บทบาทของอาหารต่อการควบคุมไขมันในเลือด |
การมีระดับไขมันในเลือดสูง นับว่าเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญในปัจจุบัน เพราะจะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่สำคัญยิ่ง ทำให้เส้นเลือดตีบแคบลง มีผลทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ไม่เพียงพอ ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้ ปัญหาเหล่านี้สามารถเกิดได้ในทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะวัยทำงานที่มีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากภาวะตึงเครียดในการทำงาน ขาดการออกกำลังกายหรือการรับประทานสัดส่วนอาหารไม่เหมาะสม ทำให้มีโอกาสเกิดภาวะไขมันในเลือดสูงมีมากยิ่งขึ้น ไขมันในเลือดสูงเกินปกติ
ท่านจะทราบได้อย่างไรว่า ไขมันในเลือดสูงเกินปกติหรือไม่ แพทย์จะสามารถบอกได้โดยการตรวจวัดปริมาณไขมันในเลือด การปฏิบัติตัวเมื่อจะทำการตรวจวัดขั้นตอนคือ งดอาหารไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมง โดยทั่วไปเมื่อเจาะเลือดแล้วจะมีการตรวจสารชนิดต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับไขมันในเลือด ได้แก่ 1. คอเลสเตอรอล (cholesterol) เป็นสารประเภทไขมันที่มีสูตรโครงสร้างหลักเป็นวงแหวนไซโคลเพนทาโนฟีแนนทรีน (cyclopentanophenantrene ring) เช่นเดียวกับพวกเกลือในน้ำดี (bile salts) เฉพาะในสัตว์ เช่น สมอง ตับ ไต ไข่แดง ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง การสังเคราะห์เกิดที่ตับ 10 เปอร์เซ็นต์ และลำไส้อีก 15 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือจะสังเคราะห์ที่ผิวหนัง มักพบร่วมกับกรดไขมันอิ่มตัวไหลเวียนอยู่ในร่างกายของคนกับการ ปนไปในกระแสเลือดโดยโปรตีนชนิดหนึ่งเรียกว่าไลโปโปรตีน (lipoprotein) ปริมาณคอเลส เตอรอลอีกส่วนหนึ่งได้มาจากอาหารที่รับประทานเข้าไป คอเลสเตอรอลในร่างกายมีความสำคัญ คือ เป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ฮอร์โมน น้ำดี (มีความจำเป็นต่อการดูดซึมไขมันและวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน) วิตามินดี นอกจากนี้ยังเป็นองค์ประกอบของไลโปโปรตีนและองค์ประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์อีกด้วย ปกติค่าคอเลสเตอรอลในเลือด ไม่ควรเกิน 200 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร ถ้ามีมากเกินจะก่อให้เกิดภาวะเส้นเลือดแข็งตัวและตีบตัน 2. ไตรกลีเซอร์ไรด์ (triglyceride) เป็นไขมันที่ได้จากร่างกายสังเคราะห์ขึ้นโดยตับ และถูกสร้างขึ้นโดยลำไส้เล็ก อีกส่วนหนึ่งก็ได้มาจากอาหารเช่นกัน สาเหตุของการเกิด ไตรกลีเซอไรด์สูง เกิดจากการรับประทานอาหารไม่ถูกสัดส่วนโดยเฉพาะการรับประทานอาหารที่มีไขมันหรือขนมหวานในปริมาณมาก เกิดจากโรคภัยต่าง ๆ ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคไต เป็นต้น หรือเกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ เช่น ร่างกายขาดเอ็นไซม์ที่จะย่อยไตรกลี เซอไรด์ นอกจากนี้การดื่มสุราเป็นประจำ การขาดการออกกำลังกาย ก็เป็นสาเหตุที่สำคัญได้เช่นกัน 3. เอชดีแอล (high density lipoprotein, HDL) เป็นกรดไขมันอิ่มตัวสร้างขึ้นได้เองที่ตับและลำไส้เล็กมีหน้าที่จับไขมันคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดออกไปทำลายที่ตับ การออกกำลังกายสามารถช่วยเพิ่มปริมาณ HDL ได้ ในขณะที่โรคบางชนิด เช่น เบาหวาน มีผลทำให้ HDL ต่ำลงได้ 4.แอลดีแอล (low density lipoprotein, LDL) มีหน้าที่นำคอเลสเตอรอลที่ออกมาจากตับไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยปกติจะมีปริมาณน้อยกว่า HDL ถ้าร่างกายมี LDL มากเกินไป จะทำให้ LDL ไปเกาะอยู่ตามผนังเส้นเลือด และพอกพูนจนโพรงเส้นเลือดแคบลงได้ บทบาทของอาหารที่มีต่อระดับไขมันในเลือด
ไขมันในเลือดที่จะกล่าวถึงก็คือ คอเลสเตอรอล ซึ่งทราบกันแล้วว่ามีทั้งชนิดที่เป็นประโยชน์และเป็นโทษแก่ร่างกาย ถ้าหากปริมาณคอเลสเตอรอลมีอยู่มากเกินไปและสะสมอยู่เป็นเวลานานร่างกายจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ในทางตรงกันข้าม หากปริมาณคอเลสเตอรอลมีอยู่ในระดับที่เหมาะสม คือ ไม่สูงกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร ก็จะช่วยในการทำงานของน้ำดีเป็นได้ด้วยดี ซึ่งหมายรวมถึงการย่อยและการละลายไขมันด้วย นอกจากนี้ยังสามารถช่วยปกป้องระบบประสาท รวมทั้งช่วยให้ร่างกาย ผลิตฮอร์โมนที่จำเป็นตามที่ร่างกายต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางด้านพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ก็มีบทบาทในการกำหนด
ปริมาณคอเลสเตอรอลได้ แต่ปัจจัยที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คืออาหาร ซึ่งมีบทบาททำให้ปริมาณคอเลสเตอรอล อยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือสูงเกินปกติได้ การหลีกเลี่ยงอาหารที่มี คอเลสเตอรอลสูง ดังแสดงในตารางที่ 1 จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลดปริมาณโคเลสเตอรอล ในเลือดได้ ชนิดของอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงมี 2 ชนิด คือ ไขมันแข็ง หรือไขมันอิ่มตัว ซึ่งมักได้จากสัตว์ และอาหารประเภทแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตซึ่งอาหารทั้งสองชนิดนี้ไม่ควรรับประทานในปริมาณมาก ๆ ควรบริโภคอาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเป็นส่วนประกอบเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งพบในน้ำมันที่พบในธรรมชาติ เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น มีสมมุติฐานเกี่ยวกับการที่กรดไขมันไม่อิ่มตัวสามารถลดปริมาณ คอเลสเตอรอลได้ เนื่องจากไปกระตุ้นให้มีการกำจัดคอเลสเตอรอลในลำไส้โดยทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (oxidation) เปลี่ยนไปเป็นเกลือในน้ำดี นอกจากนั้นยังมีผลเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงการกระจายตัวของคอเลสเตอรอลจากพลาสมาเข้าไปในเนื้อเยื่อ เพราะกรดไขมันไม่อิ่มตัวมีผลต่อการนำคอเลสเตอรอลเข้าสู่เซลล์จึงทำให้มีการสลายตัวของ LDL เพิ่มขึ้น ส่วนกรดไขมันอิ่มตัวจะไปลดการนำคอเลสเตอรอลเข้าสู่เซลล์ ดังนั้นกรดไขมันอิ่มตัวจึงถูกพิจารณาว่ามีแนวโน้มทำให้เกิดโรคหัวใจ ดังนั้นการหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดได้ ดังนั้นจึงมีความ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะควรทราบปริมาณคอเลสเตอรอลในอาหารเพื่อที่จะได้เลือกบริโภคซึ่งเป็นการป้องกันและควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอลให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย การเลือกอาหารจานใหม่เพื่อป้องกันและควบคุมไขมันในเลือดคงไม่ใช่เรื่องยาก เกินไป ขอเพียงมีความเข้าใจเกี่ยวกับคอเลสเตอรอลให้ดีพอ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เปลี่ยนแปลงวิธีการปรุงอาหารเป็นการนึ่งแทนการทอดด้วน้ำมันซ้ำ ๆ รับประทานอาหารพวกผักและผลไม้ที่มีกากใย เพื่อลดการดูดซึมไขมันเข้าสู่ร่างกาย ดื่มนมพร่องมันเนย งดเครื่องดื่มจำพวกเบียร์และสุรา เพราะจะไปกระตุ้นให้มีไตรกลีเซอไรด์มากขึ้น รวมทั้งการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการทำจิตใจให้สบายไม่เคร่งเครียด ก็เป็นการรักษาระดับไขมันในเส้นเลือดได้เช่นเดียวกันLink https://web.ku.ac.th/schoolnet/snet4/feb18/choles1.htm +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โรคคอเลสเตอรอลสูง โรคไขมันในเลือด
ไขมันในเลือด
เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาเมื่อท่านไปพบแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพและพบว่าไขมันในเลือดสูง แพทย์มักจะแนะนำว่า ให้รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ แต่ปัจจุบันต้องเน้นถึงชนิดของไขมันในอาหาร หากมีไขมันที่ไม่ดีมากก็จะทำให้เกิดโรคหัวใจได้ง่ายขึ้น หากมีไขมันดีมากจะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจ
ไขมัน Cholesterol คืออะไร
Cholesterol จะพบว่าเป็นส่วนประกอบของเซลล์ผิว ฮอร์โมนและอยู่ในกระแสเลือด ร่างกายของคนเราได้ cholesterol จากสองแหล่งคือ
- จากอาหารที่เรารับประทาน เช่นเครื่องใน เนื้อ นม ไขมันที่เรารับประทานเข้าไปจะไปสะสมในตับ
- จากการสร้างของตับ
Total Cholesterol
เป็นผลรวมของไขมันทุกชนิดของร่างกาย หากมีค่าสูงก็จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
ระดับTotal Cholesterol |
น้อยกว่า 200 mg/dL | "ระดับไขมันที่ต้องการ" ไขมันระดับนี้จะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจต่ำ ค่าที่มากกว่า 200 มก.%จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ |
200 - 239 mg/dL | "ความเสี่ยงปานกลาง." |
240 mg/dL and above | "ความเสี่ยงสูง" ผู้ที่มีไขมันระดับนี้จะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจเป็น 2 เท่าของผู้ที่มีไขมันต่ำกว่า 200มก.%L. |
วิธีการลด Total Cholesterol
ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจมี 5 ข้อ - อายุ :ชายมากกว่า 45,หญิงอายุมากกว่า 55 ปี
- มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจมาก่อน (ชายก่อนอายุ 55 หญิงก่อนอายุ 65 ปี)
- เป็นความดันโลหิตสูง
- สูบบุหรี่
- ค่า HDL<40 มก./ดล
|
- ลดอาหารไขมันอิ่มตัวให้น้อยกว่า 10%ของปริมานไขมันทั้งหมด
- ลดอาหารที่มีไขมันให้น้อยกว่า30%ของพลังทั้งหมดที่ได้ในแต่ละวัน
- ทานอาหารที่มีกาก
- คุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
Triglycerides
เป็นไขมันที่ประด้วยกรดไขมัน 3 ชนิดรวมกัน Triglyceride มาจาก
- จากอาหารที่เรารับประทาน
- จากการสร้างในตับ
เมื่อเรารับประทานอาหารไขมัน triglyceride และ cholesterol จะถูกดูดซึมในรูปแบบที่เรียกว่า chylomicron
เป็นไขมันอีกชนิดที่พบในกระแสเลือดและเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดหลอดเลือดหัวใจตีบได้ ปัจจัยที่ทำให้ระดับ triglycerideมีค่าสูงได้แก่
- อ้วนหรือน้ำหนักเกิน
- ไม่ออกกำลังกาย
- สูบบุหรี่
- ดื่มสุรามาก
- รับประทานอาหารพวกแป้งมากเกินไป
- โรคประจำตัวเช่น โรคเบาหวาน โรคไตรั่ว โรคไตวาย
- การใช้ยาบางชนิดเช่น ยาคุมกำเนิด ยาฮอร์โมน ยาsteroid
- โรคทางพันธุกรรม
ระดับปกติ | น้อยกว่า 150 มก.% |
ระดับปานกลาง | อยู่ระหว่าง150-199 มก.% |
ระดับสูง | อยู่ระหว่าง 200-499 มก.% |
ระดับสูงมาก | มากกว่า 500 มก.% |
วิธีการลดระดับtriglyceride
- ลดอาหารไขมัน
- ลดอาหารพวกแป้ง
- ลดแอลกอฮอร์
- ลดน้ำหนัก
- หยุดสูบบุหรี่
- รักษาเบาหวาน
High Density Lipoprotein [HDL] cholesterol
เป็นไขมันที่ดี หน้าที่ของไขมันนี้จะนำเอาไขมันที่ไม่ดีออกจากผนังหลอดเลือดและนำไขมันไม่ดีไปสู่ตับ ดังนั้น HDL จึงทำหน้าที่ป้องกันหลอดเลือดแข็ง นอกจากนั้นยังเชื่อว่า HDL
- เป็นสารต้านอนุมูลอิสระป้องกัน LDL ทำปฏิกิริยากับ oxygen ซึ่งจะนำไปสู่การแข็งตัวของหลอดเลือด
- มีฤทธิ์ต้านการอักเสบของผนังหลอดเลือด
- ป้องกันลิ่มเลือดแข็งตัว Antithrombotic
HDL-Cholesterol Levels |
น้อยกว่า 40 mg/dL | เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด |
อยู่ระหว่าง 40 to 59 mg/dL | HDL, ยิ่งสูงยิ่งดี |
มากกว่า 60 mg/dL | HDL มากกว่า 60 mg/dL จะป้องกันโรคหัวใจ |
สาเหตุที่ทำให้ระดับ HDL มีค่าต่ำได้แก่
- โรคเบาหวาน
- ระดับ triglycerideสูง
- อ้วนหรือน้ำหนักเกิน
- ไม่ออกกำลังกาย
- สูบบุหรี่
- ดื่มสุรามาก
- รับประทานอาหารพวกแป้งมากเกินไป
- โรคประจำตัวเช่น โรคเบาหวาน
- การใช้ยาบางชนิดเช่น ยาฮอร์โมน ยาsteroid
- โรคทางพันธุกรรม
การดูแลผู้ป่วยที่มี HDL ต่ำ
- พบว่าการเพิ่มขึ้นของ HDL เพียงเล็กน้อยก็สามารถลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ พบว่าการเพิ่มขึ้นของ HDL 1 mg%จะลดอัตราการเกิดโรคหัวใจได้ 2-4 %
Low Density Lipoprotein[LDL] Cholesterol
Cholesterol ในเลือดส่วนใหญ่อยู่ในรูป LDL ซึ่งดป็นไขมันที่ไม่ดี และหากมีมากมันจะเกาะตามผนังหลอดเลือดและทำลายผนังหลอดเลือดดังนั้นหากมีไขมันชนิดนี้สูงจะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ LDL Lipoproteine จะไปจับกับผนังหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดแข็งและตีบ
LDL-Cholesterol Levels |
น้อยกว่า 100 mg/dL | ค่าที่ต้องการ |
100 - 129 mg/dL | ใกล้ค่ามาตรฐาน |
130 - 159 mg/dL | สูงปานกลาง |
160 - 189 mg/dL | สูง |
มากกว่า 190 mg/dL | สูงมากๆ |
วิธีการลด LDL
ประโยชน์ของการลด LDL Cholesterol
จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าการลด LDL จะมีผลดีต่อสุขภาพดังนี้
- ลดการเกิด plaque ที่ผนังหลอดเลือด
- ละลาย plaque ที่มีอยู่
- ป้องกันการแตกของ plaque ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจขาดเลือด
- ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ
- ลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
ไขมันที่ดีได้แก่ HDL Cholesterol
ไขมันนี้จะเป็นไขมันที่ดีโดยจะพาเอา CHOLESTEROL ที่เกาะที่ผนังหลอดเลือดออกมาเก็บไว้ที่ตับ ผู้ที่มีไขมัน LDL สูงและ ไขมันHDL ต่ำจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจสูงมาก
ไขมันสูงกับภาวะสุขภาพ
โรคหัวใจ
โรคหลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจตีบเป็นสาเหตุการตายอันดับ ต้นๆของประเทศ ไขมันในโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงข้อหนึ่งของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ การเปลี่ยนแปลงอาหาร และการออกกำลังกายสามารถระดับไขมันในเลือดได้ และลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบ ถ้าหากcholesterol ในเลือดสูงไขมันจะเกาะติดผนังหลอดเลือดแดงที่เรียกว่า plaque ขบวนการที่ทำให้หลอดเลือดตีบเรียก Atherosclerosis ซึ่ง หากเป็นมากทำให้หลอดเลือดแดงตีบ เลือดไปเลี้ยงไม่พอจึงเกิดอาการ เช่นเจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือด หรืออัมพฤกษ์ นอกจากนั้นคราบไขมันอาจจะหลุดจากผนังหลอดเลือดทำให้เกิด อาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
นอกจากระดับ cholesterol แล้วปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดหลอดเลือดแข็งคือ ตัวที่จะพาไขมันไปตามเส้นเลือดซึ่งเรียกว่า lipoprotein ที่สำคัญมีสองชนิดคือ
- Low-density lipoproteins (LDL) ซึ่งจะพา cholesterol จากตับไปสู่ร่างกาย LDL เป็นไขมันที่ไม่ดีหากมีมากจะทำให้เกิดหลอดเลือดแดงตีบได้ง่าย
- High-density lipoproteins (HDL) เป็นตัวที่พา cholesterol จากร่างกายเข้าสู่ตับ หากมีHDL สูงการเกิดโรคหลอดเลือดจะน้อยลง
มะเร็งเต้านม
พบว่าประเทศที่รับประทานอาหารมันจะมีอุบัติการณ์ของโรค มะเร็งเต้านมสูง แต่ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ประเทศทางยุโรปได้พบว่าหากรับประทานอาหารที่มีไขมัน monounsaturated fats (พบมากในน้ำมัน olive oil). จะเกิดโรคมะเร็งเต้านมต่ำ อ่านที่นี่
มะเร็งลำไส้ใหญ่
ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่ารับประทานไขมันมากจะเกดโรค มะเร็งลำไส้ได้มาก แต่ปัจจุบันพบว่าการรับประทานเนื้อแดงจะมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งลำ ไส้ใหญ่ อ่านที่นี่
มะเร็งต่อมลูกหมาก
จากข้อมูลที่ได้ยังไม่พบความสัมพันธ์ที่ชัดเจน แต่มีความเชื่อว่าการรับประทานอาหารไขมันอิ่มตัว มากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก อ่านที่นี่
โรคอ้วน
ก่อนหน้านี้แพทย์จะแนะนำเรื่องลดน้ำหนักโดยการลดอาหาร มันซึ่งไม่ถูกต้องทั้งหมด ปัจจุบันแนะนำให้รับประทานปริมาณไขมันไม่เกิน 30 %ของปริมาณผลังงานทั้งหมดและ ให้ลดปริมาณพลังงานที่รับประทานในแต่ละวัน อ่านที่นี่
ระดับไขมันแค่ไหนถึงจะดี
ประเทศอเมริกาได้กำหนดระดับไขมันที่เหมาะสมสำหรับคนที่มีอายุมากกว่า 20 ปีไว้ดังนี้
- Total cholesterolน้อยกว่า 200 (mg/dl)
- HDL cholesterol มากกว่า 40 mg/dl
- LDL cholesterol น้อยกว่า 100 mg/dl
ปริมาณไขมันที่ต้องการในแต่ละวัน
สมาคมโรคหัวเบาหวาน สมาคมโรคหัวใจและสมาคมโภชนาของประเทศอเมริกาได้แนะนำให้รับประทานอาหารที่ เป็นไขมันไม่เกินร้อยละ 30 ของปริมาณพลังงานทั้งหมด แต่จากการศึกษาพบว่าชนิดของไขมันที่รับประทานจะมีผลต่อสุขภาพมากกว่าปริมาณ โดยพบว่าหากรับประทานอาหารไขมันชนิดไขมันอิ่มตัวและ tran-fatty acid จะทำให้ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันหากให้รับประทานอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัว (monounsaturated or polyunsaturated fat ) จะทำให้การเกิดโรคหัวใจลดลง
นอกจากนั้นควรจะรับประทานไขมันที่ได้จากปลา omega-3 ซึ่งจะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจ สมาคมโรคหัวใจแนะนำให้รับประทานปลาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
ไขมันกับไข่
เป็น ที่ทราบกันดีว่าไขมันสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และปริมาณไขมันในไข่ก็มีปริมาณค่อนข้างสูง ทำให้แพทย์มักจะแนะนำให้ลดการรับประทานไข่ แต่จากการศึกษาพบว่าการรับประทานไข่วันละฟองไม่เพิ่มอุบัติการณ์การเกิดโรค หัวใจ และมีผลต่อระดับไขมันน้อยมาก นอกจากนั้นในไข่แดงยังมี protein, vitamins B12 and D, riboflavin, and folate ซึ่งช่วยลดการเกิดโรคหัวใจ ดังนั้นจึงแนะนำว่าคนปกติสามารถรับประทานได้ทุกวัน สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานให้รับประทานสัปดาห์ละ 2-3ฟอง
ผลของไขมันในเลือดสูงกับเด็ก
สมัยก่อนเชื่อว่าโรคหลอดเลือดแข็งเริ่มต้นตั้งแต่วัย กลางคน แต่ปัจจุบันเชื่อว่าโรคหลอดเลือดแข็งเริ่มตั้งแต่เด็ก และเป็นมากขึ้นอย่างอย่างช้าๆจนเกิดอาการในผู้ใหญ่ นอกจากนั้นยังพบอีกว่าโรคหลอดเลือดหัวใจตีบพบในคนอายุยุน้อยลง จึงพอสรุปได้ดังนี้
- โรคหลอดเลือดแข็งเริ่มเกิดตั้งแต่เด็ก
- ระดับ cholesterol ที่สูงตั้งแต่เด็กจะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแข็งในผู้ใหญ่
- พฤติกรรมในการรับประทานอาหารและกรรมพันธุ์จะมีผลต่อระดับไขมันและการเกิดโรคหัวใจ
- การลดไขมันตั้งแต่เด็กจะมีประโยชน์ในการป้องกันหลอดเลือดแข็ง
- งดบุหรี่
- ให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ตรวจวัดความดันโลหิต หากสูงต้องรักษา
- ให้ลดน้ำหนักสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน
- หากมีโรคเบาหวานต้องรักษา
ระดับไขมันแค่ไหนถึงเหมาะสม
ระดับไขมันของเด็กอายุ 2-19 ปี
ตารางแสดงระดับไขมันที่ยอมรับได้ | ยอมรับได้ | ปานกลาง | สูง |
Total Cholesterol | <170 | 171-199 | >200 |
LDL | <110 | 111-129 | >130 |
สาเหตุของไขมันในเลือดสูง
ก่อนการรักษาไขมันสูงต้องพยายามหาสาเหตุเพราะหากแก้ที่ต้นเหตุสำเร็จก็อาจจะไม่ต้องรับประทานยาลดไขมัน
โคเลสเตอรอลของคุณสูงหรือเปล่า ค่า LDL |
- เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจหรือโรคเบาหวาน ควรน้อยกว่า 100 มก./ดล
- ไม่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคเบาหวานแต่มีปัจจัยเสี่ยงมากกว่า 2 ข้อ ควรน้อยกว่า 130 มก./ดล
- ไม่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคเบาหวานแต่มีปัจจัยเสี่ยงน้อยกว่า 2 ข้อ ควรน้อยกว่า 160 มก./ดล
|
ค่า Triglyceride ควรน้อยกว่า 150 มก./ดล |
ค่า HDL ควรมากกว่า 40 มก./ดล |
- กรรมพันธุ์
- อาหารที่รับประทาน
- อ้วน
- การขาดการออกกำลังกาย
- เพศ/อายุ
- สุรา
- ความเครียด
- ยาบางชนิดเช่น ยาฮอร์โมนsteroid
- โรคบางอย่างมักจะร่มกับภาวะไขมันสูงได้แก่ โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต ต่อมธัยรอยด์ทำงานน้อย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
คนอ้วนที่ลดน้ำหนักไม่ได้ หากรักษาน้ำหนักให้คงที่ มีผลดีต่อสุขภาพ อ่านที่นี่
มีการศึกษาว่าความดันโลหิตสูง พบว่าเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัมพาตในชาย แต่การศึกษาล่าสุดพบว่าเสี่ยงทั้งหญิงและชาย และทุกเชื้อชาติ อ่านที่นี่
แพทย์โรคหัวใจแนะนำให้ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ หรือเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจให้หลีกเลี่ยงยาแก้ปวด เพราะอาจจะทำให้โรคหัวใจกำเริบ อ่านที่นี่
น้ำมันปลาช่วยลดการเกิดโรคหัวใจ โดยลดไขมัน LDL และอุบัติการการเกิดโรคหัวใจ อ่านที่นี่
Aspirin จะช่วยลดอุบัติการณ์ของการเกิดโรคหัวใจ โดยเแพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ แต่ได้มีการสำรวจที่ประเทศอเมริกาพบว่าคนอเมริการับประทาน Aspirin น้อกว่าที่คิด อ่านที่นี่
ยาแก้ปวดเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ อ่านที่นี่
แผลร้อนในเรื้อรังมียารักษาแล้ว อ่านที่นี่
การลดอาหารเค็มนอกจากจะลดความดันโลหิต ยังลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด อ่านที่นี่
การใช้ฮอร์โมนทดแทนสำหรับผู้ป่วยวัยทอง ทำให้เกิดโรคมะเร็งเพิ่มมากขึ้น อ่านที่นี่
แอสไปรินสามารถป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ อ่านที่นี่
เลี่ยงดีเกิดไปอาจจะทำให้เป็นโรคหอบหืด อ่านที่นี่
รับประทานcereal และแมกนีเซียมลดการเกิดโรคเบาหวาน อ่านที่นี่
การออกกำลังกายจะเพิ่มระดับไขมัน HDL อ่านที่นี่
Link https://www.siamhealth.net
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อาหาร โรคคอเลสเตอรอล
|
รู้มั้ยว่าโรคอะไรที่คร่าชีวิตคนมากที่สุดในโลก คำตอบคือ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคนี้ทำเอาพวกบริษัทยาที่ขายยาเกี่ยวกับโรคนี้พากันรวยมากมายมหาศาล และสาเหตุหลักที่สำคัญก็คือภาวะไขมันในเลือดสูง ซึ่งไขมันที่เป็นปัญหาสำคัญก็คือ คอเลสเตอรอล นั่นเอง ปัจจุบันภาวะไขมัน คอเลสเตอรอล ในเลือดสูงเป็นปัญหาที่สำคัญทีเดียว เพราะมันจะส่งผลไปกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดอย่างมากทีเดียว และถือว่าเป็นภัยเงียบที่ร้ายแรง จากการผลการศึกษาล่าสุดจากสถาบัน world's premier medical institutions พบว่ามีวิธีการที่สามารถช่วยป้องกันระบบหัวใจและหลอดเลือดให้แข็งแรงและมี สุขภาพที่ดีได้ นักวิจัยได้แนะนำว่ามีปัจจัยความเสี่ยงมากมายที่นำมา พิจารณา โดยใช้ความรู้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพื้นฐานของลักษณะของการ เสื่อมสลายของระบบหัวใจและหลอดเลือด ปัจจัยที่ไปเพิ่มความเสี่ยงเหล่านี้ประกอบไปด้วย สภาวะสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายต่ำ สภาวะกรดไขมันที่จำเป็นในร่างกายต่ำ ระดับปริมาณเกลือแร่ แมกนีเซียม โปตัสเซียม และระดับที่เพิ่มขึ้นของ homocysteine ในร่างกาย ปัจจัยความเสี่ยงเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากทีเดียว และสิ่งสำคัญมากๆ ก็คือมีวิธีที่ง่ายและปลอดภัยที่จะกำจัดปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ นั่นคือ ► การออกกำลังกาย ► การลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ► รับประทานอาหารเสริม เช่น วิตามิน เกลือแร่ และอาหารต้านอนุมูลอิสระ คอเลสเตอรอล มีผลกับสุขภาพยังไง ในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมาเรารับทราบข้อมูลของ คอเลสเตอรอล มามากมายว่ามันมีผลเสียต่อร่างกายโดยมันอาจจะไปอุดตันเส็นเลือด และมันเป็นปัจจัยที่สำคัญที่มีทำให้เกิด โรคหัวใจและหลอดเลือด แต่ทราบหรือไม่ว่า คอเลสเตอรอล เป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากต่อสุขภาพของร่างกายทีเดียวเรียกได้ว่าขาดไม่ได้ เลย คอเลสเตอรอล เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในเซลเมมเบรน (cell membrane) มันจะช่วยเซลล์ในการทำงานต่างๆ ของร่างกาย เช่น คอเลสเตอรอล ช่วยดูดซึมวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน (วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และ วิตามินเค) และกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายเข้าสู่เซลล์ คอเลสเตอรอล จะมีส่วนช่วยในขบวนการสร้างฮอร์โมนเพศทั้งชายและหญิง และรวมถึงสเตียรอยด์ฮอร์โมน (steroidal hormones) ซึ่งจะไปเกี่ยวข้องกับสุขภาพที่สำคัญของร่างกายคือระบบภูมิต้านทานของร่าง กายและการทำงานที่สมบูรณ์ของระบบฮออร์โมน คอเลสเตอรอล จะมี 2 ชนิด คือ ชนิดดีและชนิดไม่ดี ► ชนิดดีหรือ HDL (High Density Lipoprotein) ชนิดดีนี้จะช่วยร่างกายขับ คอเลสเตอรอล ที่เกินความต้องการออกจากร่างกาย จะได้จากอาหารและร่างกายผลิตขึ้นเพื่อนำไปใช้ ชนิดนี้ยิ่งสูงก็จะดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย ► ชนิดไม่ดีหรือ LDL (Low Density Lipoprotein) เป็นชนิดที่เป็นโทษต่อร่างกาย ได้จากอาหารเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ดังนั้นเวลาดูค่าหรือระดับของ คอเลสเตอรอล ในร่างกายควรที่จะดูที่สัดส่วนของ HDL กับ LDL จะดีกว่า เป็นเรื่องที่น่าแปลก จากการศึกษาพบว่ามีจำนวนสัดส่วนที่มากพอสมควรของผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอด เลือดกลับมีระดับ คอเลสเตอรอล ในร่างกายต่ำหรือเป็นปกติ ชี้ให้เห็นว่าสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือดไม่ได้เกิดจากไขมัน คอเลสเตอรอล เองโดยตรง แต่สิ่งที่เป็นผลร้ายกับร่างกายคืออนุภาคออกซิไดซ์ของ LDL หรือ คอเลสเตอรอล ที่ไม่ดีนั่นเอง นักวิจัยได้ระบุว่ามีอาหารมากมายที่วารสารการวิจัย ทางการแพทย์หลายๆ ฉบับระบุว่าช่วยส่งเสริมให้ระบบกาารทำงานของหัวใจและหลอดเลือดแข็งแรงมี สุขภาพดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยหากแบ่งตามหน้าที่การทำงานหลักของอาหารเหล่านั้นจะแบ่งได้ 4 กลุ่มหลัก ที่จะช่วยส่งเสริมให้ระบบกาารทำงานของหัวใจและหลอดเลือดมีสุขภาพดีขึ้น 1) อาหารช่วยต้านอนุมูลอิสระ อาหารชนิดนี้จะช่วยป้องกันการเกิดอนุภาคออกซิไดซ์ของ LDL หรือ คอเลสเตอรอล ที่ไม่ดี โดย คอเลสเตอรอล จะกลายเป็นศัตรูร้ายทันทีที่มันเกิดการแตกตัวเป็นอนุภาคออกซิเดชั่น ซึ่งก็จะอาหารที่จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้ส่งผลให้อาหารเหล่านี้ช่วย ทำให้ระบบกาารทำงานของหัวใจและหลอดเลือดมีสุขภาพดีขึ้น ► สารสกัดจากกระเทียม 400-2,000 มิลลิกรัมต่อวัน (หากเป็นแบบไม่มีกลิ่นจะดีกว่า) ► วิตามินอี 400-1,200 IU ต่อวัน ► สารสกัดจากเมล็ดองุ่น 50-200 มิลลิกรัมต่อวัน ► ไวน์แดงสกัด 50-200 มิลลิกรัมต่อวัน ► สารสกัดจากชาเขียว 100-300 มิลลิกรัมต่อวัน ► CoEnzyme Q10 60-120 มิลลิกรัมต่อวัน 2) อาหารที่ช่วยในเรื่องเกี่ยวการรักษาระดับ homocysteine ในร่างกาย homocysteine เป็นกรดอะมิโนที่ได้จากกระบวนการเมแทบอลิซึม ของกรดอะมิโน methionine และเป็นกรดอะมิโนที่รู้จักกันดีว่ามีพิษต่อผนังเซลล์ของหลอดเลือด ภาวะระดับ homocysteine ในเลือดสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด มีผลการศึกษากว่า 500 การศึกษาที่ได้มีการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์พบอันตรายของ homocysteine พบว่าการเพิ่มขึ้นของระดับ homocysteine จะส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตมากว่าการเพิ่มขึ้นของระดับ คอเลสเตอรอล ถึง 5 เท่าทีเดียว อาหารที่พบว่ามีส่วนช่วยในเรื่องการรักษาระดับ homocysteine ในร่างกายคือ ► วิตามินบี6 50-150 มิลลิกรัมต่อวัน ► วิตามินบี12 500-2,000 ไมโครกรัมต่อวัน (ในรูปแบบ methylcobalamin จะให้ผลดีกว่า) ► กรดโฟลิค 400-1,000 IU ต่อวัน ► Trimethylglycine 100 - 500 มิลลิกรัมต่อวัน 3) อาหารที่ช่วยในเรื่องสัดส่วนหรือระดับของ คอเลสเตอรอล ในร่างกาย ระดับของ คอเลสเตอรอลในร่างกายไม่ได้ตัวชี้วัดที่ดีของสุขภาพของระบบหัวใจและหลอด เลือด สิ่งที่น่าจะเป็นตัวชี้วัดที่ดีน่าจะเป็นอัตราส่วนของ HDL ต่อ LDL มากกว่า ซึ่งอัตราส่วนที่ดีคืออัตราส่วนเท่ากับ 4 หรือน้อยกว่า ส่วนอัตราส่วนที่พอเหมาะคือ 3 อาหารที่พบว่ามีส่วนช่วยในเรื่องการรักษาระดับอัตราส่วนของ คอเลสเตอรอล ในร่างกายคือ ► น้ำมันปลาหรือ Fish oil 200-800 มิลลิกรัมต่อวัน (EPA และ DHA) ► สารสกัดจากกระเทียม 900 มิลลิกรัมต่อวัน (หากเป็นแบบไม่มีกลิ่นจะดีกว่า) ► Tocotrienols 312 มิลลิกรัมต่อวัน ► ไฟเบอร์ (Fiber) 20-30 กรัมต่อวัน 4) อาหารที่ช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรงและมีสุขภาพดี มื้ออาหารของคนส่วนใหญ่ที่รับประทานกันในแต่ละวัน มักจะได้รับปริมาณของ วิตามินซี และ ไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoid) ไม่เพียงพอต่อการเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงและมีสุขภาพดีได้ ซึ่งทั้ง วิตามินซี และ ไบโอฟลาโวนอยด์ เป็นสารที่สำคัญอย่างมากต่อการสร้าง คอลลาเจน (Collagen) ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญต่อความแข็งแรงของผนังหลอดเลือด มีสารอาหารอยู่ชนิดหนึ่งคือ เปลือกสนสกัด (เฉพาะเปลือกสนที่สกัดจากเปลือกของต้นสนในประเทศฝรั่งเศสเท่านั้น) ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลที่แรงทีเดียว ดังนั้นเปลือกสนสกัดจึงสามารถช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพที่เกี่ยวกับการ ทำลายของอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เปลือกสนสกัดน่าจะมีประโยชน์อย่างมากต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดทั้ง ระบบทีเดียว โดยมันจะไปช่วยป้องกันการเกิดการเกาะกลุ่มกันของเกล็ดเลือดที่เกิดจากการสูบ บุหรี่หรือความเครียด อาหารที่ช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรงและมีสุขภาพดีคือ ► วิตามินซี 500-2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ► ไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoid) 100-500 มิลลิกรัมต่อวัน ► เปลือกสนสกัด 50-200 มิลลิกรัมต่อวัน โดยสรุปสำหรับผู้ที่ต้องการมีสุขภาพที่ดีลดความ เสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด และต้อการมีระบบหัวใจและหลอดเลือดที่แข็งแรงก็ควรจะปฏิบัติตัวง่ายๆ ดังนี้คือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง และรับประทานอาหารเสริมที่ช่วยบำรุงระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น วิตามิน เกลือแร่ และอาหารต้านอนุมูลอิสระ ภาพและที่มา www.heathdd.com
| |
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++