รู้ไว้ใช่ว่า!! โรคติดต่อ! โรคไม่ติดต่อ! คือ ทำไงไม่ให้ติดต่อ? ติดแล้วต่อยังไง ทำไมโรคถึงติดต่อ?ความรู้รอบตัว(วิชาการ)


1,089 ผู้ชม


โรคติดต่อ   คือ โรคที่สามารถถ่ายทอด ติดต่อถึงกันได้ระหว่างบุคคล โดยมีเชื้อจุลินทรีย์ ต่าง ๆ เป็นสาเหตุของโรค ได้แก่
  * ตาแดง
    * หูอักเสบ
    * ไข้ตัวร้อน
    * ชัก
    * ไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
    * วัณโรค
    * หลอดลมอักเสบ
    * หัด
    * หัดเยอรมัน
    * สุกใส
    * คอตีบ
    * ไอกรน
    * โปลิโอ
    * คางทูม
    * บาดทะยัก
    * ไข้เลือดออก
    * สมองอักเสบ
    * โรคติดต่อทางระบบทางเดินอาหาร
    * อุจจาระร่วง
    * บิด
    * ไวรัสตับอักเสบ  เอ
    * ไวรัสตับอักเสบ  บี
โรคติดต่อและโรคเขตร้อน โดย นายแพทย์สุวิทย์ อารีกุล และคนอื่นๆ
          โรคติดต่อ  หมายถึง  โรคที่เกิดจากเชื้อโรคเข้าไปเพิ่มจำนวนในร่างกาย  อาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเป็นผลจากตัวเชื้อโรคเอง  หรือพิษที่เชื้อโรคนั้นปล่อยออกมา เชื้อโรคจะติดต่อถ่ายทอดจากผู้ป่วยโดยตรงหรือโดยอ้อมไปสู่คนปกติ บางครั้งเรียกว่า โรคติดเชื้อแทนคำว่า โรคติดต่อ
         สำหรับในเขตร้อน  อากาศอบอุ่นจนถึงร้อนจัดตลอดปี และมีฝนตกชุก มีความชื้นสูง เป็นผลให้เชื้อโรคชนิดต่างๆ ตลอดจนแมลงที่เป็นพาหะนำโรคเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ได้เร็ว  ทำให้มีโรคติดต่อต่างๆชุกชุม และบางโรคก็พบบ่อยกว่าประเทศที่มีอากาศหนาว โรคที่พบบ่อยในแถบเขตร้อนนี้ รวมเรียกว่า  โรคเขตร้อน  (tropical diseases) ซึ่งอาจเกิดจากเชื้อได้มากมายหลายชนิด นับตั้งแต่เชื้อไวรัสซึ่งมีขนาดเล็กมากลงไปจนถึงสัตว์เซลล์เดียว และหนอนพยาธิต่างๆ 
         จุลินทรีย์หรือจุลชีพ คือ สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายเป็นพันเท่าหรือหมื่นเท่าจึงจะมองเห็น ได้ ในบรรยากาศที่ล้อมรอบตัวเรา ในดิน ในน้ำ ในอาหาร บนผิวกาย  หรือในร่างกายของเรา  จะสามารถตรวจพบจุลินทรีย์ต่างๆได้มากมายหลายชนิด
          จุลินทรีย์บางชนิด  มีชีวิตอยู่โดยไม่ทำอันตรายต่อคนหรือสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตอื่น   บางชนิดมีประโยชน์ช่วยสังเคราะห์สารต่างๆให้ประโยชน์ในทางกสิกรรม และอุตสาหกรรม    แต่บางชนิดก่อโรคให้กับคน  สัตว์และพืช จุลินทรีย์ที่ก่อโรคนี้รวมเรียกว่า "เชื้อโรค"
         เราอาจแบ่งจุลินทรีย์ออกเป็นกลุ่มตามขนาด  รูปร่าง และคุณสมบัติอื่นๆ ได้ดังนี้
         ๑. เชื้อไวรัส เป็นจุลินทรีย์ที่ขนาดเล็กที่สุดต้องใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนที่มีกำลัง ขยายเป็นหมื่นเท่าจึงจะมองเห็นได้ เรายังไม่สามารถเพาะเลี้ยงเชื้อไวรัสได้ในอาหารเพาะเลี้ยง เชื้อไวรัสเจริญเพิ่มจำนวนได้เมื่ออยู่ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น
         ตัวอย่างโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส  ได้แก่ ไข้ทรพิษพิษสุนัขบ้า ไขสันหลังอักเสบหรือโปลิโอ หัด คางทูม และอีสุกอีใส เป็นต้น
          ๒.  เชื้อบัคเตรี มีขนาดใหญ่กว่าเชื้อไวรัสสามารถมองเห็นได้เมื่อส่องขยายด้วยกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา
         เชื้อบัคเตรีแบ่งออกเป็นกลุ่ม ตามรูปร่างที่มองเห็น
         กลุ่มที่มีรูปร่างกลม เรียกว่า ค็อกไซ (cocci)  
         กลุ่มที่มีรูปร่างเป็นแท่ง เรียกว่า บะซิลไล(bacilli) 
         กลุ่มที่มีรูปร่างขดเป็นเกลียวสว่าน เรียกว่า สไปโรคีต (spirochete) 
         ตัวอย่างโรคจากเชื้อบัคเตรี ได้แก่ อหิวาตกโรคไข้ไทฟอยด์ บิด  บาดทะยัก หนองใน วัณโรคหนองฝี ไข้เจ็บคอ ปอดบวม คอตีบ และไอกรนเป็นต้น
          นอกจากนี้ยังมีบัคเตรีอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติต่างไปจากเชื้อบัคเตรีส่วนใหญ่ บัคเตรีอื่นๆ  เหล่านี้อาจแยกเป็นกลุ่มย่อยได้ดังนี้
          ไมโคพลาสมา (Mycoplasma) เป็นบัคเตรีที่ไม่มีผนังเซลล์ มีขนาดเล็กมากต้องส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ทำให้เกิดโรคปอดบวม และโรคอื่นๆ
          คลามีเดีย (chlamydia) มีขนาดเล็กมาก และไม่สามารถเพาะเลี้ยงได้ในอาหารเพาะเลี้ยง   ต้องใช้เซลล์มีชีวิต  เป็นสาเหตุของโรคริดสีดวงตา หนองในเทียมและโรคอื่นๆ
          ริกเก็ตต์เซีย (Rickettsia)  มีขนาดเล็กมาก เชื้อในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ก่อโรคในสัตว์  และติดต่อมายังคนโดยมีแมลงเป็นพาหะ  เกือบทุกตัวไม่สามารถเจริญได้ในอาหารเพาะเลี้ยง  ต้องใช้เซลล์มีชีวิต  มีเพียงบางตัวที่เลี้ยงได้ในอาหารที่เตรียมขึ้น ตัวอย่างของโรคที่เกิดจาก ริกเก็ตต์เซีย ได้แก่ ไข้รากสาดใหญ่หรือไข้ไทฟัสเป็นต้น
          ๓. เชื้อรา (fungus) มีขนาดใหญ่กว่าเชื้อบัคเตรี พบว่ามีรูปร่าง ๒ แบบ คือ ราแบบรูปกลมเรียกว่า ยีสต์ และราแบบเป็นสาย เรียกว่า สายราราบางชนิดจะมีรูปร่างได้ทั้ง ๒ แบบ ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติ  เราอาจมองเห็นกลุ่มของเชื้อราได้
ด้วยตาเปล่า ราบางชนิดจะสร้างสปอร์สำหรับสืบพันธุ์เกิดเป็นเห็ดขึ้น 
         ตัวอย่างโรคจากเชื้อรา ได้แก่ กลาก เกลื้อนและฝ้าขาวในปากเด็ก  เป็นต้น
          ๔.  เชื้อปรสิต (parasite) เป็นจุลชีพที่มีขนาดใหญ่ มีลักษณะใกล้เคียงกับสัตว์มากกว่าพืช ภายในเซลล์แยกออกเป็นนิวเคลียสและไซโทพลาซึม (cytoplasm) ชัดเจน แบ่งย่อยออกไปอีกเป็น สัตว์เซลล์เดียว หนอนพยาธิ และอาร์โทรพอด  (arthropod) ตัวอย่างเชื้อปรสิต ได้แก่ เชื้อบิดอะมีบา เชื้อมาลาเรียพยาธิตัวกลม  พยาธิใบไม้  พยาธิตัวตืด  ตัวหิด และตัวโลน  เป็นต้น
         เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายระยะแรกจะมีจำนวนไม่มากพอที่จะก่อโรค จะต้องอาศัยช่วงระยะเวลาหนึ่งแบ่งตัวเพิ่มจำนวน   แล้วปรากฏอาการโรคภายหลังระยะเวลาตั้งแต่เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย จนกระทั่งปรากฏอาการโรคเรียกว่า  ระยะฟักตัว
         การติดเชื้อ  หมายถึง การที่เชื้อโรคเพิ่มจำนวนในร่างกาย โดยจะปรากฏอาการของโรคหรือไม่ก็ได้ 
         ผลจากการติดเชื้อ มักทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานเกิดขึ้น และอาจทำให้ไม่เป็นโรคจากเชื้อนั้นอีกก็ได้
         โรคติดเชื้อบางโรค   จะติดต่อแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นได้ง่าย   หากในบริเวณนั้นมีผู้ติดโรคเป็นจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้นเรียกว่า    เกิดเป็นโรคระบาด บางโรคจะต้องมีพาหะนำเชื้อโรค และบางโรคจะต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ จึงจะเกิดการติดเชื้อก่อโรคได้ 
รู้ไว้ใช่ว่า!! โรคติดต่อ! โรคไม่ติดต่อ! คือ ทำไงไม่ให้ติดต่อ? ติดแล้วต่อยังไง ทำไมโรคถึงติดต่อ?ความรู้รอบตัว(วิชาการ)
ภาพขยายเชื้อโรคบาดทะยัก รู้ไว้ใช่ว่า!! โรคติดต่อ! โรคไม่ติดต่อ! คือ ทำไงไม่ให้ติดต่อ? ติดแล้วต่อยังไง ทำไมโรคถึงติดต่อ?ความรู้รอบตัว(วิชาการ)

รู้ไว้ใช่ว่า!! โรคติดต่อ! โรคไม่ติดต่อ! คือ ทำไงไม่ให้ติดต่อ? ติดแล้วต่อยังไง ทำไมโรคถึงติดต่อ?ความรู้รอบตัว(วิชาการ)
ภาพขยายเชื้อโรคหนองในกลาง รู้ไว้ใช่ว่า!! โรคติดต่อ! โรคไม่ติดต่อ! คือ ทำไงไม่ให้ติดต่อ? ติดแล้วต่อยังไง ทำไมโรคถึงติดต่อ?ความรู้รอบตัว(วิชาการ)

รู้ไว้ใช่ว่า!! โรคติดต่อ! โรคไม่ติดต่อ! คือ ทำไงไม่ให้ติดต่อ? ติดแล้วต่อยังไง ทำไมโรคถึงติดต่อ?ความรู้รอบตัว(วิชาการ)
ภาพขยายเชื้อโรคที่ทำให้แผลเน่า รู้ไว้ใช่ว่า!! โรคติดต่อ! โรคไม่ติดต่อ! คือ ทำไงไม่ให้ติดต่อ? ติดแล้วต่อยังไง ทำไมโรคถึงติดต่อ?ความรู้รอบตัว(วิชาการ)



หัวข้อ

ทางติดต่อของเชื้อโรค
          ได้แก่
          ๑.  ทางการหายใจหรือสูดดม  นับว่าเป็นทางที่สำคัญที่สุด ผู้ป่วยจะปล่อยเชื้อโรคออกมากับน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ โดยการไอหรือจาม เกิดเป็นละอองฝอยกระจายอยู่ในอากาศ   ถ่ายทอดให้ผู้อื่นโดยการสูดดมละอองเชื้อโรคเข้าไป ทำให้ติดเชื้อป่วยเป็นโรค ตัวอย่างเช่น วัณโรค ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ไข้คอตีบ ไอกรน และหัด เป็นต้น
          ๒.  ทางการกิน   โดยการกินอาหารหรือน้ำดื่มที่มีเชื้อโรคปนเปื้อน เชื้อโรคจะเข้าไปเพิ่มจำนวนในลำไส้  ออกมากับอุจจาระแล้วปนเปื้อนกับอาหารหรือเครื่องดื่ม  ติดต่อสู่ผู้อื่นต่อไป  ตัวอย่างเช่น อหิวาตกโรค บิด ไข้ไทฟอยด์หรือไข้รากสาดน้อย   โปลิโอตับอักเสบ   พยาธิใบไม้ในตับ พยาธิตืดหมู พยาธิตืดวัว พยาธิใบไม้ในปอด และพยาธิตัวจี๊ด  เป็นต้น
          ๓. ทางผิวหนัง ทางบาดแผล รอยถลอกหรือฉีดยา โดยทั่วไปผิวหนังและเยื่อบุของคนปกติจะสามารถป้องกันการบุกรุกของเชื้อโรค เข้าสู่ร่างกาย แต่ถ้าเกิดบาดแผลหรือรอยถลอก  หรือแทงเข็มผ่านไปก็จะทำให้เชื้อโรคเข้าไปเพิ่มจำนวนได้   ตัวอย่างเช่นโรคพิษสุนัขบ้า  บาดทะยัก และหนองฝี เป็นต้น
          แมลงหลายชนิดเป็นพาหะนำโรค  เช่นยุง หมัด เห็บ เหา และไร แมลงจะกัดกินเลือดผู้ป่วยที่มีเชื้อโรคเข้าไป    เชื้อโรคไปเพิ่มจำนวนในตัวแมลง และเมื่อแมลงไปกัดกินเลือดผู้อื่นก็จะปล่อยเชื้อถ่ายทอดไป ตัวอย่างเช่น มาลาเรีย  ไข้เลือดออก  และไข้สมองอักเสบ เป็นต้น  แมลงบางชนิดเป็นพาหะนำโรคโดยเป็นสื่อกลางนำเชื้อจากที่หนึ่งไปยังอีกที่ หนึ่งโดยตรงไม่มีการเพิ่มจำนวนของเชื้อ เช่น โรคไวรัสตับอักเสบบีเป็นต้น
          ระยะติดต่อของพยาธิและเชื้อบัคเตรีบางชนิดสามารถไชเข้าทางผิวหนังที่ไม่มี รอยบาดแผลได้ เช่นพยาธิปากขอ พยาธิใบไม้เลือด และเชื้อเล็พโทสไปโรซิส (leptospirosis) เป็นต้น
          ๔. ทางเพศสัมพันธ์  โรคที่ติดต่อทางเพศเดิมเคยเรียกว่า กามโรค ปัจจุบันเรียกว่า  โรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์  ซึ่งมีมากมายหลายโรค  เช่น หนองในซิฟิลิส หูดหงอนไก่  เริม และแผลริมอ่อน
          ๕. ทางรกและช่องคลอด ถ้ามารดามีการติดเชื้อโรคบางอย่างขณะตั้งครรภ์  ทำให้ทารกติดเชื้อ  เกิดความพิการแต่กำเนิด  แท้ง หรือตายตั้งแต่แรกคลอดเชื้อที่สำคัญได้แก่ ซิฟิลิส หัดเยอรมัน เป็นต้น
         นอกจากนี้  ถ้ามารดามีการติดเชื้อบริเวณช่องคลอด  ทารกจะได้รับเชื้อโดยการกลืนกิน  สูดดมหรือสัมผัสขณะคลอด ทำให้เกิดโรคอาการรุนแรง ตัวอย่างเช่น ตาอักเสบจากหนองใน หนองในเทียม และโรคเริม เป็นต้น
         เชื้อโรคบางอย่างจะติดต่อก่อโรคจากคนไปสู่คนเท่านั้น  แต่บางโรคอาจติดต่อถ่ายทอดจากสัตว์มาสู่คนโรคติดต่อจากสัตว์ที่สำคัญ ได้แก่ โรคพิษสุนัขบ้า วัณโรค  โรคเล็พโทสไปโรซิส  โรคสมองอักเสบจากเชื้อรา  และโรคสมองอักเสบจากเชื้อไวรัส เป็นต้น
รู้ไว้ใช่ว่า!! โรคติดต่อ! โรคไม่ติดต่อ! คือ ทำไงไม่ให้ติดต่อ? ติดแล้วต่อยังไง ทำไมโรคถึงติดต่อ?ความรู้รอบตัว(วิชาการ)
ตัวโลน เชื้อปรสิตชนิดหนึ่ง รู้ไว้ใช่ว่า!! โรคติดต่อ! โรคไม่ติดต่อ! คือ ทำไงไม่ให้ติดต่อ? ติดแล้วต่อยังไง ทำไมโรคถึงติดต่อ?ความรู้รอบตัว(วิชาการ)

รู้ไว้ใช่ว่า!! โรคติดต่อ! โรคไม่ติดต่อ! คือ ทำไงไม่ให้ติดต่อ? ติดแล้วต่อยังไง ทำไมโรคถึงติดต่อ?ความรู้รอบตัว(วิชาการ)
ตัวเห็บ สัตว์พาหะนำโรคชนิดหนึ่ง รู้ไว้ใช่ว่า!! โรคติดต่อ! โรคไม่ติดต่อ! คือ ทำไงไม่ให้ติดต่อ? ติดแล้วต่อยังไง ทำไมโรคถึงติดต่อ?ความรู้รอบตัว(วิชาการ)

พาหะของโรค
         ได้แก่ คนหรือสัตว์ที่มีเชื้อโรคอาศัยอยู่โดยไม่แสดงอาการของโรคและสามารถถ่ายทอด เชื้อโรคไปสู่ผู้อื่นได้   ระยะเวลาที่เป็นพาหะอาจสั้นเพียงชั่วคราว  หรือพบเชื้ออยู่ได้นานเป็นพาหะเรื้อรัง พาหะนำโรคนี้อาจเป็นผู้ที่มีสุขภาพสมบูรณ์ ผู้สัมผัสโรค ผู้อยู่ในระยะฟักตัวของโรค  หรือผู้ที่เพิ่งหายจากการป่วยเป็นโรคก็เป็นพาหะของโรคได้

ระยะติดต่อของโรค
          หมายถึง ระยะเวลาที่คนหรือสัตว์ที่มีเชื้อโรคนั้น แล้วสามารถนำเชื้อถ่ายทอดไปสู่ผู้อื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม 
          เมื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้รับเชื้อโรค    จะเกิดการติดเชื้อป่วยเป็นโรคหรือไม่นั้น   ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและจำนวนของเชื้อโรคที่ได้รับเข้าไป และความต้านทานหรือสภาพร่างกายของบุคคลผู้นั้น    ผู้ที่มีสุขภาพดีได้รับอาหารที่เหมาะ ออกกำลังและพักผ่อนเพียงพอจะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคต่างๆ ดีกว่าผู้ที่ขาดอาหารหรือเจ็บป่วยเป็นโรคเรื้อรัง ผู้ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวจะมีภูมิคุ้มกันโรคดีกว่าเด็กอ่อนหรือคนชรา
          เราอาจสร้างเสริมภูมิคุ้มกันจำเพาะโรคใดโรคหนึ่งให้เกิดขึ้นได้ โดยการฉีดวัคซีนหรือให้เซรุ่ม (serum) ที่มีภูมิคุ้มกันโรคนั้น

วัคซีน
          หมาย ถึง ตัวเชื้อโรคหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของเชื้อที่สามารถนำมาฉีดเข้าสู่ร่างกายโดย ไม่ทำให้เกิดโรครุนแรง  แต่จะมีผลให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ 
          วัคซีน  แบ่งได้เป็น  ๒ ชนิด คือ วัคซีนที่ประกอบด้วยเชื้อโรคที่ตายแล้ว กับวัคซีนที่มีเชื้อโรคที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งถูกเลี้ยงจนอ่อนฤทธิ์หรือ เชื่อง ไม่ก่อโรคเหมือนเชื้อที่พบในธรรมชาติ
          เชื้อโรคบางชนิดจะก่อโรคโดยการสร้างชีวสารที่เป็นพิษต่อร่างกายเรียกว่า ท็อกซิน (toxin) เรานำท็อกซินนี้มาดัดแปลงทำให้สภาพเป็นพิษหมดลงได้  แต่ยังคงสามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ เรียกว่าท็อกซอยด์ (toxoid) ซึ่งก็ถือว่าเป็นวัคซีนชนิดหนึ่ง
          ภายหลังการฉีดวัคซีนหรือท็อกซอยด์ประมาณ ๒-๔ สัปดาห์ ร่างกายจึงจะมีภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นเองเกิดขึ้นป้องกันโรคได้โดยตรง แต่บางครั้ง บุคคลที่สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยมีโอกาสติดเชื้อโรค อาจจะฉีดวัคซีนให้ไม่ทันเวลา จำเป็นต้องฉีดเซรุ่มของคนหรือสัตว์ที่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคนั้นให้ทันที  ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโดยทางลัด
                                                                                                       ข้อมูลที่มา   https://guru.sanook.com

อัพเดทล่าสุด