การออกกำลังกายยืดกระดูกสันหลัง เทคโนโลยีสมัยใหม่กับการผ่าตัดกระดูกสันหลัง การผ่าตัดโรคกระดูกสันหลังคอเสื่อม
การออกกำลังกายยืดกระดูกสันหลัง
ออกกำลังกาย ยืดอายุกระดูกสันหลัง
ออกกำลังกาย ยืดอายุกระดูกสันหลัง
อย่างที่ นพ.ทายาท บอกเอาไว้ว่า สิ่งสำคัญที่จะทำให้กระดูกยังคงความแข็งเอาไว้ได้นานที่สุดนั่นก็คือการออกกำลังกายซึ่งการออกกำลังกายที่ถูกวิธีเพื่อป้องกันอาการปวดหลังนั้นมีข้อควร ปฏิบัติดังนี้
เคลื่อนไหวในแต่ละท่าอย่างช้าๆ ห้ามกระชาก หายใจเข้าออกตามปกติ ระวังอย่ากลั้นหายใจ
อย่าฝืนหรือหักโหมเกินไป
ไม่ควรให้มีอาการปวดหรือเจ็บใดๆ ในขณะที่ออกกำลังกาย
เพื่อให้ได้ผลที่ดีควรออกกำลังกายให้เป็นประจำ และสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละไม่ต่ำกว่า 30 นาที
ท่ายืดกล้ามเนื้อหลัง
นั่ง บนเก้าอี้ เท้าวางราบกับพื้น ผ่อนคลายคอ หลัง พร้อมก้มตัวลงช้าๆ ให้มือแตะพื้นค้างในท่านี้ 5-10 วินาที ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ สู่ท่าเริ่มต้น
นั่งให้ฝ่าเท้าชนกัน ผ่อนคลายคอและหลัง พร้อมกับก้มตัวเหยียดมือไปข้างหน้าช้าๆ ค้างไว้ 5-10 วินาที ถ้าตึงบริเวณต้นขาด้านในมากไปให้เหยียดขาออกไปด้านหน้าได้อีก
นั่งเหยียด ขาไปกับพื้น ยกเท้าขวาไขว้ไปวางด้านนอก ค่อยๆ หมุนตัวไปด้านขวา มือขวาเท้าไปด้านหลัง ให้รู้สึกว่ากล้ามเนื้อลำตัวด้านซ้ายตึง ค้างไว้ 5-10 วินาที
นอนหงาย ค่อยๆ ดึงเข่าทั้ง 2 ข้างมาชิดอกช้าๆ ค้างไว้ 10 วินาที จะรู้สึกตึงบริเวณส่วนล่าง หากมีอาการปวดเข่าให้สอดมือทั้ง 2 ข้างตรงบริเวณข้อพับเข่า
ท่าออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อหลัง
นอนหงาย ชันเข่า 2 ข้าง เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง กดหลังให้ติดกับพื้นมากที่สุดค่อยๆ ยกศีรษะและไหล่ขึ้นค้างไว้ 5 วินาที
นอนคว่ำมือข้างลำตัว ยกศีรษะและไหล่ขึ้นค้างไว้ 5 วินาที จากนั้นค่อยๆ วางลง
นอนคว่ำ แขนยื่นออกไปด้านหน้าเล็กน้อย ดันแขนยกตัวขึ้นให้สะโพกติดพื้นค้างไว้ 5-10 วินาที
นอนหงาย ตั้งเข่า 2 ข้างขึ้น มือ 2 ข้าววางข้างลำตัว เท้า 2 ข้างยันพื้น ยกก้นขึ้นค้างไว้ 5 วินาที
นั่งเก้าอี้ไม่มีพนักพิง หลังติดกำแพงยกมือ 2 ข้างขึ้นเหนือศีรษะ ยืดตัวดันหลังด้านกำแพงค้างไว้ 5-10 วินาที
ยืน ตรงแขนทั้ง 2 ข้างทิ้งข้างลำตัว ยกแขนซ้ายขึ้นเหนือศีรษะ เอนตัวไปด้านขวาค้างไว้ 3 วินาที แล้วกลับมายืนในท่าเริ่มต้นสลับทำอีกข้าง
ยืนตรงมือทั้ง 2 ข้างยันค้ำไว้ด้านหลังบริเวณเอว เอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อย ค้างไว้ 3 วินาที
นั่งประสานมือ แขน 2 ข้างกางออกไประดับไหล่ หลังเหยียดตรง ค่อยๆ หมุนลำตัวและศีรษะจากข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งเท่าที่สามารถจะทำได้ โดยทำทั้ง 2 ข้าง
“การออกกำลังกายนอกจากจะเกิดประโยชน์ทาง ด้านกล้ามเนื้อแล้ว ยังช่วยทำให้มีอาหารไปเลี้ยงหมอนรองกระดูกสันหลังและกระดูกสันหลังได้ดีขึ้น การไหลเวียนของเลือดบริเวณนั้นดีขึ้นทำให้สุขภาพของกระดูกสันหลังดีขึ้น เพราะมีผลการพิสูจน์มาแล้วว่า คนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอหมอนรองกระดูกจะได้รับสารอาหารที่ทำให้หมอน รองกระดูกเสื่อมสภาพช้าลง นอกจากนั้นอาหารที่มาจากธรรมชาติ เช่น ผักสด ผลไม้ ธัญพืช จะส่งผลดีต่อกระดูกสันหลังมากกว่าอาหารปรุง แต่อีกอย่างก็คือ บุหรี่ ที่มีรายงานชัดเจนว่า คนที่สูบบุหรี่จะมีการเสื่อมของกระดูกสันหลังมากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่อย่าง เห็นได้ชัด”
เพียงแค่ปฏิบัติตามคำแนะนำดีๆ เหล่านี้ กระดูกสันหลังที่แข็งแรงก็จะอยู่กับเราไปได้อีกนานเท่านาน
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เทคโนโลยีสมัยใหม่กับการผ่าตัดกระดูกสันหลัง
เมื่อพูดถึงการผ่าตัดกระดูกสันหลังในระยะที่ผ่านมา แน่นอนเป็นเรื่องที่ใหญ่มากๆ และคนไข้มักจะเกิดความหวาดกลัว วิตกกังวล ทั้งเรื่องของกรรมวิธีในการผ่าตัด ขนาดของแผล โอกาสผิดพลาด และระยะเวลาของการพักฟื้น แต่ในปัจจุบันปัญหาดังกล่าวได้คลี่คลายลง ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทำให้การผ่าตัดกระดูกสันหลัง กลายเป็นเรื่องเล็ก และปลอดภัย ถึงขนาดที่ อาจทำให้คนไข้มีความรู้สึกว่า เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย...เลยทีเดียว
เทคโนโลยีใหม่ที่ว่านี้ มี 2 แบบ คือ Endroscope เป็นกล้องปากกา ที่สามารถใส่เข้าไปในร่างกายเพื่อดูแผลข้างในได้เลย และ Microscope เป็นกล้องที่ใช้ภายนอกร่างกาย เพื่อมองผ่านแผลเข้าไป ซึ่งทั้ง 2 แบบนี้จะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน ส่วนการจะเลือกใช้แบบไหน แพทย์จะเป็นผู้เลือก เพราะขึ้นอยู่กับสภาพปัญหา และตำแหน่งของหมอนรองกระดูกของคนไข้แต่ละราย บางรายอาจใช้แบบใดแบบหนึ่ง บางรายอาจใช้ทั้ง 2 แบบ หรือกรณีที่ใช้ทั้ง 2 แบบนี้ไม่ได้ ก็อาจจะต้องใช้การผ่าตัดแบบเดิม แต่ไม่ว่าจะใช้แบบไหน แผลผ่าตัดจะเล็กกว่าเดิมอย่างแน่นอน โดยถ้าเป็น Endroscope แผลจะเล็กมากแค่ 1 เซนติเมตรเท่านั้น ส่วน Microscope ก็จะเป็น 2 เท่า คือ 2 เซนติเมตร ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไร ขณะที่การผ่าตัดสมัยก่อน จะเป็นการเปิดแผลใหญ่ประมาณ 20-30 เซนติเมตร อย่างไรก็ตามในภาพรวมแล้ว ทั้ง Endroscope และ Microscope จะสามารถช่วยรักษาเรื่องของหมอนรองกระดูกได้อยู่แล้ว ยกเว้นกรณีที่มีปัญหาในเรื่องอื่นด้วย
โดยข้อเท็จจริงแล้ว โรคของกระดูกสันหลังมีมาก แต่ที่มากที่สุดและพบบ่อยที่สุด คือ หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท สำหรับขั้นตอนของการรักษาก็ไม่ยุ่งยาก และคนไข้ต้องนอนโรงพยาบาลเพียง 3 วันเท่านั้น คือก่อนผ่าตัด 1 วัน วันผ่าตัด 1 วัน และหลังผ่าตัดอีก 1 วัน จากนั้นจะมีการวินิจฉัยโรคด้วยการเอกซเรย์ธรรมดา เพื่อดูสภาพโดยรวมของมวลกระดูกว่าเป็นอย่างไร กระดูกมีการเคลื่อนหรือไม่ เพราะถ้ากระดูกเคลื่อน ก็ไม่สามารถผ่าด้วยวิธีการนี้ได้ แต่จะต้องยืดและดามด้วยเหล็ก
จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนเอกซเรย์แม่เหล็ก แล้วพิจารณาว่าผลจากการเอกซเรย์กับอาการที่เป็นตรงกันหรือไม่ ซึ่งถ้าตรงกัน คือ ตรวจร่างกายเจอเส้นประสาทเส้นนี้ที่เป็น และเอกซเรย์เห็นว่าหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทเส้นนี้เหมือนกัน เราก็ให้ความมั่นใจได้ว่า ผลสำเร็จของการผ่าตัดจะสูงมาก ซึ่งถ้าคิวว่างก็สามารถทำได้เลย
การผ่าตัดโรคกระดูกสันหลังคอเสื่อม
โรคกระดูกสันหลังระดับคอเสื่อม ผ่าตัดดีหรือไม่ดี
ตอบ
ผมให้ข้อมูลคุณเป็นประเด็นๆไปนะครับ
ประเด็นที่หนึ่ง ระดับความรุนแรงของโรค ที่พอบอกได้จากอาการ คือเรื่องการปวดไหล่ปวดคอนี้มีระดับความรุนแรง 3 ระดับคือ
1. เป็นการปวดกล้ามเนื้อและเอ็น (myofascial pain) ซึ่งอาจมีการเสื่อมของกระดูกสันหลังระดับคอ (cervical spondylosis) ร่วมด้วยแต่ไม่เกี่ยวอะไรกับเส้นประสาทและแกนประสาท มักบอกตรงที่ปวดได้แม่นยำ กดลงไปก็มักถูกตรงที่ปวดได้ อันนี้ไม่รุนแรง การรักษาใช้วิธีบีบๆนวดๆไม่ต้องผ่าตัด
2. การเสื่อมของกระดูกสันหลังที่มีการกดทับโคนเส้นประสาท (cervical spondylotic radiculopathy) ร่วมด้วย อาการที่เป็นคือมีอาการปวดหรือเสียวแปล๊บร้าวไปตามบริเวณที่เส้นประสาทนั้น เลี้ยงอยู่ เช่นร้าวจากไหล่ลงไปแขน ทำ MRI จะเห็นว่ามีหมอนกระดูกหรือกระดูกงอกกดโคนเส้นประสาทชัดเจน กรณีเช่นนี้ทางแพทย์ศัลยกรรมกระดูกมักแนะนำให้ผ่าตัดเร็วหน่อย แต่ถ้าเป็นแพทย์อายุรกรรมประสาทก็จะแนะนำให้ผ่าตัดช้าหน่อย เรียกว่าเป็นความชอบส่วนตัวของหมอแต่ละสาขา ต่างฝ่ายต่างมีข้อมูลมาสนับสนุนตัวเอง แต่เป็นข้อมูลคนละชุด เข้าทำนองพระเถียงกันเพราะอ้างพระไตรปิฎกคนละบทนั่นแหละครับ
3. การเสื่อมของกระดูกสันหลังที่มีการกดทับแกนประสาทสันหลัง (cervical spondylotic myelopathy - CSM) มีอาการเสียการทำงานของแกนประสาทสันหลัง เช่นกลั้นปัสสาวะ อุจจาระไม่อยู่ หายใจติดขัด ทำ MRI เห็นหมอนกระดูกกดแกนประสาทสันหลังชัดเจน กรณีนี้ทางแพทย์อายุรกรรมประสาทจะถือเป็นเรื่องรุนแรง และมักแนะนำให้ผ่าตัด
ประเด็นที่สอง นัยสำคัญของผล MRI โดยสถิติจะพบ MRI ที่ผิดปกติได้เสมอแม้ในผู้สูงอายุที่ไม่มีอาการอะไรเลยก็ยังพบว่า MRI ผิดปกติได้ถึง 60% คือเห็นหมอนกระดูกกดโคนเส้นประสาทบ้าง กดแกนประสาทสันหลังบ้าง ดังนั้น ความผิดปกติที่พบใน MRI จึงมีความเป็นไปได้ว่าสิ่งที่พบใน MRI อาจจะเป็นสาเหตุ หรืออาจจะไม่ได้เป็นสาเหตุของอาการปวดกล้ามเนื้อที่ระดับคอและหลังส่วนบนก็ ได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมในบางรายเราผ่าตัดแก้ความผิดปกติที่เห็นใน MRI ไปหมดแล้วแต่ไม่หายก็มี
ประเด็นที่สาม การดำเนินของโรคกรณีที่ไม่รักษา โรคนี้กรณีไม่ได้รับการรักษามีความเป็นไปได้ในระยะยาวสองแบบ แบบที่หนึ่ง ซึ่งเกิดกับผู้ป่วยส่วนใหญ่ คือผู้ป่วยจะมีระยะปลอดอาการค่อนข้างยาวนาน สลับกับระยะมีอาการเป็นครั้งคราวแล้วหายไปเอง (intermittent) กับ แบบที่สอง ซึ่งเกิดกับผู้ป่วยจำนวนหนึ่ง (โดยไม่มีใครทราบว่ากี่เปอร์เซ็นต์) คืออาการของโรคจะแย่ลงๆ จนถึงระดับเกิดภาวะทุพลภาพ
ประเด็นที่สี่ ประโยชน์และความเสี่ยงของแต่ละทางเลือกในการรักษา ทางเลือกยังคงมีสองวิธี คือ
1. การรักษาด้วยวิธีไม่ผ่าตัด (มีหลายวิธี ได้แก่ให้ยา, ตรึงคอ, ปรับไลฟ์สไตล์ (เช่นการสอนท่าร่างในการทำงาน), ทำกายภาพบำบัด (เช่นดึงคอ ออกกำลังกาย) และการรักษาทางเลือกอื่นๆเช่นจัดกระดูก บีบนวด การติดตามผู้ป่วยในงานวิจัยหนึ่งนาน 15 ปี พบว่าการรักษาด้วยวิธีไม่ผ่าตัดนี้ทำให้อาการหายไปได้ 79% โดยที่ยังไม่มีข้อมูลว่าการวิธีการใดดีกว่ากัน และไม่มีข้อมูลว่าการทำสิ่งเหล่านี้กับการอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรเลย อย่างไหนจะดีกว่ากัน
2. การผ่าตัด มี ข้อดี คือหากแก้ไขภาวะกระดูกเสื่อมที่มีอยู่ได้ครบถ้วนทุกระดับ โอกาสที่อาการจะหาย มี 90% (ไม่ใช่ 100%) แต่ถ้าการผ่าตัดนั้นไม่ได้แก้ไขความเสื่อมครบถ้วนทุกระดับ จะหายแค่ 60% โดยมี ข้อเสีย หรือความเสี่ยงของการผ่าตัด คือ (1) ภาวะแทรกซ้อนของการดมยาสลบ ที่ซีเรียสที่สุดคือโอกาสที่จะเสียชีวิตจากการดมยาสลบ แม้ว่าโอกาสเกิดเรื่องดังกล่าวจะมีน้อยกว่าหนึ่งในหมื่นแต่ก็เป็นความเสี่ยง ที่ยังมีอยู่ (2) ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดเอง ได้แก่ (2.1) ที่ถึงเสียชีวิตได้คือการเกิดฟองไขมันเข้าไปตามกระแสเลือด (fat embolism) แต่มีโอกาสเกิดน้อยมากในการผ่าตัดกระดูกชนิดนี้ น้อยกว่าหนึ่งในหมื่น (2.2) ที่ซีเรียสรองลงมาคือเกิดภาวะอัมพาตหรือแขนขาอ่อนแรงอย่างถาวร (quadriplegia) มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยกว่าหนึ่งในหมื่นเช่นกัน (
3) ภาวะแทรกซ้อนที่ไม่ถึงกับซีเรียส แต่ก็เป็นสาเหตุให้ต้องอยู่รพ.นานขึ้นและอาจมีความทุพลภาพตามมาได้ เช่น การติดเชื้อแผลผ่าตัด การเกิดเลือดออกหลังผ่าตัดจนต้องกลับไปผ่าตัดใหม่ เป็นต้น ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้มีระดับความรุนแรงได้แตกต่างกัน และมีโอกาสเกิดขึ้นได้ประมาณ 1% โดยเกิดขึ้นได้เสมอแม้ว่าแพทย์จะได้ทำการผ่าตัดอย่างถูกต้องตามหลักวิชาเต็ม ที่แล้วก็ตาม
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่ทางการแพทย์มีอยู่ ณ ขณะนี้ เนื่องจากผลการผ่าตัดมีทั้งออกหัว (คือหาย) และออกก้อย (คือไม่หาย) ทั้งข้อมูลที่มีอยู่ก็หลวมโพรกเพรก ไม่แน่นหนาพอที่จะตัดสินใจได้ฉับฉับว่าจะทำอย่างไรดี การตัดสินใจจึงตกเป็นหน้าที่ของคนไข้ต้องเลือกเอาเองครับ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
1. Fouyas IP, Statham PF, Sandercock PA. Cochrane review on the role of surgery in cervical spondylotic radiculomyelopathy. Spine (Phila Pa 1976). Apr 1 2002;27(7):736-47.
2. Chagas H, Domingues F, Aversa A, Vidal Fonseca AL, de Souza JM. Cervical spondylotic myelopathy: 10 years of prospective outcome analysis of anterior decompression and fusion. Surg Neurol. 2005;64 Suppl 1:S1:30-5; discussion S1:35-6.