โคลงสี่สุภาพ เป็นคำประพันธ์ประเภทร้อยกรองชนิดหนึ่งที่ปรากฏในวรรณคดีไทยมานานแล้ว
ฉันทลักษณ์ของโคลงสี่สุภาพ
ฉันทลักษณ์ของโคลงสี่สุภาพ
โคลงสี่สุภาพ เป็นคำประพันธ์ประเภทร้อยกรองชนิดหนึ่งที่ปรากฏในวรรณคดีไทยมานานแล้ว โดยเฉพาะโคลงสี่สุภาพบทหนึ่งจากลิลิตพระลอได้ถูกยกมาเป็นโคลงครูของการแต่ง คำประพันธ์ประเภท
โคลงสี่สุภาพ
เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า
สองเขือพี่หลับใหล ลืมตื่น ฤาพี่
สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ
(ลิลิตพระลอ)
1. คณะ 1 บท มี 4 บาท บาทหนึ่งมี 2 วรรค วรรคต้นมี 5 คำ วรรคหลังมี 2 คำ ส่วนบาทที่ 4 นั้น วรรคต้นมี 5 คำ วรรคหลังมี 4 คำ โคลง 1 บท จึงมี 30 คำ ท้ายบาท 1 และ บาท 3 ถ้าความไม่ครบ
ยอมให้เติมสร้อยได้อีก 2 คำและคำทั้ง 30 คำนี้ จัดเป็น 3 พวก คือ
คำสุภาพ คือ คำธรรมดา ไม่กำหนดเอกโท จะมีหรือไม่มีก็ได้ มี 19 คำ
คำเอก คือ คำที่บังคับไม้เอก หรือจะใช้คำตายแทน คำเอกก็ได้ มี 7 คำ
คำโท คือ คำที่บังคับให้มีไม้โท มี 4 คำ
2. พยางค์หรือคำ ในการแต่งร้อยกรองเราถือว่าพยางค์ก็คือคำ ร้อยกรองแต่ละชนิดจะมีการกำหนดไว้แน่นอนว่า วรรคหนึ่งมีกี่พยางค์ ถ้าในโคลงมีคำที่ออกเสียงสระกึ่งหนึ่ง ก็อนุโลมนับเป็นพยางค์เพียงหรือคำเดียวได้ เช่น "อักขระห้าวันหนี เนิ่นช้า" เป็นต้น
3. คำเอก-คำโท ใช้กับบทร้อยกรองประเภทโคลงและร่ายเท่านั้น มีข้อกำหนดดังนี้
คำเอก
1. คำหรือพยางค์ที่มีไม้เอกบังคับทั้งหมด ไม่ว่าพยัญชนะต้นของคำนั้นหรือพยางค์นั้นจะเป็นอักษรกลาง อักษรสูง หรืออักษรต่ำ เช่น ก่อ จ่าย ดิ่ง ปู่ ข่า ฉ่ำ สุ่ม ห่าง คู่ ง่าย ใช่ โล่ ฯลฯ
2. คำหรือพยางค์ที่เป็นคำตายทั้งหมด จะเป็นเสียงวรรณยุกต์ใดก็ได้
3. คำที่ไม่เคยใช้ไม้เอกเลย แต่นำมาแปลงใช้โดยเปลี่ยนพยัญชนะต้นและใช้วรรณยุกต์เอกบังคับ เช่น ไข้ ---> ไค่, ถ้ำ ---> ท่ำ, แผ้ว ---> แพ่ว เช่นนี้ก็อนุโลมให้เป็นคำเอกได้ แต่เรียกว่าเอกโทษ
คำโท
1. คำหรือพยางค์ที่มีไม้โทบังคับทั้งหมด ไม่ว่าพยัญชนะต้นจะเป็นอักษรกลาง อักษรสูง หรืออักษรต่ำ
2. คำที่ไม่เคยใช้ไม้โท แต่นำมาแปลงใช้โดยเปลี่ยนพยัญชนะต้นและใช้วรรณยุกต์โทบังคับ เช่น คู่ ---> ขู้, ง่อย ---> หง้อย, เม่น ---> เหม้น, ย่อม ---> หย้อม อนุโลมให้เป็นคำโทได้ แต่เรียกว่า โทโทษ
4. คำเอกโทษ - คำโทโทษ ที่ใช้แทนตำแหน่งของคำเอกและคำโท
เอกโทษ หมายถึง คำที่บังคับรูปวรรณยุกต์เอกตามลักษณะแผนผังบังคับของโคลงสี่สุภาพ
โทโทษ หมายถึง คำที่บังคับรูปวรรณยุกต์โทตามลักษณะแผนผังบังคับของโคลงสี่สุภาพ
5. คำตาย สามารถใช้แทนคำเอกได้ มีลักษณะดังนี้
1. เป็นคำที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นในแม่ ก กา เช่น กะ อุ และ เจาะ
2. เป็นคำสะกดในมาตราแม่กก กบ กด
6. คำสร้อย เป็นคำที่ต่อท้ายวรรค ท้ายบาท หรือท้ายบท มักจะใช้เฉพาะในการแต่งโคลงกับร่าย คำสร้อยนี้จะมีหรือไม่มีก็ได้เพราะไม่ได้บังคับบางแห่งใช้เป็นคำถาม หรือย้ำข้อความคำที่มักใช้เป็นคำสร้อย ได้แก่ เฮย ฤา พี่ นาพ่อ มาแม่ พี่รา อยู่นอ
7. สัมผัส คือ ลักษณะที่บังคับให้ใช้คำที่มีเสียงสัมผัสคล้องจองกัน สัมผัสเป็นลักษณะที่สำคัญมากในร้อยกรองของไทย คำประพันธ์ทุกชนิดต้องมีสัมผัส ได้แก่
สัมผัสสระ ได้แก่ คำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป ที่มีเสียงสระพ้องกัน หรือคล้องจองกันตามมาตรา ถ้าเป็นคำที่มีตัวสะกดก็ต้องเป็นตัวสะกดในมาตราเดียวกัน
สัมผัสอักษร ได้แก่ คำที่ใช้พยัญชนะต้นเสียงเดียวกัน อาจเป็นพยัญชนะต้นเดียวกันหรือเป็นพยัญชนะเสียงสูงต่ำเข้าคู่กัน เช่น ข-ค, ส-ซ, ฉ-ช หรือพยัญชนะควบชุดเดียวกัน
สัมผัสนอก เป็นสัมผัสบังคับที่ส่งและรับากันนอกวรรค
สัมผัสใน เป็นสัมผัสไม่บังคับมีคำที่สัมผัสคล้องจองกันอยู่ภายในวรรคเดียวกัน อาจเป็นสัมผัสสระหรือสัมผัสอักษรก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสมและความพอใจของผู้แต่ง สัมผัสในช่วยให้บทร้อยกรองไพเราะขึ้น
ที่มาและได้รับอนุญาตจาก :
บุญลักษณ์ เอี่ยมสำอางค์ เกื้อกมล พฤกษประมูล และโสภิต พิทักษ์. ภาษาไทย หลักการใช้ภาษาและการใช้ภาษา ม.4. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์.