รู้จักหรือยัง?...โรคเมลิออยโดซิส
ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของ
สสส. และ วิชาการดอทคอม
ที่มา www.thaihealth.or.th
ภัยแฝงในดินและน้ำ
เมลิออยโดซิส (Melioidosis)...เป็นโรคติดเชื้ออีกโรคหนึ่งที่เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ ซึ่งสถานการณ์ของโรคในประเทศไทย จากการรายงานของกรมควบคุมโรค เดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2550 มีผู้ป่วย 789 ราย เสียชีวิต 6 ราย จากการพบผู้ป่วยด้วยโรคนี้มีอาการหลายรูปแบบ ที่อาจคล้ายคลึงกับโรคอื่นๆ เช่น มาลาเรีย วัณโรค จึงได้ชื่อว่า “ยอดนักเลียนแบบ” เมลิออยโดซิส เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ Burkholderia pseudomalliei ซึ่งพบได้ในคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด เช่น แพะ แกะ โค กระบือ โรคนี้พบได้ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับ ประเทศไทยมีถิ่นระบาดในภาคตะวันออก เฉียงเหนือ เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ พบได้ทั่วไปในบริเวณระบาดโดยเฉพาะในดินและน้ำ มักพบในฤดูฝนหลังจากที่มีฝนตกประมาณ 1-2 เดือน ซึ่งคาดว่าเกิดจากการที่น้ำชะเอาเชื้อที่อยู่ในดินขึ้นมาอยู่ที่บริเวณผิว ดิน ซึ่งเพิ่มโอกาสการติดเชื้อได้ง่าย
การติดต่อของโรค
ทั่วไปสามารถติดต่อจากการสัมผัสกับดินหรือน้ำ ผ่านทางแผลที่ผิวหนัง หรือหายใจเอาฝุ่นจากดิน หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อเจือปนอยู่เข้าไป เชื้อเมลิออยโดซิส สามารถอยู่ได้ในซากสัตว์ที่อยู่ในดินและน้ำ สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเมลิออยโดซิส ส่วนใหญ่คือผู้ที่มีอาชีพที่ต้องสัมผัสดินและน้ำโดยเฉพาะ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคไตและผู้ที่มีสุขภาพอ่อนแอ เช่น ติดสุราหรือทานยากดภูมิคุ้มกัน โรคนี้ก็อาจเข้าแทรกซ้อนได้ เพราะเชื้อโรคชนิดนี้มีความพิเศษตรงที่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองโดยหลบหลีก ระบบการตรวจสอบสิ่งแปลกปลอมของร่างกาย ทำให้สามารถ หลบซ่อนอยู่ในร่างกายของเราได้นาน 20-30 ปี แต่ทั้งนี้ระยะฟักตัวอาจสั้นเพียง 2 วันหรือเป็นปี ขึ้นอยู่กับระยะการติดเชื้อและอาการของโรค
อาการและอาการแสดง
เมื่อเชื้อเมลิออยโดซิสเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้เกิดการอักเสบตามอวัยวะต่างๆ ได้ทุกระบบ อาการของโรคจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเชื้อและความต้านทานโรคของร่างกาย
อาการโดยทั่วไป ผู้ป่วยจะมีไข้สูง หายใจไม่สะดวก หรือหอบเหนื่อย ซึมแบบไม่รู้ตัว ผู้ป่วยบางรายมีอาการคล้ายโรคปอดบวมรุนแรง บางรายมีอาการคล้ายวัณโรค ผู้ที่ติดเชื้อจะมีอาการและอาการแสดงได้หลายรูปแบบ ซึ่งจะแบ่งเป็น 3 แบบใหญ่ๆ คือ
1.อาการไข้นานไม่ทราบสาเหตุ ผู้ป่วยบางรายมีไข้เป็นเวลานานโดยไม่ทราบสาเหตุ น้ำหนักลด ต่อมาจึงเกิดอาการรุนแรงขึ้น
2.การติดเชื้อเฉพาะที่ (Localized melioidosis) ส่วนใหญ่พบการ ติดเชื้อที่ปอด เรียก pulmonary melioidosis ซึ่ง จะมีอาการเหมือนปอดอักเสบ คือ มีไข้ ไอมีเสมหะเล็กน้อย น้ำหนักลด บางรายไอมีเสมหะปนเลือด เจ็บหน้าอก พบว่าการเกิดโรคมีความสัมพันธ์กับการเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเรื้อรัง บางรายอาจมีอาการของฝีในตับ ฝีในกระดูกหรือเป็นเพียงฝีที่ผิวหนังเท่านั้น ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาให้ถูกต้อง อาจเกิดอาการรุนแรงขึ้น
3.การติดเชื้อแบบแพร่กระจายเชื้อไปทั่ว / ติดเชื้อในกระแสเลือด (Septicemic melioidosis) เชื้อจะกระจายเข้าสู่กระแสเลือดไปทั่วร่างกาย ผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่มักเสียชีวิตภายใน 2-3 วัน
ความรุนแรงของโรค มีสาเหตุสำคัญมาจาก
• การตรวจวินิจฉัยได้ช้า ไม่ทันท่วงทีต่อการรักษา
• การ ได้รับการรักษาช้า และการรักษาไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ เช่น ให้ยาปฏิชีวนะที่เชื้อดื้อยา จำเป็นต้องให้ยาที่รักษาโดยเฉพาะ เนื่องจากเชื้อดื้อยาต่อยาปฏิชีวนะเกือบทุกชนิดในปัจจุบัน
• ปัจจัยจากตัวเชื้อเองที่ทำให้มีความรุนแรงมากกว่าเชื้อชนิดอื่นๆ
• ปัจจัยพื้นฐานเรื่องสภาพของผู้ป่วย ซึ่งมีความสามารถในการต้านทานต่อเชื้อได้ต่างกัน
การวินิจฉัยโรค
เนื่องจากอาการของโรคคล้ายกับโรคติดเชื้ออื่นหลายชนิด อาจทำให้การวินิจฉัยผิดได้ ซึ่งจะมีผลต่อการรักษา เพราะการรักษาโรคเมลิออยซิสมีรูปแบบจำเพาะไม่เหมือนโรคติดเชื้ออื่น จำเป็นต้องพัฒนาวิธีการตรวจอย่างมีประสิทธิภาพ การวินิจฉัยจึงต้องตรวจยืนยัน โดยการตรวจทางห้องปฏิบัติการโดยเฉพาะ ซึ่งถือเป็นวิธีมาตรฐาน
แนวทางการรักษา
1.แยกผู้ป่วยไม่ให้ผู้อื่นสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งจากทางเดินหายใจและโพรงจมูก
2.นำสิ่งส่งตรวจ (Specimen) ของ ผู้ป่วย เช่น เลือด ปัสสาวะ เสมหะหรือหนองมาเพาะเลี้ยง แล้วนำมาทดสอบดูว่ามีเชื้อนี้อยู่หรือไม่ ซึ่งจะใช้เวลา 3-5 วัน จึงจะรู้ผล
3.ให้ยาปฏิชีวนะแก่ผู้ป่วย โดยให้ยาฉีดในระยะแรก 2 สัปดาห์ และให้ยารับประทานต่อจนครบ 20 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
การป้องกัน
1. ป้องกันไม่ให้เกิดบาดแผลเมื่อต้องสัมผัสดินและน้ำ หรือรีบทำความสะอาดร่างกายหลังการทำงาน ในบุคคลที่มีอาการของโรคเบาหวาน และแผล บาดเจ็บ รุนแรง ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับดินและน้ำ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้อาจต้องสวมถุงมือ รองเท้ายาง เพื่อป้องกัน
2.หากมีแผลถลอกหรือไหม้ ซึ่งสัมผัสกับดินหรือน้ำในพื้นที่ที่เกิดโรค ควรทำความสะอาดทันที
3. เมื่อมีบาดแผลและเกิดมีไข้ หรือเกิดการอักเสบเรื้อรัง ควรรีบไปพบแพทย์นอกจากนี้แล้ว การมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคต่างๆ และการดูแลสุขภาพของร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้...
| เมลิออยโดสิส ธรรมชาติของโรคเมลิออยโดสิส ลักษณะโรคเมลิออยโดสิส เมลิออยโดสิสเป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรีย พบมากในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ไทย มาเลเซีย
|
| สาเหตุของโรคเมลิออยโดสิส
|
| วิธีการติดต่อของโรคเมลิออยโดสิส • การติดต่อทางผิวหนัง เชื่อว่าเป็นช่องทางหลักสำคัญในการเข้าสู่ร่างกาย เพราะเชื้อ B. pseudomallei อยู่ในดินและน้ำ จึงมักพบผู้ป่วยจำนวนมากในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพกสิกรรม หรือต้องสัมผัสกับดินและน้ำอยู่ตลอดเวลา โดยเชื้อเข้าทางบาดแผล แม้รอยถลอกเล็กน้อย • การติดต่อทางหายใจ เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สำคัญ เพราะมักพบการก่อโรคชนิดปฐมภูมิที่ปอดร่วมด้วย • การติดต่อทางการกิน เชื่อว่าเป็นช่องทางติดต่อที่สำคัญของการติดโรคในสัตว์ แต่ยังไม่มีรายงานยืนยันในคน • การติดต่อระหว่างคนสู่คนมักพบน้อยมาก มักจะพบในการติดเชื้อจากมารดาสู่ทารก หรือกรณีสัมผัสกับผู้ป่วยชนิดแพร่กระจายอย่างใกล้ชิด
|
| ระยะฟักตัว แบบเฉียบพลัน ระยะเวลาสั้นเฉลี่ย 3-7 วัน มักเกิดอาการชนิดรุนแรง แบบเรื้อรัง ตั้งแต่ 2-3 สัปดาห์จนถึงเป็นเดือน เป็นปี หรือหลายปีมักมีอาการมาด้วยแผลเรื้อรัง ไข้เรื้อรัง ไอเรื้อรัง ปอดอักเสบเรื้อรังคล้ายวัณโรค ฝีหรือก้อนฝีที่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง หรือพบในหลายๆอวัยวะพร้อมๆกัน อาการและอาการแสดงโรคเมลิออยโดสิส อาการของโรคในคน อาการและอาการแสดงของโรคนี้อาจพบได้หลายรูปแบบ ในที่นี้จะแบ่งเป็น 2 แบบใหญ่ ๆ คือ • การติดเชื้อในกระแสโลหิต (septicemic melioidosis) ร้อยละ 60 ของผู้ป่วยที่มารับการรักษาในโรงพยาบาลจะมีการติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมด้วย เชื้อจะกระจายเข้าสู่กระแสเลือดไปทั่วร่างกาย ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจะมีภาวะช็อกและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว • อาการของการติดเชื้อเฉพาะที่ การติดเชื้อในปอด (pulmonary melioidosis) มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยจะพบการติดเชื้อที่ปอด ซึ่งจะมีอาการเหมือนปอดอักเสบคือ มีไข้ ไอมีเสมหะ บางรายเสมหะอาจมีลักษณะเป็นหนองได้ อาการของผู้ป่วยอาจเป็นแบบเฉียบพลัน หรือค่อยเป็นค่อยไป มีอาการเรื้อรังมานานเกิน 1 เดือนได้ น้ำหนักลดบางรายไอมีเสมหะปนเลือด เจ็บหน้าอก ลักษณะอาการดังกล่าวทำให้แยกได้ยากจากวัณโรคปอดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ โรคนี้ทำให้เกิดการอักเสบที่ทางเดินปัสสาวะได้บ่อย ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดหลังบริเวณเอว ฝีในตับหรือม้าม ผู้ป่วยโรคเมลิออยโดสิสที่มีอาการปวดท้อง หรือคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วยพบได้บ่อย และในรายที่มีอาการรุนแรงมักตรวจพบการทำงานของตับผิดปรกติการติดเชื้อที่ผิวหนัง ต่อมน้ำเหลือง กล้ามเนื้อหรือข้อต่าง ๆ โรคเมลิออยโดสิสเป็นสาเหตุสำคัญของต่อมน้ำเหลืองอักเสบ กล้ามเนื้ออักเสบ (pyomyositis) กระดูกอักเสบ (osteomyelitis) ซึ่งไม่ได้เกิดตามหลังอุบัติเหตุ ตลอดจนข้ออักเสบต่าง ๆ โดยอาจพบได้ในเกือบทุกข้อ โดยเฉพาะที่ ข้อที่มีการรับน้ำหนักหรือมีความเจ็บป่วยอยู่ก่อน ในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือโรคไต ภาวะเหล่า นี้พบได้ประมาณ 1 ใน 4 ของผู้ป่วยโรคเมลิออยโดสิสที่เป็นผู้ใหญ่ โดยประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยเหล่านี้มีการติดเชื้อที่อวัยวะอื่น ๆ ร่วมด้วย การติดเชื้อในระบบประสาท กลุ่มอาการนี้พบประมาณร้อยละ 1-5 ของผู้ป่วยโรคนี้เท่านั้น โดยสรุปลักษณะทางคลินิกของโรคนี้สามารถคล้ายโรคอื่นๆ ได้เกือบทุกโรคขึ้นอยู่กับตำแหน่งของอวัยวะที่เกิดโรค |
|
สัตว์ที่มักติดเชื้อได้ง่าย ได้แก่ สุกร แพะ แกะ รองลงมา คือ โค กระบือ ม้า สุนัข สัตว์แทะ และนก นอกจากนี้ปลาโลมา สัตว์ตระกูลลิง สัตว์ป่าหลายชนิด และสัตว์ทดลองเช่น หนูแฮมสเตอร์ หนูตะเภา และกระต่ายก็ติดเชื้อได้เช่นกัน การติดเชื้อเกิดจากการได้รับเชื้อจากสิ่งแวดล้อม หนองน้ำหรือในโคลนตมที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ โดยมีสัตว์ฟันแทะเป็นต้นตอสำคัญของการกระจายเชื้อ เชื้อที่ถูกปล่อยออกมาจะคงอยู่ได้นานหลายเดือนในน้ำและดินที่ชุ่มชื้น ในพื้นที่เขตร้อนชื้นระหว่างที่มีฝนตกหนักและน้ำท่วมจะทำให้อุบัติการณ์ของโรคสูงขึ้น สัตว์ติดเชื้อได้ทั้งการกิน การหายใจ และทางบาดแผล การติดเชื้อผ่านทางแมลงกัดพบได้น้อย การติดต่อระหว่างสัตว์สู่สัตว์จะมีค่อนข้างน้อย จะเกิดได้ต่อเมื่อมีการสัมผัสโดยตรงกับเลือดหรือสารหลั่งที่มีเชื้อปนอยู่จำนวนมาก ซึ่งอาจรวมถึงปัสสาวะ น้ำมูก หรือน้ำนมด้วย ตำแหน่งที่สัมผัสเชื้อก็มีผลต่อการติดเชื้อเช่นกัน ระยะฟักตัวของโรคอาจใช้เวลาตั้งแต่หลายวันจนถึงเป็นเดือนหรือปี เมื่อสัตว์ได้รับเชื้อ จะทำให้เกิดเป็นหนองซึ่งมีทั้งลักษณะที่เป็นหนองเหลวหรือเหลืองข้นในต่อมน้ำเหลือง หรืออวัยวะต่างๆ โดยที่สัตว์อาจแสดงอาการหรือไม่แสดงอาการใดๆให้เห็นก็ได้ ในกรณีที่สัตว์แสดงอาการก็มักจะเป็นอาการที่ไม่เฉพาะต่อโรค และขึ้นกับตำแหน่งที่มีรอยโรค เช่น มีไข้ เบื่ออาหาร ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ โดยเฉพาะในสุกรมักจะเป็นที่ต่อมน้ำเหลืองใต้คาง ในบางรายจะมีอาการเจ็บขา ขาหลังไม่มีแรง สมองอักเสบ รวมทั้งอาจแสดงอาการทางระบบทางเดินอาหาร หรือระบบทางเดินหายใจ ในรายที่มีก้อนฝีจำนวนมากในอวัยวะสำคัญจะตายได้ ในแพะแกะ มักเกิดฝีที่ปอด หรืออาจมีไข้ ไอ น้ำมูกน้ำตาไหล ข้อบวม ค่อยๆ ผอมแห้งลง บางตัวอาจแสดงอาการแค่มีไข้และอ่อนเพลียเท่านั้น ในแพะมักเกิดเต้านมอักเสบและต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงอักเสบด้วย การติดเชื้อที่ปอดในแพะจะรุนแรงน้อยกว่าในแกะ ในม้ามักจะมีอาการทางสมอง อาการในระบบทางเดินหายใจ รวมทั้งเสียดแน่นท้องหรือท้องเสียด้วย ในสุกรมักมีการติดเชื้อแบบเรื้อรัง แต่บางครั้งจะมีการติดเชื้อแบบเฉียบพลันได้ โดยจะมีไข้ ไม่กินอาหาร ไอ มีน้ำมูกและน้ำตา แม่สุกรอาจแท้งลูก หรือลูกตายในท้อง ส่วนในตัวผู้จะพบอัณฑะอักเสบ การติดเชื้อในโคกระบือจะค่อนข้างน้อย |
|
การดำเนินการของโรคเมลิออยโดสิสขึ้นกับความรุนแรงของโรคที่ผู้ป่วยมาพบแพทย์ ในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือดและมี ภาวะช๊อกจะมีอัตราการเสียชีวิตสูงได้ถึงร้อยละ 75 ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเฉพาะที่จะมีอัตราการตายต่ำ โดยเฉลี่ยผู้ป่วยโรคนี้ยังมีอัตราตายสูงถึงร้อยละ 40 แม้ได้รับการรักษาเบื้องต้นอย่างเหมาะสมดังนั้นในรายที่สงสัยทางคลินิกและมีอาการรุนแรงต้องรักษาผู้ป่วยด้วยยาต้านจุลชีพที่มีความไวครอบคลุมเชื้อนี้ไว้ก่อนเสมอและปรับเปลี่ยนยาต้านจุลชีพให้เหมาะสมหลังทราบผลเพาะเชื้อแล้วอีกครั้งดังกล่าวแล้ว ผู้ป่วยโรคนี้อาจมีการดำเนินของโรคแย่ลงอย่างรวดเร็วหรือมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ถ้าไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาที่เหมาะสม ดังนั้นถ้าพบผู้ป่วยที่สงสัยว่าจะมีการติดโรคเมลิออยโดสิสที่สถานีอนามัยหรือโรงพยาบาลชุมชนที่มีขีดจำกัดในการวินิจฉัยและดูแลรักษาผู้ป่วยควรทำการส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลจังหวัดหรือโรงพยาบาลศูนย์ใกล้เคียงทันที เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่เหมาะสมอย่างรวดเร็วที่สุด การรักษาในสัตว์ จากการทดสอบ microbial susceptibility test พบว่ายาที่ใช้ได้ดีคือ tetracycline และ chloramphenicol อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติ สัตว์ที่ติดเชื้อ B. pseudomallei มักจะเป็นโรคเรื้อรังโดยที่สัตว์จะแสดงอาการเมื่อใกล้ตาย ทำให้การรักษามักไม่ได้ผล ในบางรายที่ได้รับการรักษาในตอนแรกสัตว์สามารถกลับสู่สภาพปกติได้ แต่เมื่อใดที่สัตว์อ่อนแอลง เชื้อที่หลบซ่อนในร่างกายจะเจริญขึ้นทำให้เกิดโรคขึ้นอีกได้ |
