เรามาประหยัดพลังงานด้วยวัฒนธรรมลอจิสติกส์กันเถอะ รวดเร็วมีประโยชน์และช่วยลดค่าใช้จ่ายอีกด้วย


1,176 ผู้ชม

เราคงจะต้องหันมาดูเรื่องการ ประหยัดพลังงานกันอีกครั้งหนึ่งตามประสาคนไทยที่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุกันเป็น


  ประหยัดพลังงานด้วยวัฒนธรรมลอจิสติกส์
 

เราคงจะต้องหันมาดูเรื่องการ ประหยัดพลังงานกันอีกครั้งหนึ่งตามประสาคนไทยที่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุกันเป็น ปกติ ผมลองสังเกตดูในหลายสิบปีที่ผ่านมา เรามีโครงการประหยัดพลังงานกันเป็นช่วงๆพอผ่านพ้นวิกฤตแล้วเราก็กลับมามี พฤติกรรมเหมือนเดิมอีก จริงไหมครับ ไม่เชื่อท่านก็ลองนึกดูก็แล้วกัน แล้ววิกฤตพลังงานครั้งนี้จะทำให้คนไทยมีโอกาสได้กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีก ครั้งหรือไม่ นี่เป็นประเด็นที่ผมอยากจะจุดประกายการแก้ปัญหาพลังงานอย่างยั่งยืน โดยผมมีประเด็นอยู่สองประเด็น คือ การออกแบบและการใช้งาน ถ้าเราออกแบบมาเพื่อใช้งานได้อย่างฟุ่มเฟือย การใช้งานก็ย่อมฟุ่มเฟือยตาม ส่วนการใช้งานผลิตภัณฑ์นั้นๆก็ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของผู้ใช้งานว่าใช้อย่าง เหมาะสมหรือไม่ ผมมองว่านั่นคือ วัฒนธรรมการใช้พลังงาน


  เรามาประหยัดพลังงานด้วยวัฒนธรรมลอจิสติกส์กันเถอะ รวดเร็วมีประโยชน์และช่วยลดค่าใช้จ่ายอีกด้วย
 

พลังงาน คือ ชีวิต
ชีวิตนั้นเกิดจากการใช้พลังงานหรือเผาผลาญในเซลล์ต่างๆให้เกิดพลังงาน ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ เครื่องจักรหรือธุรกิจก็เช่นกันย่อมต้องใช้พลังงานเพื่อให้เกิดการขัล เคลื่อนในแปลงสภาพทรัพยากรไปสู่สิ่งที่เกิดประโยชน์ต่อลูกค้าและสังคม กิจกรรมต่างๆในระบบใดๆก็ตามย่อมต้องมีกิจกรรมลอจิสติกส์ที่สนับสนุนการเคลื่อนย้ายของทรัพยากรตามฟังก์ชั่นหน้าที่ของมัน การ เคลื่อนย้ายของ สสารต่างๆย่อมต้องการพลังงานกลในการเคลื่อนย้ายทั้งสิ้น โดยเฉพาะสิ่งที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์ขึ้นมา สิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมาและไม่ได้อยู่ในระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติจำเป็น ต้องใช้พลังงานกลที่คิดค้นโดยมนุษย์ แต่พลังงานที่ในการขับเคลื่อนเหล่านี้ก็มาจากธรรมชาติอยู่ดี แต่ที่น่าแปลกคือมนุษย์เราเป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติ มีชีวิตอยู่กับธรรมชาติ และใช้ประโยชน์จากธรรมชาติในขณะเดียวกันก็ทำลายธรรมชาติไปด้วย
ธุรกิจก็เหมือนคนเราที่ต้องการมีชีวิต ต้องการพลังงานเพื่อที่จะสามารถเคลื่อนไหวได้ พลังงานสำหรับชีวิตก็คืออาหาร แต่สำหรับธุรกิจก็คือน้ำมันและพลังงานไฟฟ้าที่มาจากธรรมชาติทั้งสิ้น คนเราเองบางครั้งคิดว่าเราสามารถเข้าใจและพยายามเอาชนะธรรมชาติให้ได้ แต่สุดท้ายก็ต้องพึ่งพาธรรมชาติอยู่ดี
ดังนั้นเราคงจะสังเกตเห็นได้ว่าคนที่ตายแล้วนั้นไม่เคลื่อนไหว ธุรกิจที่มีปัญหาหรือตายแล้วก็ย่อมที่จะไม่มีการเคลื่อนย้ายเช่นกัน และกิจกรรมเคลื่อนย้ายเหล่านี้ก็คือกิจกรรมลอจิสติกส์นั่นเอง

 
ประหยัดด้วยแนวคิดลอจิสติกส์
การเคลื่อนย้ายย่อมต้องใช้พลังงาน ในชีวิตประจำวันและธุรกิจนั้นเราไม่สามารถหยุดการเคลื่อนย้ายได้เพราะถ้าเรา หยุดเคลื่อนไหวเราก็เหมือนคนตาย หรือถ้าไม่มีการเคลื่อนย้ายวัตถุดิบแล้วธุรกิจก็คงล้มสลายไปเช่นกันการ ใช้แนวคิดลอจิสติกส์ไม่ใช่แค่การพิจารณาการเคลื่อนย้ายเท่านั้น แต่เป็นการพิจารณาตัดสินใจอย่างมีสติหรือมีข้อมูลาสำหรับการตัดสินใจเพื่อ ให้เกิดการเคลื่อนย้าย
ลองพิจารณาดูว่าตลอดวันในการตัดสินใจเรื่องรามต่างๆนั้นมีอยู่กี่เรื่องและ แต่ละเรื่องอย่างน้อยจะต้องมีส่วนมาเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่เคลื่อนย้าย ไม่ว่าเราจะคิดและตัดสินใจอะไรในชีวิตประจำวันของเรนาจะต้องเกี่ยวข้องกับ ลอจิสติกส์ทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะไปไหน ไปอย่างไร ไปเมื่อไหร่ หรือถึงที่หมายเมื่อไหร่ จะพักที่ไหนในระหว่างเดินทางแม้แต่การจะหาที่ทำงานหรือหาโรงเรียนให้ลูก หรือจะหาเรือนหอสักหลังหนึ่ง เราทักจะนึกถึงทำเลที่ตั้งที่สะดวกต่อการเดินทาง ที่มักขโมยเวลาของคนเมืองหลวงไปอย่างเปล่าประโยชน์ ลักษณะเช่นนี้เป็นลอจิสติกส์ที่ขาดการจัดการ เพราะการจัดการลอจิสติกส์ที่ดี จะต้องสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้ใช้งานประหยัดทั้งเวลาและเงิน
ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมีการพูดถึงลอจิสติกส์กันมามากในช่วงระยะนี้เพราคิด ว่าลอจิสติกส์คือคำตอบพร้อมทั้งหลอกหลอนตัวเองว่าถ้าใช้ลอจิสติกส์แล้วจะ เป็นคนที่ทันสมัยตามโลกที่เจริญแล้วได้ทัน ด้วยความเขลา แค่เปลี่ยนฃื่อหรือประกาศว่าตัวเองหรือหน่วยงานของตัวเองนั้นนำเอาแนวคิด ลอจิสติกส์มาใช้ แต่ที่ไหนได้ก้เปลี่ยนแค่เปลือกนอกเท่านั้น แต่ภูมิปัญญาในการจัดการนี่สิจะต้องพัฒนากันอีกมาก พร้อมทั้งการพัฒนาความเข้าใจร่วมกันในการจัดการ ถ้าใครเคยเรียนการจัดการแต่ผมไมได้หมายถึงการประหยัดแบบใช้ให้น้อยที่สุด แต่การจัดการนั้นพยายามที่จะจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสมหรือพอดีกับความต้อง การ ไม่มากเกินความจำเป็นและไม่น้อยกว่าความต้องการ วัฒนธรรมตรงนี้แฝงอยู่ในหลักการจัดการโดยทั่วไปอยู่แล้ว คนไทยเราเองอาจจะไม่เคยชินเพราะในน้ำมีปลาในนามีข้าว จนเคยตัว เป็นคนเคยร่ำรวยทรัพยากรธรรมชาติ มาคราวนี้เรากำลังจะหมดตัวกันแล้วจะทำใจปรับตัวยอมรับสภาพตัวเองได้หรือไม่ นอกจากการประหยัดพลังงานแล้วเราคงจะต้องมองไปในอนาคตด้วย
เรื่องของการจัดการนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ผู้ใช้จะต้องผสมผสานกัน อย่างกลมกลืนเพื่อที่จะเข้าใจตัวปัญหาและหนทางการแก้ปัญหาให้สำเร็จลุล่วงไป หัวใจของการจัดการนั้นคือ การจัดการความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างๆของปัญหาหรือสิ่งที่เราสนใจ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงด้วย หาหนทางในการรองรับสถานการณ์ในอนาคต ไม่ใช่การย่ำอยู่กับที่ ประเด็นหรือวัฒนธรรมตรงนี้สำคัญมาก เพราะถ้าผู้นำและทุกคนในสังคมมีวัฒนธรรมในการคิดไปข้างหน้าย่อมทำให้ตัวเรา หรือประเทศมีความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน


ลอจิสติกส์ ไม่ใช่แค่การขนส่งแต่เป็นการจัดการ
ตั้งแต่ผมเริ่มสอนและบรรยายในหัวข้อของการจัดการลอจิสติกส์เมื่อหลายปีที่ ผ่านมา ผมพบว่าปัญหาที่สำคัญที่สุดในการจัดการลอจิสติกส์ คือ การมีความเข้าใจไม่ตรงกันในความหมายจากความเข้าใจดั้งเดิมที่เป็นการขนส่งมา สู่ความเข้าใจที่เป็นศิลปะแห่งการจัดการแบบบูรณาการหรือเป็นการจัดการการ ดำเนินการ(Management of Operations) ตลอดจนโซ่คุณค่า(Value Chain) ของ องค์กรหรือวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ เมื่อความเข้าใจต่างกัน ผลลัพธ์ในเชิงความคิดหรือนโยบายก็ออกมาต่างกันด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้กำหนดนโยบายและผู้ตอบสนองนโยบายถ้ามองไม่เหมือนกันแล้ว ผลที่เกิดขึ้นคงจะไม่ประโยชน์อันเลยกับสังคมเหมือนกับสภาพการณ์ต่างๆที่เกิด ขึ้นอยู่สังคมไทยในเวลานี้
เรื่องของการจัดการนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ผู้ใช้จะต้องผสมผสานกัน อย่างกลมกลืนเพื่อที่จะเข้าใจตัวปัญหาและหนทางแก้ไขให้สำเร็จลุล่วงไป หัวใจ ของการจัดการนั้นคือ การจัดการความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างๆของปัญหาหรือสิ่งที่เราสนใจ แล้วองค์ประกอบของธุรกิจไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็มักจะเชื่อมต่อกันด้วยกิจกรรม ลอจิสติกส์หรือการเคลื่อนย้ายและจัดเก็บ ดังนั้นการจัดการขนส่งหรือการจัดการเคลื่อนย้ายเพียงอย่างเดียวคงจะไม่พอ สำหรับภาพที่แสดงถึงสภาพของปัญหาทั้งหมดที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันไปทั่วไป หมด

  เรามาประหยัดพลังงานด้วยวัฒนธรรมลอจิสติกส์กันเถอะ รวดเร็วมีประโยชน์และช่วยลดค่าใช้จ่ายอีกด้วย
 
 
เรามาประหยัดพลังงานด้วยวัฒนธรรมลอจิสติกส์กันเถอะ รวดเร็วมีประโยชน์และช่วยลดค่าใช้จ่ายอีกด้วย
 

พลังงานปัญหาพื้นฐานของทุกสิ่ง
ถ้าเคยดูหนังเรื่อง Mad Max ที่พระเอกเมลล์กิ๊บสันแสดงเมื่อสมัยตอนเป็นหนุ่มๆ ก็เป็นเรื่องราวที่ช่วงเชิงแหล่งพลังงานกัน และมีหนังอีกหลายเรื่องที่สะท้อนถึงความต้องการพลังงานและยิ่งไปกว่าหนัง เสียอีก สงครามที่เกิดขึ้นในระยะหลังนี้ดูหมายจะกลายเป็นสงครามเพื่อช่วงชิงแหล่ง พลังงานน้ำมันที่สำคัญ ผมคงต้องกล่าวไม่ผิดหรอกว่าพลังงานคือ ชีวิตและชีวิตทำให้เกิดธุรกิจหรือสิ่งอื่นๆที่สร้างสรรค์และทำลายโลก แต่ผมว่าน่าจะเป็นการทำลายโลกเสียมากกว่า น้ำมันแพงคราวนี้หรือคราวไหนๆก็ตามนั้นไม่ได้ผลต่อการขนส่งเท่านั้นแต่มีผล ต่อโซ่คุณค่าของสังคมมนุษย์โดยตรง เพียงแต่ว่าเราจะปรับตัวได้ดีขนาดไหนและที่สำคัญเรามองไปในอนาคตเพื่อรองรับ สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ดีขนาดไหน ดังนั้นถ้าประเทศไทยเรายังจัดการกับสิ่งที่เป็นพื้นฐานของทุกสิ่งอย่าง พลังงานไม่ได้ เราคงตกอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบเป็นอย่างมาก พลังงานเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้แล้วหมดไปวงจรชีวิตกว่าจะนำกลับมาใช้อีกคงจะไม่ ทันกับปริมาณการใช้ของมนุษย์บนโลก
ทรัพยากรพลังงานที่อยู่บนโลกถูกใช้ไปเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์จน เกือบจะหมดไปแล้ว ใครสามารถสร้างพลังงานทดแทนหรือหาแหล่งพลังงานใหม่ได้ย่อมที่จะเป็นจ้าวโลก ไปในทันที การที่จะเป็นจ้าวโลกได้ไม่ใช่ใช้สถานะความเป็นเข้าของเท่านั้น แต่ควรจะเป็นการใช้อย่างชาญฉลาดมากกว่า ผมมองว่ามันเหมือนการลงทุนในยุคปัจจุบันการมีน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาตินั้นไม่ ใช่คำตอบสุดท้าย แต่การใช้ประโยชน์จากพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีการวางแผนในอนาคตอย่าง ต่อเนื่องทั้งระยะสั้นและระยะยาว

 

วัฒนธรรมการใช้พลังงาน
ปัญหาทั้งหลายที่เกิดในสังคมทุกวันนี้ก็มาจากคนทั้งสิ้น ประเทศจะเจริญหรือไม่พัฒนานั้นก็มาจากคนในทุกระดับชั้นที่ร่วมกันสร้างชาติ แต่การที่กลุ่มคนในชาติเหล่านั้นจะร่วมมือกันได้นั้น ก็คงจะต้องมีความคิดร่วมกันที่เหมือนกัน ยอมรับร่วมกันเสียก่อน เพื่อที่จะได้ทุกคนที่มีหน้าที่ต่างๆได้กำหนดบทบาทของตัวเองได้สอดคล้องกัน ทั่วทั้งสังคม พลังงานนั้นเป็นของมีค่า เมื่อใช้แล้วย่อมหมดไป เงินเรามีไม่มาก พลังงานกลายเป็นสินค้าราคาแพงเมื่อเริ่มขาดแคลน ความเข้าใจเบื้องต้นเหล่านี้จะต้องอยู่ในความตระหนักของทุกคนในสังคม ไม่ใช่มีปัญหาเมื่อไรก็ออกมารณรงค์ประหยัดพลังงานกันเป็นช่วงๆ เหมือนกับการแก้ปัญหาแบบวัวหายแล้วค่อยล้อมคอก ผมว่ามันไม่ทันแล้วผมเคยไปต่างประเทศ บางครั้งยังนึกว่าทำไมห้างสรรพสินค้าเขาถึงปิดเร็วนัก โดยมีกำหนดเวลาให้เราเลือกซื้อสินค้าน้อยเหลือเกิน ผมมองว่าเพื่อเป็นการประหยัดพลังงานและแรงคน แล้วดูบ้านเราสิครับ เปิดเร็ว ปิดดึกไว้รอคอยดักรอคนมาซื้อของทุกช่วงเวลา จะมีสักกี่ช่วงเวลาที่มีคนมาซื้อของมากๆ พอมีการนโยบายประหยัดการเปลี่ยนเวลา เปิด-ปิด ห้างสรรพสินค้าก็ทำได้ไม่เท่าไหร่ก็เลิกกลับมาเหมือนเดิม ดูสิว่าแม้แต่ตัวเราเองก็ไม่ได้มีวัฒนธรรมของการประหยัดพลังงานอย่างใงราก ลึกลงไปในการดำเนินธุรกิจหรือการกำหนดกฎระเบียบต่างๆของสังคม เมื่อจำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิตก็ต้องเปลี่ยนให้ ต้องทำให้ได้ แม้ว่าจะลำบากในตอนนี้ แต่ถ้าทำให้ชีวิตข้างหน้าเราสบายขึ้น ให้นึกว่าสร้างวัฒนธรรมดีๆไว้ให้ลูกหลาน เพราะว่าเขายังคงต้องใช่ชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกนานกว่าเรามาก วัฒนธรรมที่ดีน่าจะเป็นมรดกที่ดีให้กับลูกหลานมากกว่าทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป วัฒนธรรมนั้นมีโอกาสที่จะพัฒนาปรับปรุงตามสภาพได้

ที่มา : ชงโคสาร ฉบับที่ 3/2550 ดร.วิทยา สุหฤกดำรง

อัพเดทล่าสุด