สมุนไพรรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ วิธีรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาการโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
สมุนไพรรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
เห็ดหลินจือกับโรคหัวใจ | |||||||
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาผู้ป่วยด้วยโรคหัวใจ 90 รายพบว่าสารสกัดจากเห็ดหลินจือสามารถลดอาการต่างๆได้หลายอย่างเช่น 1. ลดอาการแน่นหน้าอกได้ 90.4 % 2. ลดอาการเจ็บหน้าอก 84.5 % 3. ลดอาการอ่อนเพลียได้ 77.8% 4. ลดอาการมือเท้าเย็น 73.9% 5. ลดอาการนอนไม่หลับ 77.8% 6. ลดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ 60.0% 7. ลดอาการหายใจขัด 72.5% บทสรุป เห็ดหลินจือ นับเป็นสมุนไพรที่ได้รับความสนใจจากนักวิจัยทั่วโลก มีผลการศึกษาที่เป็นวิทยาศาสตร์ ทั้งประเทศจีน ญี่ปุ่น เพื่อไขปริศนาความเชื่อของแพทย์จีนโบราณที่ใช้เห็ดหลินจือรักษาโรคหัวใจ โดยเฉพาะในประเทศรัสเซีย ก็ได้ทำการวิจัยพืชสมุนไพร 21 ชนิด ภายในศูนย์วิจัยโรคหัวใจแห่งชาติที่กรุงมอสโคว์ พบว่าเห็ดหลินจือมีฤทธิ์ต่อระบบการไหลเวียนของโลหิตและหัวใจได้อย่างกว้างขวาง และมีประสิทธิภาพดีที่สุด ตรงกับสรรพคุณยาของจีนโบราณที่ระบุไว้ในการบำรุงและรักษาโรคหัวใจทุกประการ เพราะฉะนั้นไม่น่าแปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดที่ผ่านมาหมอจีนโบราณยังคงใช้เห็ดหลินจือรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจอย่าง ต่อเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน และเป็นเรื่องเชื่อถือได้ ส่วนในคนที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคหัวใจ แพทย์จีนโบราณจะให้ใช้เห็ดหลินจือเพื่อบำรุงร่างกาย และเป็นการป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นโรคหัวใจได้โดยง่าย |
สมุนไพรไทยจีน | ||||||
เห็ดหลินจือกับ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พิกัดเกสรทั้ง 5 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในหัวข้อที่แล้วได้พูดถึงเห็ดหลินจือกับโรคหัวใจ ที่ชาวจีนโบราณรู้จักใช้เห็ดหลืนจือบำรุงและรักษาโรคหัวใจ ตั้งแต่ต้นสมัยราชวงศ์หมิงราว 630 ปี แต่ในหัวข้อนี้จะขอพูดถึงตำรับยา เห็ดหลินจือกับพิกัดเกสรทั้ง 5 ซึ่งเป็นตำรับยาที่มีความลงตัวกันระหว่าง สมุนไพรของไทยกับสมุนไพรของจีน และสมุนไพรทั้ง 2 ชนิดนี้ต่างมีสรรพคุณโบราณที่ตรงกันในเรื่องของโรคหัวใจ สำหรับตำรับยานี้เป็นการนำเอา เห็ดหลืนจือ ซึ่งเป็นสมุนไพรของจีนมาใช้ร่วมกันกับ พิกัดเกสรทั้ง 5 ซึ่งเป็นสมุนไพรไทย หมอแผนโบราณของไทยใช้บำรุงและรักษาโรคที่เกี่ยวกับหัวใจมานานหลายร้อยปี เช่นเดียวกันกับเห็ดหลินจือของจีน และยังเป็นที่ยอมรับใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน พิกัดเกสรทั้ง 5 ประกอบด้วย ดอกมะลิ ดอกพิกุล ดอกสารภี ดอกบุนนาค เกสรบัวหลวง มีสรรพคุณเฉพาะอย่างดังนี้
Link https://www.freshandshine.com +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ |
วิธีรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
| ||
โดย คม ชัด ลึก วัน เสาร์ ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 12:17 น. |
ไม่ต้องบินไปถึงเมืองนอกเมืองนาแล้ว สำหรับผู้ที่ป่วยเป็น โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิดเอเอฟ (Atrial fibrillation-AF) เพราะในขณะนี้มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ล่าสุด ที่ ศูนย์รักษาผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรงพยาบาลรามาธิบดี แถลงข่าวเปิดตัวเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ถือเป็นความสำเร็จครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ กัน อาการนี้เกิดจากการสร้างสัญญาณไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ ซึ่งมักสัมพันธ์กับความเสื่อมของร่างกาย การดื่มสุรา หรือความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจ ผู้ป่วยจะมีอาการใจสั่น รู้สึกไม่สบาย ระบบไหลเวียนเลือดผิดปกติ บางรายอาจพบลิ่มเลือดในหัวใจ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนอันตราย หากลิ่มเลือดอุดตันที่หลอดเลือดในอวัยวะสำคัญ อาจเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับผู้ป่วย 5-7 คน ใน 100 คน หรือ 2 เท่าของผู้ที่หัวใจเต้นปกติ เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน คณบดีคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี อธิบายว่า โรคหัวใจเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนไทยในอันดับต้นๆ มีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจประมาณ 4 หมื่นรายต่อปี เฉลี่ยชั่วโมงละ 4 ราย ทั้งนี้คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ทำการวิจัยและพัฒนากระบวนการรักษาเพื่อให้บริการผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง และเปิดศูนย์บำบัดผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่ดูแลผู้ป่วยครบวงจร ด้าน ผศ.นพ.ครรชิต ลิขิตธนสมบัติ หัวหน้าศูนย์รักษาผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ กล่าวว่า ปกติจุดกำเนิดของไฟฟ้าหัวใจอยู่ที่ห้องขวาบน ธรรมดาไฟฟ้าจะวิ่งจากบนผ่านลงมาข้างล่าง สำหรับภาวะปกติอยู่ที่ 60 ครั้งต่อนาที ส่วนไฟฟ้าที่ลัดวงจรเกิดจากการที่ระบบทำงานไหลเวียนไม่เป็นระเบียบ จากที่วิ่งบนลงล่าง ยังมีบางส่วนที่วิ่งจากล่างขึ้นบน ทำให้เกิดการลัดวงจร เป็นสาเหตุทำให้หัวใจเต้นเร็ว จากเดิม 60 ครั้งต่อนาที เป็น 180 ครั้งต่อวินาที ซึ่งเป็นอาการหัวใจเต้นผิดปกติ การที่หัวใจห้องบนเต้นเร็ว อาจมีการนำกระแสไฟฟ้ามาที่ห้องล่าง ทำให้หัวใจห้องล่างเต้นเร็วด้วย ซึ่งส่งผลให้สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกายลดน้อยลง ทำให้มีอาการใจสั่น เหนื่อย หน้ามืดเป็นลมได้ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดเอเอฟ จะมีสัญญาณไฟฟ้าในหัวใจมากหลายจุด 1 นาที มีวงจรไฟฟ้าเต้นอยู่ 350 ครั้งต่อนาที ทำให้หัวใจเต้นเร็วไม่เป็นระเบียบ คุณหมอ อธิบาย คุณหมออธิบายต่อว่า สมัยก่อนการรักษาจะใช้ยาควบคุมไม่ให้หัวใจเต้นเร็ว แต่ปัจจุบันมีเทคนิคใหม่ คือ การสวนหัวใจด้วยสาย สวนด้วยระบบคาร์โต (Carto system) การผ่าตัดขนาดเล็ก และการผ่าตัดด้วยการส่องกล้อง ซึ่งการใส่สายสวนเข้าไปต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อกะพริบสัญญาณไฟฟ้าในหัวใจ ในการหาจุดหัวใจที่ก่อให้เกิดการเต้นผิดจังหวะ และจี้ด้วยวิทยุคลื่นความถี่สูง เรียกว่า การรักษาโรคหัวใจเต้นเร็วด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง (Radiofrequency Ablation) โดยใช้กลไกความถี่สูงตามวัตต์ที่ต้องการ จี้เสร็จหัวใจก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม ส่วนใหญ่บริเวณที่จี้จะเป็นเนื้อเยื่อหัวใจด้านบนซ้าย คนไข้หนึ่งในจำนวนผู้ที่ได้รับการรักษาคือ พีระพงษ์ สุทธนารักษ์ อายุ 41 ปี บอกว่า เริ่มมีอาการตอนอยู่สหรัฐอเมริกา ช่วงแรกนึกว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง แต่เมื่อไปตรวจ หมอบอกว่าเป็นเอเอฟ ส่วนตัวแล้วรู้สึกงง เพราะไม่รู้ว่าเอเอฟคืออะไร จนกระทั่งกลับมาที่เมืองไทย และเข้ารับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ก่อนผ่าตัดอาการที่พบคือ หัวใจเต้นมั่วมาก ไม่เป็นจังหวะ ใจสั่น ท้องเสีย ตอนนั้นกลัวว่าจะเป็นหัวใจวายตายมาก สุดท้ายมาเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งก็เหมือนการผ่าตัดทั่วๆ ไป มีการเตรียมตัว 2-3 วัน ด้าน พิจิตร อยู่ในศีล วัย 71 ปี ผู้เข้ารับการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เล่าว่า ตอนนั้นมีอาการหัวใจเต้นเร็วมาก หน้ามืด รักษาตัวเองมาตลอด แต่ยังไม่หาย จนกระทั่งมารักษาอยู่ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี หลังจากผ่าตัดด้วยเทคนิคใหม่แล้ว ปรากฏว่าอาการที่เคยเป็นไม่กลับมาเป็นอีก ทำงานได้ตามปกติ เดิน 4-5 กิโลเมตรได้โดยไม่เหนื่อย ยกของหนักได้เหมือนเดิม โดยไม่มีผลกระทบใดตามมา และการเข้ารับการรักษาก็ใช้เวลาพักฟื้นเพียงไม่นาน ผศ.นพ.ครรชิต ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ค่ารักษาผู้ป่วยเป็นเอเอฟตกประมาณ 1 แสนบาท สำหรับเทคนิคการผ่าตัด อย่างไรก็ตามทีมแพทย์จะเป็นคนเลือกวิธีการรักษาเอง ว่าใครเหมาะสมกับวิธีการไหน สำหรับผู้ที่สนใจ เรื่องโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.ramacvmc.org |
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อาการโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia)
คำจำกัดความ
ในภาวะปกติ ที่บริเวณหัวใจห้องบน จะทำหน้าที่สร้างสัญญาณไฟฟ้า เพื่อมากระตุ้นการเต้นของหัวใจเอง
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia) เป็นคำรวมของโรคที่เกิดจากสัญญาณไฟฟ้าที่หัวใจสร้างขึ้นมีความผิดปกติไปจากเดิม ทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ โดยหัวใจอาจเต้นเร็วขึ้นหรือเต้นช้าลงหรือเต้นไม่เป็นจังหวะ
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะนี้ บางภาวะไม่อันตรายและคนส่วนใหญ่มีโอกาสเป็นได้ โดยอาจรู้สึกหัวใจเต้นเร็วและแรง หรือใจสั่นเป็นครั้งคราวและหายได้เอง แต่บางโรคอาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน และบางครั้งอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เช่น ทำให้เกิดเส้นเลือดในสมองอุดตันหรือหัวใจหยุดเต้นกระทันหันได้ (sudden cardiac arrest)
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ สาเหตุแบ่งเป็นกลุ่มได้หลายแบบ
ถ้าแบ่งตามตำแหน่งของหัวใจที่ส่งสัญญาณไฟฟ้าผิดปกติ : แบ่งได้เป็น 4 ชนิด คือ
- หัวใจห้องบนผิดปกติ (Atrium) เช่น Atrial flutter, Atrial fibrillation, Premature atrial contraction (PAC) เป็นต้น
- ทางเชื่อมระหว่างหัวใจห้องบนและห้องล่างผิดปกติ (Atrio-ventricular node) เช่น Wolff-Parkinson-White syndrome
- Junctional arrhythmia เช่น supraventricular tachycardia
- หัวใจห้องล่างผิดปกติ (Ventricle) เช่น Premature ventricular contraction (PVC), Ventricular fibrillation
ถ้าแบ่งตามอัตราการเต้นของหัวใจ : แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ
- อัตราการเต้นของหัวใจเร็วกว่าปกติ (Tachycardia) : อัตราการเต้นของหัวใจมากกว่า 100 ครั้ง/นาที
- อัตราการเต้นของหัวใจช้ากว่าปกติ (bradycardia) : อัตราการเต้นของหัวใจน้อยกว่า 60 ครั้ง/นาที
ถ้าแบ่งตามกลไกการเกิดโรค : แบ่งได้เป็น
- Automaticity : เกิดจากมีจุดอื่นในหัวใจสร้างกระแสไฟฟ้าออกมากระตุ้นหัวใจได้เร็วกว่าสัญญาณไฟฟ้าปกติ
- Reentry : เกิดจากกระแสไฟฟ้าที่สร้างจากจุดกำเนิดปกติในหัวใจ มากระตุ้นที่หัวใจแล้ววกกลับมากระตุ้นหัวใจใหม่อีกซ้ำๆ เป็นวงกลม
อาการ
1. การที่หัวใจเต้นผิดปกติ ส่วนหนึ่งของผู้ป่วยจะไม่มีอาการผิดปกติอะไร แพทย์ก็ตรวจพบโดยบังเอิญ
2. ผู้ป่วยส่วนหนึ่งอาจรับรู้ได้ถึงหัวใจที่เต้นผิดปกติ คือ มีอาการสั่นระรัวที่บริเวณหน้าอกหรือใจสั่น : เป็นการที่ผู้ป่วยรับรู้ถึงการที่หัวใจเต้น (ในภาวะปกติ เราจะไม่รู้สึกว่าหัวใจเต้น)
3. ผู้ป่วยส่วนหนึ่งมีอาการจากภาวะแทรกซ้อนที่เกิดตามหลังภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น
- หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ ทำให้แรงบีบตัวของหัวใจในแต่ละครั้งไม่เพียงพอจะสูบฉีดเลือดออกไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น เจ็หน้าอก ในรายที่มีโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอยู่แล้ว, สับสน มึนงง
- หัวใจเต้นช้ากว่าปกติ จนเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่พอ ทำให้มีอาการหน้ามืดคล้ายจะเป็นลมหรือ เป็นลมหมดสติ
- มีลิ่มเลือดอยู่ในหัวใจ แล้วลิ่มเลือดหลุดไปที่เส้นเลือดส่วนปลาย ทำให้เกิดอาการจากอวัยวะส่วนปลายอุดตัน เช่น เส้นเลือดสมองตีบ , หลอดเลือดแดงส่วนปลายที่ไปเลี้ยงแขนขาอุดตันเฉียบพลัน เป็นต้น
สาเหตุ
สาเหตุของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะมีได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับโรค แต่สาเหตุที่พบได้บ่อย คือ
- โรคหัวใจบางโรคทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ,โรคลิ้นหัวใจ เป็นต้น
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคเบาหวาน
- ภาวะฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์สูงเกิน
- เกลือแร่ในเลือดผิดปกติ
- การสูบบุหรี่
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ หรือชา/กาแฟ
- ใช้ยาผิดวิธี
- ภาวะเครียด
- อาหารหรือสมุนไพรบางชนิด
- ยาบางชนิด
การวินิจฉัย
ประวัติ : ผู้ป่วยจะมีอาการดังที่กล่าวมาแล้ว
การตรวจร่างกาย : บ่อยครั้งที่แพทย์ตรวจพบความผิดปกติโดยที่ผู้ป่วยไม่มีอาการ ซึ่งการตรวจร่างกายสามารถทำได้ง่ายๆ โดยการใช้หูฟังฟังเสียงหัวใจที่เต้นผิดปกติหรือจับชีพจรที่แขนขาแล้วรู้สึกถึงการเต้นที่ผิดปกติ การตรวจนี้มีข้อจำกัด คือ
- สามารถบอกได้แค่คร่าวๆ ว่าผู้ป่วยมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (คืออัตราการเต้นของหัวใจเร็วหรือช้ากว่าปกติ หรือจังหวะการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ) แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นโรคอะไร
- ทุกสัญญาณไฟฟ้าที่สร้างจากหัวใจ โดยเฉพาะที่สร้างออกมาผิดปกติ ไม่ได้สามารถกระตุ้นให้เกิดการเต้นของหัวใจทุกครั้ง จึงไม่สามารถตรวจพบได้จากการฟังเส้นหัวใจเต้นหรือจับชีพจร
การตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฎิบัติการ : ประกอบด้วย
- การตรวจด้วยเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram, EKG) : เป็นการตรวจที่ทำได้ง่ายๆ , ใช้เวลาไม่นานและผู้ป่วยไม่เจ็บ ทำได้โดยใช้เครื่องมือติดที่หน้าอกและแขนขา จากนั้นเครื่องจะตรวจดูสัญญาณไฟฟ้าที่หัวใจสร้าง และแปลผลออกมาเป็นกราฟ
- การใช้เครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง (Holter monitor) : ทำในกรณีที่ตรวจด้วยคลื่นไฟฟ้าหัวใจแล้วผลออกมาปกติ แต่ผู้ป่วยมีอาการที่ชวนสงสัยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เพราะคลื่นไฟฟ้าที่สร้างจากหัวใจอาจมีความผิดปกติเป็นๆ หายๆ ได้
ภาวะแทรกซ้อน
โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้ดังนี้
- หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติจนทำให้แรงบีบตัวของหัวใจในแต่ละครั้งไม่เพียงพอจะสูบฉีดเลือดออกไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดอาการจากอวัยวะส่วนปลายขาดเลือด เช่น เจ็บหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (มักพบในรายที่มีโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอยู่ก่อนแล้ว) , สับสนหรือมึนงง จากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ
- หัวใจเต้นช้ากว่าปกติ จนทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่พอ : ทำให้มีอาการหน้ามืดคล้ายจะเป็นลมหรือเป็นลมหมดสติ
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ ทำให้เลือดบางส่วนคั่งค้างอยู่ในหัวใจ ไม่ไหลออกจากตามปกติ เมื่อมีเลือดค้างอยู่นานๆ เลิอดเหล่านั้นจะมารวมกันจนกลายเป็นลิ่มเลือดอยู่ในหัวใจ ซึ่งลิ่มเลือดนี้มีโอกาสจะหลุดไปอุดที่เส้นเลือดส่วนปลายได้ตลอดเวลา ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการจากอวัยวะส่วนปลายอุดตัน เช่น เส้นเลือดสมองตีบ (Stroke) , หลอดเลือดแดงส่วนปลายที่ไปเลี้ยงแขนขาอุดตันเฉียบพลัน (Arterial occlusion) เป็นต้น
การรักษาและยา
การรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค แต่มีหลักการรักษาที่สำคัญ คือ
1.การทำให้หัวใจที่เต้นผิดจังหวะ กลับมาสู่ภาวะปกติ : สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับสภาพของผู้ป่วยและสาเหตุของโรค คือ
- การใช้วิธีทางกายภาพ (Physical maneuvers) : เพื่อเพิ่มระบบประสาท parasympathetic (ทำหน้าที่ยับยั้งสัญญาณไฟฟ้าที่สร้างจากหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นช้าลงและยับยั้งสัญญาณไฟฟ้าที่ผิดปกติ) เช่น การนวดบริเวณเส้นเลือดแดงที่คอ (carotid massage), การประคบน้ำแข็งที่หน้า, การให้เบ่ง เป็นต้น
- การรักษาด้วยยาต้านหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Antiarrhythmic drug) : มียาหลายกลุ่มที่มีกลไลการออกฤทธิ์แตกต่างกัน แต่ช่วยให้หัวใจกลับมาเต้นตามปกติ เช่น ยา amiodarone
- การใช้เครื่องผลิตสัญญาณไฟฟ้ากระตุ้นที่หัวใจของผู้ป่วย เพื่อกระตุ้นให้หัวใจกลับมาเต้นปกติ (electrical cardioversion)
- การเข้าไปทำลายจุดที่สร้างสัญญาณไฟฟ้าผิดปกติในหัวใจ (Electrical cautery) โดยใช้ความร้อน, ความเย็น, กระแสไฟฟ้า หรือเลเซอร์ มักทำในรายที่กลไกของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเกิดจาก Automaticity ( มีจุดอื่นในหัวใจสร้างกระแสไฟฟ้าออกมากระตุ้นหัวใจได้เร็วกว่าสัญญาณไฟฟ้าปกติ)
2.ในรายที่ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติเป็นมานานและกำลังรอวิธีการรักษาที่ทำให้หัวใจที่เต้นผิดจังหวะกลับมาสู่ภาวะปกติ แพทย์จะให้การรักษาเพื่อควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจให้เหมาะสม เช่น
- ในกรณีที่หัวใจเต้นเร็วเกินไป แพทย์จะให้ยาช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ เช่น propranolol, verapamil, diltiazem, digoxin เป็นต้น
- ในกรณีที่หัวใจเต้นช้าเกินไป แพทย์จะให้ผู้ป่วยติดเครื่องกระตุ้นหัวใจ (pacing, ทำหน้าที่ผลิตสัญญาไฟฟ้ามากระตุ้นให้หัวใจบีบตัว ในจังหวะที่ไม่มีสัญญาณไฟฟ้าจากหัวใจมากระตุ้นตามปกติ) ทั้งแบบชั่วคราวและถาวร เพื่อป้องกันภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
3.ให้ยาป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในหัวใจ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากลิ่มเลือดหลุดไปอุดที่เส้นเลือดส่วนปลาย
ได้แก่ ยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น aspirin) หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด (เช่น warfarin) แพทย์จะเลือกใช้ยาตัวใด ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากลิ่มเลือดหลุดไปอุดที่เส้นเลือดส่วนปลายในผู้ป่วยแต่ละราย โดยเฉพาะความเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดสมองตีบ
ยาที่เกี่ยวข้อง
ยาที่ใช้บ่อย Aspirin, Diltiazem, Verapamil, amiodarone, propranolol, digoxin, warfarin
แหล่งอ้างอิง
1. วิทยา ศรีดามา, บรรณาธิการ. ตำราอายุรศาสตร์4. โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. พิมพ์ครั้งที่ 3. 2550, 245-259.
2. Anthony S.Fauci, Eugene Braunwald, et al, editors. Harrison’s principles of internal medicine. 17th edition. 2008, 1416-1442.
3. Ziad F.Issa, John M.Miller, Douglas P.Zipes, editors. Clinical arrhythmology and electrophysiology. 2009.
4. ชาญ ศรีรัตนสถาวร, รุ่งโรจน์ กฤตยพงษ์ และคณะ , บรรณาธิการ. ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ บียอนด์ พับลิสซิ่ง จำกัด. พิมพ์ครั้งที่2. 2546.
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++