https://lentera.uin-alauddin.ac.id/question/gratis-terlengkap/https://old-elearning.uad.ac.id/gampang-menang/https://fk.ilearn.unand.ac.id/demo/https://elearning.uika-bogor.ac.id/tanpa-potongan/https://e-learning.iainponorogo.ac.id/thai/https://organisasi.palembang.go.id/userfiles/images/https://lms.binawan.ac.id/terbaik/https://disperkim.purwakartakab.go.id/storage/https://pakbejo.jatengprov.go.id/assets/https://zonalapor.fis.unp.ac.id/-/slot-terbaik/https://sepasi.tubankab.go.id/2024tte/storage/http://ti.lab.gunadarma.ac.id/jobe/runguard/https://satudata.kemenpora.go.id/uploads/terbaru/
อาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ วิธีรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ รักษาเบื้องต้น MUSLIMTHAIPOST

 

อาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ วิธีรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ รักษาเบื้องต้น


1,045 ผู้ชม


อาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ วิธีรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ รักษาเบื้องต้น

 กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

อาการ :    
  
           จะมีอาการขัดเบา คือถ่ายปัสสาวะกะปริดกะปรอยออกทีละน้อย รู้สึกปวดขัดหรือแสบร้อนเวลาถ่ายปัสสาวะ มักจะต้องเข้าห้องน้ำทุกชั่วโมงหรือชั่วโมงละหลายครั้ง มีอาการคล้ายถ่ายไม่สุดอยู่ตลอดเวลา
 
            บางคนอาจมีอาการปวดตรงบริเวณท้องน้อย (หัวหน่าว) ร่วมด้วย
 
            ปัสสาวะมักจะออกใสๆ แต่บางคนอาจขุ่นหรือมีเลือดปน  
 
            มักไม่มีไข้ ยกเว้นถ้ามีกรวยไตอักเสบร่วมด้วย จะมีไข้สูง หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น ปวดเอวร่วมด้วย
 
            ในเด็กเล็กอาจมีอาการปัสสาวะรดที่นอน และอาจมีไข้ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
 
            อาการมักเกิดหลังอั้นปัสสาวะนานๆ หรือมีการสวนปัสสาวะ


อาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ วิธีรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ รักษาเบื้องต้น
การวินิจฉัย :

            มักจะวินิจฉัยจากอาการแสดง คืออาการขัดเบา ถ่ายปัสสาวะกะปริดกะปรอย โดยไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ
 
            ในรายที่อาการแยกจากสาเหตุอื่นๆไม่ชัดเจน หรือ เป็นๆ หายๆ เรื้อรัง อาจจำเป็นต้องทำการตรวจปัสสาวะ (ถ้าเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ จะพบปริมาณเม็ดเลือกขาวในปัสสาวะมากกว่าปกติ หรืออาจตรวจพบเชื้อโรคที่เป็นต้นเหตุ)
 
            บางครั้งอาจต้องตรวจเลือด หรือทำการตรวจพิเศษอื่นๆ เช่น ใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะปัสสาวะ  , กระเพาะเชื้อ เป็นต้น  
การดูแลตนเอง :
 

            เมื่อมีอาการขัดเบา ซึ่งสงสัยเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรปฏิบัติตัวดังนี้
 
            1. ดื่มน้ำมากๆ วันละ 3 - 4 ลิตร (เฉลี่ยประมาณชั่วโมงละ 1 แก้ว) แล้วถ่ายปัสสาวะทุกครั้งที่รู้สึกปวด  น้ำจะช่วยขับเชื้อโรคออก และช่วยลดอาการปวดแสบปวดร้อนเวลาถ่ายปัสสาวะ
            2. ถ้าอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 – 3 วัน จึงค่อยกินยาปฏิชีวนะ การใช้ยาปฏิชีวนะควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน โดยทั่วไปถ้าไม่เคยแพ้ยา มักจะแนะนำให้กินยาอะม็อกซีซิลลิน (ขนาด 500 มิลลิกรัม)  หรือยาเม็ดโคไตรม็อกซาโซล วันละ 2 ครั้ง ทุก 12 ชั่วโมง ผู้ใหญ่กินครั้งละ 2 เม็ด เด็กโตครั้งละ 1  เม็ด ถ้ารู้สึกดีขึ้น ควรกินให้ครบ 3 วัน เป็นอย่างน้อย
            3. เมื่อรักษาหายแล้ว ต่อไปต้องพยายามอย่าอั้นปัสสาวะเป็นอันขาด มิเช่นนั้น อาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบก็จะกลับมาเป็นได้อีก
            4. ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ เมื่อมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
                 (1) มีอาการไข้ หนองไหล ตกขาว ถ่ายเป็นเลือด หรือกระหายน้ำบ่อยร่วมด้วย
                 (2) ดูแลตัวเอง 2 - 3 วัน แล้วยังไม่ดีขึ้น
                 (3) เป็นๆ หายๆ บ่อย
                 (4) มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจจะดูแลรักษาตนเอง
                 (5) ผู้ชายทุกคนที่มีอาการขัดเบา แม้ว่าจะเริ่มเป็นครั้งแรก ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ เพื่อค้นหาสาเหตุให้แน่ใจ เนื่องจาก สรีระของผู้ชายมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบน้อยมาก ถ้ามีอาการอาจมีโรคอื่นซ่อนเร้นอยู่
การรักษา :

            แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะพื้นฐาน เช่น อะม็อกซีซิลลิน (amoxycillin) โคไตรม็อกซาโซล  (cotrimoxazole) กิน 3 วัน แต่ถ้าสงสัยมีอาการแพ้ยา หรือดื้อยาเหล่านี้ ก็อาจให้ยาปฏิชีวนะอีกชนิดหนึ่ง ได้แก่  นอร์ฟล็อกซาซิน (norfloxacin)
  
            ในรายที่เป็นๆ หายๆ บ่อย อาจต้องทำการตรวจพิเศษ เช่น การนำปัสสาวะไปเพาะเชื้อ แล้วให้ยาปฏิชีวนะที่ไวต่อเชื้อที่พบ การใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะปัสสาวะแล้วแก้ไขตามสาเหตุที่พบ ตรวจเลือดดูว่าเป็นเบาหวานร่วมด้วยหรือไม่ ถ้าพบก็ให้ยารักษาเบาหวานไปพร้อมกัน เป็นต้น

แหล่งที่มา : doctor.or.th

อัพเดทล่าสุด