายเริ่มเห็นความสำคัญ "โลกเปลี่ยน วิธีคิดแบบเก่าต้องเปลี่ยน เรื่องภาษามองได้ 2 ด้าน จะมองว่าความหลากหลายเป็นทรัพยากร หรือจะมองว่าเป็นปัญหา การขจัดให้มีภาษาไทยภาษาเดียวก็เหมือนกับมีมันสมองเดียว สู้ชาวโลกคนอื่นเขาไม่ได้ ระบบการศึกษาวันนี้ต้องเปลี่ยนได้แล้ว" ศ.ดร.สุวิไลทิ้งท้าย

ไทยเป็นดินแดนที่มีความซับซ้อนด้านภาษา และชาติพันธุ์มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ความหลากหลายนี้เองที่คือความงาม ต้องตระหนักรู้ เปิดใจให้ความแตกต่าง และเปิดใจให้มีการเรียนการสอนภาษากลุ่มชาติพันธุ์ในโรงเรียน

เปิด (ใจ) เมื่อไหร่ ก็เข้า (ใจ) กันได้เมื่อนั้น และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็จะเกิดขึ้นด้วย
 


 

 ข้อมูลจาก ฝ่ายงานสื่อสารสังคม (สกว.)



   

 แหล่งที่มา :  โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

อัพเดทล่าสุด