ภาษาน่ารู้ : ภาษามลายู เรียนรู้กฎไวยากรณ์ภาษามลายูเบื้องต้น


4,378 ผู้ชม

ภาษามลายูหรือภาษายาวี เป็นภาษาของชาติพันธุ์มลายูซึ่งมีประชากรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลายร้อยล้านคน มีนิวาสถานอยู่ในแหลมมลายู, หมู่เกาะของอินโดนีเซีย และหมู่เกาะทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์


ภาษาน่ารู้ : ภาษามลายู เรียนรู้กฎไวยากรณ์ภาษามลายูเบื้องต้น

       ภาษามลายูหรือภาษายาวี เป็นภาษาของชาติพันธุ์มลายูซึ่งมีประชากรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลายร้อยล้านคน มีนิวาสถานอยู่ในแหลมมลายู, หมู่เกาะของอินโดนีเซีย และหมู่เกาะทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ ภาษามลายูหรือยาวีมีพัฒนาการมาจากภาษาถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์มาเลย์ - ชวาเป็นหลัก และผสมผสานกับภาษาต่างถิ่นของชนชาติที่นำเอาอารยธรรมของตนเข้ามาเผยแผ่ยัง ภูมิภาคนี้นับแต่โบราณกาล ซึ่งมีทั้งชาวอินเดียใต้ เช่น พวกทมิฬ, ชาวเปอร์เซีย  และชาวอาหรับ

       ในส่วนของชาวอินเดียนั้นมีอิทธิพลทางภาษามากที่สุด เพราะอาณาจักรโบราณในแหลมมลายูและมาลัยทวีป (อินโดนีเซีย) ได้รับเอาอารยธรรม ความเชื่อ และขนบธรรมเนียมประเพณีจากอินเดียเข้ามาเป็นแบบแผนและวิถีชีวิต มีทั้งอารยธรรมอินเดียอย่างพราหมณ์ - ฮินดูในยุคมัชฌาปาหิต และศรีวิชัย พุทธศาสนาแบบมหายานในยุคลังกาสุกะ เป็นต้น

       ดังนั้นร่องรอยและอิทธิพลของภาษาบาลี - สันสกฤต และอินเดียใต้  เช่ะน  ภาษาทมิฬจึงปรากฏอยู่อย่างชัดเจนและดาษดื่น ในภาษามลายู - ชวา ในยุคก่อนการเข้ามาของศาสนาอิสลาม ซึ่งมีชาวอาหรับและชาวเปอร์เซีย เป็นผู้นำมาพร้อมกับการพาณิชย์นาวีในภูมิภาคนี้

       เมื่อชนชาติมลายู - ชวาได้รับเอาศาสนาอิสลามเป็นศาสนาของชาติพันธุ์แล้ว การสังเคราะห์จารีตทางภาษาและอักขระก็เข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญ มีการเขียนอักษรมลายู - ชวาด้วยตัวอักษรและพยัญชนะอย่างชาวอาหรับและเปอร์เซียกันอย่างแพร่หลาย เรียกรวมว่า “ตัวอักขระแบบอาหรับ-มลายู” ซึ่งเคยใช้กันเป็นเวลาหลายร้อยปีในอาเจะห์, ชวา, สุมาตรา ,ฟิลิปปินส์ตอนใต้ และแหลมมลายูก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ตัวอักษรแบบละตินที่เรียกกันว่า “ภาษารูมียฺ” อันเป็นผลมาจากการล่าอาณานิคมของพวกดัชท์ สเปน และอังกฤษในภูมิภาคนี้

       ราวศตวรรษที่ ๑๓ แห่งฮิจญเราะฮฺ ศักราช ท่านชัยคฺ อะหฺมัด อัล-ฟาฏอนี (ร.ฮ.) นักปราชญ์ชาวปัตตานีผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง ได้ริเริ่มความพยายามเกี่ยวกับการวางกฎเกณฑ์ของตัวอักษรมลายูแบบอาหรับให้มี มาตรฐาน สำหรับใช้ในการแต่งตำราทางวิชาการ

       อย่างไรก็ตามการพัฒนาการทางภาษาของภาษามลายูที่เขียนด้วยตัวอักษรอาหรับ ดูเหมือนว่ายังไม่ทันสุกงอม และบรรลุถึงขั้นมาตรฐานที่เป็นสากลตามกฎการเขียน ( قَوَاعِدُ الإِمْلاَءِ ) เยี่ยงภาษาอาหรับ เพราะในตำราทางวิชาการที่เขียนด้วยตัวภาษามลายู (ยาวีย์) แบบตัวอักษรอาหรับนั้นยังปรากฏความแตกต่างอยู่พอสมควร

       ถึงแม้จะไม่มากแต่ก็มีปรากฏให้เห็นสำหรับผู้ที่สังเกต และชำนาญเกี่ยวกับตำราทางวิชาการที่เขียนเป็นภาษามลายู-อาหรับ  ยิ่งผู้เขียนตำรามลายู  (ยาวีย์) นำเอาสำเนียงท้องถิ่นเข้ามาใช้ปะปนกับภาษามลายูแบบ “اللُّغَةُ الْفُصْحٰي” ด้วยแล้ว ก็จะพบข้อแตกต่างในการเขียนอักขระวิธีค่อนข้างมากอยู่

       ผู้รวบรวมได้นำเอาตำรา “ตัฟซีร นูรุลอิหฺสาน” มาเป็นตัวอย่างในกรณีนี้ โดยเปรียบเทียบระหว่างฉบับพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ “ดารฺ อิหฺยาอฺ อัล-กุตุบ อัล-อะรอบียะฮฺ” (อีซา อัล-บายฺ อัล-หะลาบียฺ) พิมพ์ครั้งแรกในปี ฮ.ศ. 1349  กับฉบับพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ มุฮัมมัด อัน-นะฮฺดียฺ ซึ่งพิมพ์ครั้งที่ 3 ในปี ฮ.ศ. 1391  ตำรา “ตัฟซีร นูรุลอิหฺสาน” นี้แต่งโดยท่านอาจารย์ อัล-ฮัจยีมุฮัมมัด สะอีด อิบนุ อุมัร เป็นภาษาเคดะฮฺ (คือภาษามลายูแบบเคดาห์-ไทรบุรี) มีการเขียนอักขระวิธีที่แตกต่างกันทั้งสองฉบับดังนี้

ฉบับปี ฮ.ศ. 1349

ฉบับปี ฮ.ศ. 1391

فوج

فوجى

بك

باﮔﻰ

فڠهول

فڠهولو

مغيكوت

مغيكوة

مريكئت

مريكئيت

فنت

فنتأ

أوله

اوليه

بهسا

بهاس

سورهنڽ

سوروهنڽ

فركانن

فركنن

سكليفون

سكاليفون

كارن

كران

مننتوت

مننتوة

مپوكا

مپوك

فرفگڠن

فرفگاڠن

دان لاينڽ

دانلاءينڽ

                                    ฯลฯ


       จากตัวอย่างข้างต้น (ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ถูกระบุไว้ในคำนำของผู้เขียนตัฟซีร นูรุลอิหฺสาน เล่มที่ ๑  หน้าที่ ๑ เพียงแค่นั้น) จะพบได้ว่ามีการเขียนถ้อยคำตามอักขระวิธีที่แตกต่างกันถึงแม้จะออกเสียง เหมือนกันก็ตาม  ผู้อ่านที่สันทัดกรณีในด้านภาษามลายู (กิตาบยาวี) บางท่านอาจจะให้เหตุผลถึงความแตกต่างข้างต้นว่า เป็นเพราะสถานที่ตีพิมพ์ เป็นคนละที่กัน หรือเป็นคนละแท่นพิมพ์ (طَبْعَة) กัน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่อักขระวิธีในการพิมพ์ตำราย่อมผิดแผกจากกันบ้าง เป็นธรรมดา

       เหตุผลดังกล่าวก็น่ารับฟังอยู่ แต่ผู้รวบรวมกลับมองว่า ภาษามลายูในฐานะภาษาแบบที่ใช้เขียนตำราทางวิชาการนั้น จะต้องมีกฎเกณฑ์ในการเขียนตามอักขระ  (قَوَاعِدُالإِمْلاَءِ) ที่เป็นมาตรฐานมีความเป็นสากล และเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน โดยเฉพาะคำศัพท์สากลที่ใช้กันเป็นมาตรฐาน เรียกว่าเป็นคำกลางๆ นั้นน่าจะเขียนตามเป็นคำกลางๆ ชาวมลายูไม่ว่าจะเป็นในแหลมมลายู เช่น ปัตตานี  เคดะฮ์  กลันตัน หรือในอินโดนีเซีย (ชวา) ก็ใช้คำเหล่านั้นเหมือนกัน

       จริงอยู่การออกเสียงคำมลายูนั้น อาจจะแตกต่างกันตามสำเนียงของแต่ละถิ่น แต่การเขียนตามอักขระวิธีนั้นน่าจะเป็นเอกภาพมากกว่าที่ควรจะเป็น ผู้รวบรวมได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า น่าจะมีสาเหตุมาจากการพัฒนาการทางภาษาที่เกือบจะถึงขีดสุด หรือความเป็นมาตรฐานสากลของภาษามลายูที่เขียนด้วยตัวพยัญชนะภาษาอาหรับ ซึ่งต้องใช้เวลาเนิ่นนานนับศตวรรษ หรือหลายศตวรรษในการสังเคราะห์และตกผลึก

       แต่ด้วยเหตุผลของการล่าอาณานิคม และกระแสตะวันตกที่เข้ามาครอบครองภูมิภาคนี้ ทำให้อักขระวิธีในการเขียนภาษามลายูจากตัวพยัญชนะภาษาอาหรับ ซึ่งเกือบจะตกผลึกอยู่รอมร่อแล้วนั้น กลับเปลี่ยนไปเขียนด้วยตัวอักษรละติน ที่เรียกกันว่าภาษารูมีย์นั่นเอง จึงเป็นการเสียโอกาสและเป็นความน่าเสียดายต่อความพยายามที่บรรดานักวิชาการ และเหล่านักปราชญ์ในอารยธรรมมลายู-อิสลาม ได้เคยทุ่มเทมาตลอดระยะเวลาหลายศตวรรษที่ผ่านมา 

       กอรปกับกลุ่มประเทศมลายูที่สำคัญอันได้แก่ มาเลเซีย บรูไน และอินโดนิเซียได้ใช้ภาษามาเลย์-อินโด ตัวอักขระละตินเป็นภาษาทางราชการ และแวดวงการศึกษาของรัฐ ทำให้มลายู (ยาวี) ที่เขียนด้วยพยัญชนะภาษาอาหรับถูกจำกัดวงอยู่เฉพาะในสถาบันทางวิชาการศาสนา และตำราอันเป็นมรดกทางวิชาการเท่านั้น อีกทั้งยังถอยหลังกลับสู่ความเป็นภาษาท้องถิ่นอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากภาษามลายูในเขต 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย

      ความเป็นมาตรฐานและความเป็นสากลจึงเป็นสิ่งที่ถูกบั่นทอนและตัดตอนไป ในระดับที่น่าเป็นห่วง เพราะเยาวชนรุ่นใหม่ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้นิยมพูดภาษามลายูท้องถิ่นในชีวิตประจำวัน  ที่เข้าสู่ระบบการศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามก็ใช้ภาษามลายูกลาง ที่เขียนด้วยตัวอักษรละติน (รูมีย์) ในขณะที่เยาวชนหรือผู้คนที่ไม่ได้เรียนในสถาบันปอเนาะแบบเก่าก็จะไม่สามารถ อ่านตำรามรดกทางวิชาการที่ทรงคุณค่าได้อย่างที่ควรจะเป็น ทั้งๆที่ภาษามลายูในตำรามรดกทางวิชาการที่เขียนด้วยตัวอักษรภาษาอาหรับนั้น มีความไพเราะ มีลีลาเฉพาะ และมีความคลาสสิคอย่างน่าสนใจ

       ในฐานะที่ผู้รวบรวมหนังสือเล่มนี้เป็นลูกหลานของมลายูชน และเป็นครูสอนในโรงเรียนปอเนาะใจกลางบางกอก ที่ยังคงอนุรักษ์การเรียนและการสอนจากตำราภาษามลายู (กิตาบยาวี) อยู่  โดยยังคงถือเป็นรายวิชาหนึ่งของหลักสูตรสายศาสนาที่โรงเรียนพยายามสืบสาน เจตนารมณ์ของบรรพบุรุษให้ตกทอดสู่อนุชนรุ่นหลัง จึงเห็นว่าสมควรที่จะทำการรวบรวมหนังสือเกี่ยวกับกฎไวยากรณ์ภาษามลายูขึ้นมา สักเล่มหนึ่ง  

       ซึ่งถือเป็นความอาจหาญยิ่งนัก เพราะผู้รวบรวมมีความรู้เกี่ยวกับภาษามลายูน้อยมาก พูดภาษามลายูท้องถิ่นก็ไม่ได้ และตลอดช่วงอายุของการเรียนที่ผ่านมาก็เน้นหนักในด้านภาษาอาหรับเป็นหลัก ผู้รวบรวมเริ่มมีโอกาสได้เรียนตำราภาษามลายูอย่างจริงจังไม่กี่เดือน ก่อนหน้านี้เท่านั้น แต่ก็เป็นการเรียนกับครูบาอาจารย์ผู้มีความชำนาญและเจนจัดทั้งภาษามลายูและ อาหรับ จึงได้รับการชี้แนะบอกกล่าวอย่างเข้าใจว่า หากมีพื้นฐานของภาษาอาหรับดีแล้ว ภาษามลายูในตำราทางวิชาการก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากต่อการเรียนรู้และทำความ เข้าใจ

       ทั้งนี้ตำราที่ผู้รวบรวมได้ศึกษาโดยตรงจากครูนั้นเป็นตำราภาษามลายูที่แปล และอรรถาธิบายมาจากตำราต้นฉบับที่เป็นภาษาอาหรับ ผู้รวบรวมจึงพอที่จะคลำทางและต่อยอดได้บ้าง ด้วยการเอื้ออำนวยของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ที่ สำคัญที่สุดก็คือ ความห่วงใยที่ระคนกับความปริวิตกว่า ภาษามลายูในตำราทางวิชาการศาสนานั้น อาจจะสูญหายไปในเวลาอันใกล้สำหรับชาวมลายูมุสลิมบางกอก ถ้าหากคนรุ่นนี้ไม่ได้คิดที่จะสืบสานและต่อยอดผ่องถ่ายสู่อนุชนรุ่นต่อไป

       มิหนำซ้ำ ความคิดในเชิงอคติที่ว่า ตำรามลายูนั้นเป็นต้นตอของความเบี่ยงเบนและอุตริกรรมทางศาสนา ท่ามกลางกระแสความขัดแย้งเรื่องคณะใหม่-คณะเก่า ที่ยังคงรุมเร้าสังคมมุสลิมอยู่แม้ทุกวันนี้ เป็นเหตุให้ผู้รู้บางท่านถึงกับกล่าวอย่างมุทะลุด้วยโมหะจริตว่า ตำรามลายูนั้นต้องเผาทิ้ง เพราะเต็มไปด้วยอุตริกรรมและหะดีษที่อุปโลกน์ขึ้น 

       การมีความคิดและทัศนะเช่นนี้ ถือเป็นการเหมารวมที่ขาดวิจารณญาณและความสมเหตุสมผล ทั้งนี้เพราะภาษาก็คือภาษา ถือเป็นเพียงเครื่องมือในการสื่อและการทำความเข้าใจเท่านั้น   และตำราก็คือตำรา  หาใช่คัมภีร์อัล-กุรอานไม่ เมื่อเป็นตำราที่เขียนด้วยมือมนุษย์ ไม่ใช่อัล-กุรอานที่เป็นดำรัสของพระองค์อัลลอฮฺ(ซ.บ.) ความผิด ความถูก ความคลุมเครือ ความชัดเจน ความเที่ยงตรง และความเบี่ยงเบนก็ย่อมมีปรากฏในตำราได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นตำราในภาษาใด ไม่เว้นแม้กระทั่งภาษาอาหรับ

       ซึ่งถ้าเอาเพียงแค่เหตุผลที่ผู้รู้กล่าวอ้าง ตำราภาษาอาหรับที่เขียนขึ้นอย่างขาดความรับผิดชอบทางวิชาการของผู้เขียน มีสิ่งที่ค้านกับหลักอะกีดะฮฺที่ถูกต้อง มีหลักฐานที่เจือสมและอุตริกรรมที่ปั้นแต่งขึ้นในตำราภาษาอาหรับก็มีให้เห็น อย่างมากมายดาษดื่น อย่างนี้ไม่ต้องเผาตำราภาษาอาหรับไปด้วยกระนั้นหรือ ? ในฐานะที่เราเป็นผู้สืบทอดพระศาสนาและหลักคำสอนจากพระมหาคัมภีร์ อัล-กุรอานและสุนนะฮฺของท่านศาสดา (ซ.ล.)

       การศึกษาเรียนรู้จากตำราที่เป็นมรดกทางวิชาการของเหล่านักปราชญ์ ซึ่งเป็นบรรพชนมุสลิมของเรานั้น แน่นอนต้องมีวิจารณญาณ การตรึกตรอง และการใช้หลักการเป็นแบบแผนในการสังเคราะห์ข้อมูล  สิ่งใดที่เป็นความถูกต้องและถูกบรรจุไว้ในตำราเหล่านั้น นั่นถือเป็นคุณงามความดีที่เราและผู้ประพันธ์ตำราจะได้รับจากพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ส่วนความผิดพลาด ความคลาดเคลื่อนที่ปรากฏในตำราเหล่านั้น

       เราในฐานะผู้คนต่างยุคต่างสมัยกับผู้ประพันธ์มิอาจจะทราบได้ถึงเจตนารมย์ของ ผู้ประพันธ์ และเราก็มิอาจพิพากษาในสิ่งที่เราไม่รู้ไม่ทราบได้เลย หน้าที่ของเราก็คือวิงวอนขอดุอาอฺจากพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ให้พระองค์ทรง อภัยโทษแก่พวกเขา

 
ผู้รวบรวมขอย้ำ ณ จุดนี้อีกครั้งว่า ผู้รวบรวมมิใช่ผู้เจนจัดสันทัดในกรณีภาษามลายู แต่เป็นเพียงผู้ใฝ่รู้และแสวงหา ผู้รวบรวมมิใช่นักเรียนตานี หรือกลันตัน แต่เป็นเพียงลูกหลานมลายูที่เรียนตำรามลายูกับท่านครูที่เคยเรียนที่ปัตตานี และมหานครมักกะฮฺ และที่สำคัญผู้รวบรวมเป็นลูกหลานมลายูที่จะกะ(จะกับ)นายูไม่ได้ แต่เป็นผู้รู้น้อยที่พยายามศึกษา อ่านเขียนจากตำรามลายูทั้งโดยตรงกับครูและการค้นคว้าด้วยตนเอง
 

       ผู้รวบรวมหวังเพียงพระกรุณาจากพระองค์อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ที่จะทรงประทานความ แตกฉานและปัญญาให้เกิดแก่ตน และหวังให้หนังสือ “กฎไวยากรณ์ภาษามลายูเบื้องต้น” นี้ เป็นการสืบสานมรดกอันทรงคุณค่าจากตำราภาษามลายู สู่ผู้คนร่วมสมัยและอนุชนมุสลิมในภายภาคหน้าด้วยความบริสุทธิ์ใจ

       หากมีความดีอันใดที่ผู้อ่านได้รับจากหนังสือเล่มนี้ ผู้รวบรวมขอมอบแด่เหล่าบรมครูผู้ล่วงลับทุกท่าน นับแต่บรรพชนมลายูมุสลิมท่านแรก หากมีความผิดพลาดอันใดเกิดขึ้นในการรวบรวมหนังสือเล่มนี้ นั่นถือเป็นความผิดพลาดและความรู้อันน้อยนิดของผู้รวบรวมเอง และใคร่วิงวอนจากบรรดาผู้รู้และเหล่าผู้สันทัดกรณีที่ได้พบความผิดพลาดใน หนังสือเล่มนี้ โปรดช่วยชี้แนะและบอกกล่าวแก่ผู้รวบรวมโดยตรง เพื่อทำการแก้ไขปรับปรุงในโอกาสต่อไป และขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ โดยเฉพาะท่านอาจารย์อับดุลมาลิก เลาะมะ ที่ช่วยพิมพ์ต้นฉบับให้

วัลลอฮุ วะลียุตเตาฟีก
อบุลม๊าสฺ อะลี อะหฺมัด อบูบักรฺ มุฮัมมัด อามีน
(อาลี  เสือสมิง)

ที่มา www.alisuasaming.com

อัพเดทล่าสุด