ยารักษาโรคหูดที่อวัยวะเพศ โรคหูดที่อวัยวะเพศชาย โรคหูดที่อวัยวะเพศ
ยารักษาโรคหูดที่อวัยวะเพศหูด เป็นเนื้องอกชนิดธรรมดาของผิวหนัง เป็นโรคที่พบได้บ่อยมากในเด็กวัยเรียน ในผู้ใหญ่ก็เป็นได้ แต่จะพบได้น้อยในคนอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไปหูดมีหลายชนิด อาจมีขนาดแตกต่างกันไป ขึ้นกับตำแหน่งที่เป็น อาจขึ้นเดี่ยว ๆ หรือหลายอันก็ได้มักขึ้นที่มือ เท้า ข้อศอก ข้อเข่า ใบหน้า ฝ่ามือฝ่าเท้า อาจขึ้นตามผิวหนังส่วนอื่น ๆ รวมทั้งที่อวัยวะเพศ หูดเป็นโรคที่ไม่มีอันตรายแต่อย่างไร นอกจากทำให้แลดูน่าเกลียดน่ารำคาญ หรืออาจมีอาการปวดได้เป็นบางครั้ง ส่วนมากจะยุบหายได้เองตามธรรมชาติ (แม้จะไม่ได้รับการรักษา) ภายหลังที่เป็นอยู่หลายเดือน บางคนอาจเป็นอยู่เป็นปี ๆ กว่าจะยุบหาย เมื่อหายแล้วอาจกลับเป็นใหม่ได้อีก
เป็นโรคติดเชื้อไวรัสตระกูล Papillomavirus ที่ผิวหนังและเยื่อบุ เชื้อนี้ทำให้เกิดตุ่มนูนที่เรียกว่า Papilloma จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Humanpapilloma virus (HPV) เพราะก่อโรคในคนเท่านั้น HPV ที่เป็นต้นเหตุของโรคหูดมีมากกว่า 150 ชนิดแต่ละชนิดทำให้เกิดตุ่มที่ผิวหนังแตกต่างกัน
หูดชนิดพบเห็นทั่วไป เรียกว่า common warts จะมีลักษณะเป็นตุ่มกลมแข็ง ผิวหยาบ ออกเป็นสีเทา ๆเหลือง ๆ หรือน้ำตาล ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-10 มิลลิเมตร มักจะขึ้นตรงบริเวณที่ถูกเสียดสีง่าย (เช่นนิ้วมือ นิ้วเท้า ข้อศอก ข้อเข่า ใบหน้า หนังศีรษะ เป็นต้น) และอาจแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย หูดที่เป็นที่ฝ่ามือฝ่าเท้าจะมีลักษณะเป็นไตแข็ง ๆ หยาบๆ แต่จะแบนราบเท่าระดับผิวหนังที่ปกติ เพราะมีแรงกดขณะเดินใช้งาน ลักษณะคล้าย ๆ ตาปลา แต่จะแยกกันได้ตรงที่หูดถ้าใช้มีดฝานอาจมีเลือดไหลซิบ ๆ และอาจมีอาการเจ็บปวดได้ หูดที่เป็นติ่ง (Filiform warts) จะมีลักษณะเป็นติ่งเนื้อเล็ก ๆ ขึ้นที่หนังตา ใบหน้า ลำคอ หรือริมฝีปาก
การติดเชื้อหูดแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
1.โรคหูดที่ผิวหนังที่ไม่ใช่หูดที่อวัยวะเพศ ได้แก่
หูดแบนราบ (Flat or Plane warts) เป็นที่เป็นตุ่มแบนราบ ขนาด 2-4 มม. พบกระจายอยู่ที่หน้า แขน ขา ตุ่มหูดมักไม่มีอาการใดๆ อาจมีขุยเล็กน้อย ตุ่มหูดที่หน้าและคอบางครั้งยื่นออกไปเหมือนกิ่งไม้เล็กๆ ขนาด 1-2 มม. เรียกหูดชนิดนี้ว่า Filiform warts
หูดสามัญ (Common warts) หูดชนิดนี้พบเป็นก้อนนูนเดี่ยวๆหรืออยู่กันเป็นกลุ่ม ผิวของก้อนมีลักษณะเป็นหนาม ขรุขระ เกิดบริเวณใดของผิวหนังก็ได้ พบบ่อยตามแขนขา หลังมือ นิ้วมือมีขนาด 1มม.-1 ซม.
หูดรอบจมูก เล็บ (Periungual and subungual wart) เป็นตุ่มหรือก้อนผิวขรุขระที่รอบจมูกเล็บหรืออยู่ใต้เล็บ เป็นหูดที่รักษาให้หายขาดยากมีอัตราการกลับเป็นซ้ำสูง เพราะโครงสร้างของพื้นเล็บเป็นรอนๆเชื้อหูดจึงหลบซ่อนอยู่ได้
หูดที่ฝ่ามือฝ่าเท้า(Palmar and plantar warts) ตุ่มหรือก้อนหูดที่ฝ่ามือฝ่าเท้ามักโตยื่นลงไปในเนื้อผิวหนังเพราะถูกกดทับ จากการยืนเดิน ถ้าก้อนหูดกดประสาททำให้เกิดอาการเจ็บ ปวดได้ ตุ่มหูดที่ฝ่ามือฝ่าเท้าขนาดเล็กอาจรวมตัวกันเป็นปื้นใหญ่เรียกว่า Mosaic warts
2.โรคหูดที่อวัยวะเพศ (Anogenital warts) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างหนึ่ง ลักษณะทางคลินิกที่สำคัญคือ เป็นก้อนนูนรูปร่างคล้ายหงอนไก่ (Condyloma accuminata) เกิดที่บริเวณอวัยวะเพศของผู้ชายและผู้หญิง ในผู้ชายหูดเป็นก้อนนูนคล้ายหงอนไก่ที่หนังหุ้มปลาย Corona glandes องคชาติ รอบทวารหนัก บางครั้งพบในท่อปัสสาวะด้วยเรียกว่า urethral warts สำหรับผู้หญิงจะพบหูดที่ปากช่องคลอด ผนังช่องคลอด ปากมดลูก และรอบทวารหนัก
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เอชพีวี (HPV/Human papilloma virus) ซึ่งมีประมาณ 70 ชนิด เมื่อเชื้อไวรัสแทรกซึมเข้าไปในเซลล์ผิวหนัง ก็จะเกิดการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นหูดงอกออกจากผิวหนังส่วนที่ปกติ หูดสามารถติดต่อโดยการสัมผัสถูกคนที่เป็นหูดโดยตรง ระยะฟักตัว 2-18 เดือน
แพทย์สามารถวินิจฉัยได้จากการดูลักษณะของโรคที่เป็นว่าเหมือนกับโรค หูดหรือไม่ แต่ในบางครั้งอาจต้องขูดบริเวณผิวของตุ่มเพื่อที่จะหาเส้นเลือดที่ถูกอุด ตัน(clotted blood vessels) แต่ถ้าแพทย์ยังไม่สามารถวินิจฉัยได้อาจต้องนำตัวอย่างของตุ่มไปทำการ วิเคราะห์เพื่อช่วยในการวินิจฉัยได้
HPV บางชนิดเป็นสาเหตุของมะเร็ง เช่น HPV ชนิด 16, 18 ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก HPV ส่วนใหญ่ไม่ทำให้เกิดมะเร็งที่ผิวหนัง
หลักการดูแลรักษาหูดที่ผิวหนังคือทำลายผิวหนังที่มีเชื้อไวรัสออกให้ หมด วิธีที่ใช้อยู่มีดังนี้: ใช้สารเคมี ไฟฟ้า Ellman ความเย็น หรือ คาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์
การพิจารณาเลือกวิธีการรักษาหูดขึ้นกับปัจจัยต่อไปนี้
1.อายุผู้ป่วย เช่น เด็ก อาจไม่จำเป็นต้องให้การรักษาเพราะ 2 ใน 3 ของผู้ป่วยหูดจะหาย ไปเองในระยะเวลา 2 ปี
อย่าง ไรก็ตามาผู้ปกครองบางรายอาจมีความกังวล ซึ่งจริงๆแล้วหูดไม่มีอันตรายอะไร แต่การรักษาอาจทำให้เกิดความเจ็บปวดและเกิดแผลเป็นได้ จึงน่าจะติดตามดูอาการรอเวลาให้ตุ่มหูดหายเองจากประสบการณ์ผู้ปกครองส่วน ใหญ่มักขอให้รักษาโรคหูดให้หายไปโดยเร็ว
2.หูดเป็นมากน้อยเพียงใด เป็นมานานเท่าใด ตำแหน่งที่เป็น หูดที่เป็นมากและเป็นมานานไม่หายไปเองหรือเป็นในตำแหน่งที่ผิวหนังมีเคอราติ นหนาควรพิจารณาให้การรักษาด้วยยาทาที่มีกรดเป็นส่วนผสม จี้ความเย็น ไฟฟ้าหรือ Ellman
3.ความต้านทานของผู้ป่วย ผู้ป่วยที่มีความต้านทานไม่ดี เช่น รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน เป็นโรคติดเชื้อ HIV ควรรีบให้การรักษาด้วยยาทา หรือ ใช้ความเย็น การใช้ไฟฟ้าหรือเลเซอร์เผาหูดต้องระวังควันที่เกิดจากการจี้หูดเพราะมีการ ศึกษาแล้วพบ เชื้อไวรัส HIV อยู่ในควันไฟ ผู้ที่จะใช้เทคนิกดังกล่าวต้องใส่หน้ากากหรือ Mask กรองควันไฟที่มีเชื้อปนเปื้อน
4.ความต้องการของผู้ป่วย หูดบางชนิดมีขนาดเล็ก เช่น หูดแบนราบ ผู้ป่วยไม่มีความเดือดร้อนก็อาจไม่ต้องให้การรักษา
5.เครื่องมือที่มีอยู่ และความชำนาญของแพทย์ผู้รักษา
สารเคมีที่ใช้รักษาหูด มีหลายชนิดดังนี้
1. กรดชนิดต่างๆ กรดที่ใช้รักษาหูดได้แก่ salicylic acid และ lactic acid ในประเทศไทยมียาสำเร็จรูปที่มีขายอยู่คือ
- DuofilmR ประกอบด้วย 16.7% salicylic acid ผสม 16.7% lactic acid
- CollomaxR ประกอบด้วย salicylic acid 2 กรัม + lactic acid 0.5กรัม + polidocanol 0.2 กรัม
- VerumalR ประกอบด้วย 10% salicylic acid + 0.5 % fluorouracil + 8% DMSO
2. สารเคมีที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน (Immune response modifying agent) สารเคมีกลุ่มนี้ที่มีขายในประเทศไทยคือ immiquimod cream
การใช้ยาทารักษาหูดมีข้อสังเกตดังนี้
1. การรักษาด้วยวิธีนี้เจ็บน้อย ได้ผลช้า ต้องการความเข้าใจและร่วมมือของผู้ป่วยและญาติ หูดในบริเวณฝ่าเท้าที่มีเคอราตินหนา ควรต้องฝานเคอราตินออกด้วยใบมีดเบอร์ 30 ก่อนที่จะทายาเพราะยาที่ทาจะพอกอยู่บนผิวของก้อนหูดทำให้กรดไม่สามารถซึมลง ไปกัดเนื้อหูดที่อยู่ส่วนลึกได้
2. นัดติดตามผลทุก 1-2 สัปดาห์เพื่อดูว่าก้อนหูดยุ่ย และหลุดลอกออกหรือไม่ ถ้าพบว่าเคอราตินยังหนาก็ให้ฝานเอาเนื้อหูดส่วนบนๆออกอีก ทำเช่นนี้หลายครั้งก้อนหูดจะถูกดันให้ตื้นขึ้นแล้วลอกหลุดไป
3. ยากลุ่ม Immune response modifying agent เช่น immiquimod ครีม ใช้รักษาหูดที่อวัยวะเพศและรอบทวารหนักได้ผลดี ส่วนหูดผิวหนัง เช่น ที่มือ แขน ขา ได้ผลไม่ดีเพราะผิวหนังบริเวณนี้มีเคอราตินหนา ยาซึมเข้าสู่ผิวหนังได้น้อย
การจี้ด้วยไฟฟ้า(electrodesication) เป็นวิธีที่ใช้รักษาหูดที่ได้ผลดี เครื่องมือราคาถูก หูดที่ฝ่าเท้าถ้าจะใช้วิธีนี้ต้องระวังอย่างใช้ไฟฟ้าทีมีพลังงานสูงเพราะอาจ ทำให้เกิดแผลเป็น ในตำราโรคผิวหนังทั่วไปแนะนำไม่ให้ใช้วิธีนี้เพราะอาจเกิดแผลเป็นที่ฝ่าเท้า ถ้าจะใช้วิธีนี้ให้ใช้ไฟฟ้าที่ไม่แรงมากจี้ที่ขอบของก้อนหูดแล้วใช้กรรไก โค้งปลายแหลมตัดตามรอยที่จี้ไฟฟ้าไว้แล้วเลาะเอาก้อนหูดออก ใช้ Currete ขูดที่พื้นแผลที่ยกก้อนหูดออกไปให้เกลี้ยง ใช้กรรไกรโค้งปลายแหลมตัดขอบผิวหนังที่อยู่รอบหูดออกเพื่อกำจัดผิวหนังที่ อาจมีเชื้อไวรัสอยู่ออกพบว่าได้ผลดี
การจี้ด้วยความเย็น เป็นวิธีรักษาหูดที่ได้ผลดีอาจใช้ไม้พันสำลีจุ่มไนโตรเจนเหลวที่ให้ความเย็น -196 C จี้ลงที่ก้อนหูด หรือ ใช้ Spray canister เป็นกระป๋องบรรจุไนโตรเจนเหลวที่มีหัวพ่นพ่นที่ก้อนหูดจนเห็นเป็นสีขาวนาน 5-25 วินาที มักต้องนัดมาทำซ้ำใน1-2 สัปดาห์ถัดไป อย่างไรก็ตามการใช้ไนโตรเจนเหลวมีข้อดีเพราะสามารถใช้รักษาผู้ป่วยโรคหูดที่ มีการติดเชื้อHIVร่วมด้วยได้ ไม่ทำให้เกิดการฟุ้งกระจายของควันที่มีเชื้อไวรัส HIV อยู่เหมือนเครื่องจี้ไฟฟ้าและแสงเลเซอร์
การรักษาด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ จะไม่กล่าวถึงในที่นี้เพราะเครื่องมือมีราคาแพงเหมาะที่จะมีใช้ในหน่วยงาน ที่มีผู้ชำนาญทางด้านนี้
การดูแลรักษาหูดที่อวัยวะเพศและรอบทวารหนักหรือหูดหงอนไก่(Anogenital warts) หูดชนิดนี้มีความพิเศษที่ ตอบสนองดีต่อ 25% Podophyllin in tincture benzoin ทายานี้ที่ตุ่มหูดจะทำให้ตุ่มยุบลงได้ใน 1-2 สัปดาห์ทั้งนี้ขึ้นกับระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย เทคนิคในการทายานี้คือ ระวังไม่ให้ยาสัมผัสผิวหนังปกติเพราะอาจเกิดผื่นระคายสัมผัส แนะนำให้ทาขี้ผึ้งวาสลินบนผิวหนังปกติรอบตุ่มหูดก่อนทายา Podophyllin เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผื่นระคายสัมผัส ผู้ป่วยไม่ควรนำยา 25% Podophyllin กลับไปทาเองที่บ้านเพราะผู้ป่วยอาจทายามากเกินจนเกิดผลข้างเคียง
มียาทารุ่นใหม่คือ Purified podophyllotoxin ที่มีความเข้มข้นของตัวยาแน่นอน ระคายผิวหนังน้อยสามารถนำไปทาเองที่บ้านได้ แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากยานี้มีปริมาณการใช้ไม่มากจึงยังไม่มีบริษัทยานำ เข้ายานี้มาขายในประเทศไทย
ยากลุ่ม immunoresponse modifier คือ 5% Immiquimod cream ใช้รักษาหูดหงอนไก่ได้ผลดี วิธีทายานี้ให้ทายาลงบนก้อนหูดให้ทั่วก่อนนอนสัปดาห์ละ 3 วัน หูดจะยุบใน 8-10 สัปดาห์ อัตราการกลับเป็นโรคซ้ำลดลง เหลือเพียงร้อยละ 13
ข้อแนะนำ
- 1. ควรหาทางป้องกัน โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับคนที่เป็นหูด
- 2. เมื่อเป็นหูดพยายามอย่าเกาบริเวณที่เป็น อาจลุกลามหรือแพร่กระจายไปตามส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้
ยาที่เกี่ยวข้อง
ยาที่ใช้บ่อย Podophyllin, Salicylic acid, Lactic acid, Immiquimod cream
แหล่งอ้างอิง
1.อภิชาติ ศิวยาธร, กนกวลัย กุลทนันทน์ บรรณาธิการ. โรคผิวหนังต้องรู้ : สำหรับเวชปฏิบัติทั่วไป. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน. 2545, 83-85.
2.ปรียา กุลละวณิชย์, ประวิตร พิศาลบุตร บรรณาธิการ. ตำราโรคผิวหนังในเวชปฏิบัติปัจจุบัน Dermatology 2010 พิมพ์ครั้งที่ 1 กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ โฮลิสติก พับลิชชิ่ง. 2548, 231-234.
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โรคหูดที่อวัยวะเพศชาย
ลักษณะนูนเหมือนหัวกะหล่ำ ตุ่มนูนเล็กผิวด้านบนแห้งหนา ตุ่มนูนแต่แบนด้านบน เป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ ลักษณะชุ่มชื้น |
| |||||
|
Link https://www.si.mahidol.ac.th
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++=
โรคหูดที่อวัยวะเพศ
โรคหงอนไก่ โรคหงอนไก่เป็นโรคติดเชื้อที่ผิวหนังเกิดจากเชื้อ HPV มักจะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ลักษณะเป็นผื่นยื่นออกมา การรักษาจะทำได้โดยการจี้ด้วยยา |
โรคหูดที่อวัยวะเพศหรือที่เรียกว่า Condyloma acuminatum เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อไวรัสที่เรียกว่า human papillomavirus (HPV) ซึ่งมีมากกว่าร้อยชนิด โรคหูดส่วนใหญ่ร้อยละ 90 เกิดจากเชื้อ HPV type 6,11ซึ่งไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ชนิดที่อาจจะก่อให้เกิดมะเร็งได้แก่ชนิด types 33, 35, 39, 40, 43, 45, 51-56, 58 ชนิดชนิดที่ทำให้เกิดมะเร็งได้มากได้แก่ชนิด (types 16, 18)
ตำแหน่งที่พบโรคหูด
โรคหูดที่อวัยวะเพศตำแหน่งที่พบบ่อยได้แก่ อวัยวะเพศชาย penis, แคมใหญ่ vulva, ช่องคลอด vagina, ปากมดลูก cervix, บริเวณหัวเหน่า perineum, และบริเวณรอบๆทวารหนัก perianal ตำแหน่งอื่นที่อาจจะพบได้แก่ คอ หลอดลม บางแห่งติดเชื้อแต่ไม่มีอาการซึ่งจะเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็ง
ลักษณะของหูดเป็นอย่างไร
หูดจะมีลักษณะแบน สีออกชมภูหรือดำ มักจะไม่เป็นติ่ง มักจะเกิดได้หลายๆแห่ง
โรคนี้พบบ่อยแค่ไหน
- เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยที่สุด มักจะพบในวัยรุ่นและวัยหนุ่ม
- ผู้ที่มีโรคทำให้ภูมิอ่อนแอ เช่นโรคเบาหวาน ผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยเหล่านี้จะมีขนาดของหูดใหญ่กว่าปกติ กลับเป็นซ้ำหรือมีโรคแทรกว้อน
- โรคนี้อาจจะกำเริบในขณะตั้งครรภ์ทำให้หูดมีขนาดใหญ่และขวางการคลอดตามธรรมชาติ
|
อาการของโรคเป็นอย่างไร
- ผู้ที่สูบบุหรี่ ทานยาคุมกำเนิด มีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อยจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้
- ประมาณร้อยละ60ของผู้ป่วยจะเกิดโรคหูดหลังจากสัมผัสผู้ป่วยไปแล้วประมาณสามเดือน
- อาการทีสำคัญของผู้ป่วยโรคหูดคือ มีก้อนไม่เจ็บปวด อาจจะมีอาการคัน หรือมีตกขาว
- สำหรับผู้ที่มีประวัติมีเพศสัมพันธ์ทางทวาร หรือทางปากอาจจะมีก้อนบริเวณดังกล่าว
- ผู้หญิงอาจจะมาด้วยเรื่องมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ ส่วนผู้ชายอาจจะมีปัญหาเรื่องปัสสาวะไม่ออก
แพทย์จะตรวจหาหูดได้ที่ไหนบ้าง
สำหรับผู้ชาย
- พบก้อนได้บริเวณอวัยวะเพศ
- ส่วนหัวของอวัยวะเพศ
- หรือเยื่อบุในท่องปัสสาวะ
- สำหรับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักอาจจะก้อนบริเวณรอบทวารหนัก
สำหรับผู้หญิง
- ผิวหนังแถวอวัยวะเพศ
- แคมใหญ่ แคมเล็ก
- ช่องคลอด
- ทวานหนัก
แพทย์จะต้องตรวจพิเศษอะไรบ้าง
การที่ท่านเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แพทย์จะต้องตรวจหาว่าท่านติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างอื่นอีกหรือไม่ โดยจะตรวจ
- หนองในแท้ หนองในเทียม
- โรคเอดส์
- โรคซิฟิลิส
- ตรวจภายในทำ PAP Smear
- ตรวจหารการติดเชื้อโดยที่ไม่มีอาการ โดยการใช้ acetic acid ปิดไว้ห้านาที แล้วใช้แว่นขยายส่อง ซึ่งอาจจะพบรอยโรค
- การตัดชิ้นเนื้อตรวจ
การรักษา
หลักการรักษาเมื่อพบหูดจะเอาหูดออก หากไม่รักษา ก้อนอาจจะมีขนาดเท่าเดิม หรือหายไปเอง หรืออาจจะมีขนาดใหญ่ขึ้น การเอาก้อนหูดออกไม่ได้กำจัดการติดเชื้อ HPV ออกจากร่างกาย การเอาหูดออกจะลดการติดต่อลง
- การจี้ด้วยความเย็น Cryotherapy
- ใช้ความเย็น(nitrogen เหลว) จี้บริเวณเนื้องอก 10-15 วินาที และสามารถทำซ้ำได้ ระวังอย่าให้ถูกผิวหนังบริเวณที่ดี
- การใช้ความเย็นจี้เป็นวิธีการรักษาสำหรับหูดโดยเฉพาะที่รอบทวารหนัก
- การตอบสนองต่อการรักาาดี และมีแทรกซ้อนน้อย
- โรคแทรกซ้อนที่สำคัญได้แก่ เกิดผล ปวดขณะทำ สีผิวซีดลง
- สามารถทำในคนท้องได้
- การใช้ไฟฟ้าจี้ ไม่แนะนำเพราะควันที่เกิดอาจจะติดต่อได้
- การขูดเอาเนื้องอกออก Curettage
- การผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อออก Surgical excision
- การผ่าตัดจะให้ผลดี และมีโรคแทรกซ้อนต่ำ และอัตราการเป็นซ้ำต่ำ
- อัตราการหาย 63-91%.
- การใช้ Laser Carbon dioxide laser treatment
- ใช้ Laserในกรณีที่ก้อนมีขนาดใหญ่ หรือเป็นซ้ำ
- ข้อระวังควันที่เกิดอาจจะติดต่อได้
- ต้องใช้ยาชาเฉพาะที่ทา
- การใช้ยาทาภายนอกได้แก่
- Podophyllin เป็นยาที่ใช้ทาภายนอกที่ตัวหูด ให้ทาสัปดาห์ละครั้ง ข้อระวังของการใช้ยานเพื่อป้องกันมิให้ยาดูดซึมเข้าสู่ร่างกายี้ได้แก่
- การใช้ยาแต่ละครั้งไม่ควรเกิน <0.5 mL
- ขนาดของหูดไม่ควรมีขนาดใหญ่เกินไปโดยไม่เกิน 10 cm2
- บริเวณที่ทาไม่ควรมีแผล เพราะยาอาจจะถูกดูดซึม
- หลังทาปล่อยให้แห้ง และล้างออกหลังจากทาไปแล้ว 1-4 ชม
- TCA (trichloracetic acid)เป็นยาที่ใช้ทาภายนอก ห้ามถูกผิวหนังที่ดี
- Podophyllin เป็นยาที่ใช้ทาภายนอกที่ตัวหูด ให้ทาสัปดาห์ละครั้ง ข้อระวังของการใช้ยานเพื่อป้องกันมิให้ยาดูดซึมเข้าสู่ร่างกายี้ได้แก่
- การให้ผู้ป่วยทายาเอง
- Podofilox 0.5% solution or gel. ให้ทาที่ตัวหูดวันละสองครั้งเป็นเวลาสามวัน และหยุดทาสี่วันให้ทำซ้ำได้สี่ครั้ง ยานี้ไม่ควรใช้ในคนท้อง และไม่ควรใช้ยาปริมาณมากเกินไป
- Imiquimod 5% cream ให้ทายานี้ก่อนนอน อาติตย์ละ 3 วันเป็นเวลา 16 สัปดาห์
การป้องกันการติดเชื้อโรคหูด
หญิงหรือชายวัยเจริญพันธุ์สามารถป้องกันการติดเชื้อโรคหูดโดย
- งดการมีเพศสัมพันธุ์เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด แต่น้อยคนที่ทำได้
- ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ เพราะนั้นย่อมหมายถึงคุณก็เสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
- ไม่ควรจะเปลี่ยนคู่นอน
- หากผู้ที่มีหูดควรจัดการรักษาให้หายเรียบร้อยก่อนจึงจะมีเพศสัมพันธุ์
- ให้สวมถุงยางทุกครั้งที่มีเพศสัมพันะธุ์ที่ไม่แน่ใจว่าจะปลอดภัย
- การฉีดวัคซีนป้องกัน
โรคที่เกี่ยวข้อง
- วัคซีนป้องกันเชื้อ HPV
- การติดเชื้อ HPV
- มะเร็งปากมดลูก
- การตรวจภายใน
- การติดเชื้อหูดในผู้ชาย
- หูดที่ผิวหนัง
Link https://www.siamhealth.net
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++