รู้ทัน หืด ตอนตั้งครรภ์ ภูมิแพ้กับหืด...เกี่ยวกันอย่างไร มั่นตรวจลดความเสี่ยง
รู้ทัน ‘หืด’ ตอนตั้งครรภ์
จากสถิติโรคหืดในคุณแม่ตั้งครรภ์ เราพบว่า...
1 ใน 3 อาการเท่าเดิม
1 ใน 3 จะมีอาการกำเริบน้อยลง ซึ่งส่วนมากมักพบในกรณีที่ไม่เป็นโรคหืดแบบรุนแรงก่อนตั้งครรภ์
1 ใน 3 มีอาการรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการรุนแรงอยู่เดิมก่อนตั้งครรภ์ อาการมักจะรุนแรงในช่วงสัปดาห์ที่ 24 – 36 ของการตั้งครรภ์ และมีเพียง 1 ใน 10 เท่านั้นที่มีอาการหอบกำเริบขณะคลอด ส่วนใหญ่อาการของหืดระหว่างตั้งครรภ์ที่สองมักจะมีอาการเช่นเดียวกับครรภ์แรก
หลังคลอด 3 เดือนอาการก็จะกลับสู่สภาพเดิมก่อนตั้งครรภ์
สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่เป็นโรคหืด หากไม่ต้องการให้อาการกำเริบ มีหลายปัจจัยที่ต้องเลี่ยงและต้องเริ่มทำตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าตั้งครรภ์ เพื่อสุขภาพแข็งแรง ปลอดภัยทั้งแม่และลูกค่ะ
หืดกับแม่ท้อง
หืดเป็นโรคที่มีการอุดตันของหลอดลมในปอด เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อรอบหลอดลม ทำให้อากาศผ่านเข้าสู่ปอดได้น้อย เยื่อบุหลอดลมมีการอักเสบ บวม แดง และมีเสมหะอุดตัน ส่งผลให้เกิดอาการแน่นและเจ็บหน้าอก เมื่อหายใจมีเสียงวี้ด หายใจไม่อิ่ม และไอ ซึ่งอาการจะกำเริบเมื่อถูกกระตุ้นโดยสารก่อภูมิแพ้ เช่น ละอองเกสร ไรฝุ่น เชื้อรา โปรตีนสัตว์ การติดเชื้อ ควันบุหรี่ ความเครียด ฯลฯ
ผลต่อโรคหืดของคุณแม่เมื่อตั้งครรภ์แบ่งเป็น 2 ช่วงด้วยกันคือ
การตั้งครรภ์ช่วงแรก
เมื่อน้ำหนักตัว ปริมาณน้ำในร่างกาย ปริมาณเลือด เกลือโซเดียม ในร่างกายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้หัวใจต้องทำงานมากขึ้น โดยในช่วงแรกของการตั้งครรภ์จะพบว่ามีการหายใจลำบากในช่วงเวลานอนได้สูงถึง 75 % แต่ไม่พบว่ามีอาการไอหรือหอบร่วมด้วย
การตั้งครรภ์ช่วงท้าย
จะพบว่าปริมาตรของอากาศที่เหลือค้างอยู่ในปอดหลังจากหายใจออกตามปกติลดลง ทำให้บริเวณที่ปอดบางส่วนไม่สามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้สมบูรณ์ ซึ่งอาจจะทำให้อาการหืดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ร่างกายยังมีการสร้างสารต่างๆ ที่อาจจะมีผลต่อการหดหรือขยายตัวของหลอดลม เช่น สารที่สร้างจากรกอาจทำให้โรคหืดมีอาการกำเริบขึ้น แล้วร่างกายจะสร้างสารสเตียลอยด์บางอย่างเพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเดือนสุดท้ายและในช่วงคลอดซึ่งอาจทำให้โรคหืดดีขึ้น แต่ก็พบว่าอวัยวะต่างๆ อาจตอบสนองต่อสเตียลอยด์ดังกล่าวน้อยลงด้วย
ส่วนฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้น ทำให้เลือดบริเวณเส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกเกิดคั่งให้มีแน่นจมูกโดยเฉพาะช่วงเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทำให้เกิดอาการหายใจไม่อิ่ม ซึ่งจะไปสับสนกับอาการของโรคหืด การตรวจวัดสมรรถภาพการทำงานของปอด จะช่วยในการแยกได้ว่าอาการเหล่านี้เกิดจากโรคหืดหรือไม่
ดูแลอย่างไร
อาการของโรคหืดมักเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เดี๋ยวสงบเดี๋ยวกำเริบ เรียกว่าแต่ละวันอาการอาจไม่เหมือนกัน แผนการรักษาโรคหืดโดยเฉพาะคุณแม่ตั้งครรภ์ จึงเป็นแผนเฉพาะบุคคลต้องคำนึงถึงระดับความรุนแรงของโรค และประสบการณ์การใช้ยาต่างๆ ด้วย และอย่าลืมว่าต้องเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่ตนแพ้ควบคู่ไปด้วย โดยยาที่หมอใช้จะยึดหลักให้ผลเสียจากการใช้ยานั้นต้องต่ำกว่าผลเสียที่เกิดจากโรคที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องไว้เสมอ และเลือกยาที่ให้การทำงานของปอดอยู่ในเกณฑ์ปกติ และใช้ยาน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นค่ะ
+ วัคซีน การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ Immunotherapy หากฉีดมาแล้วตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์และได้ผลดีในการรักษาโรค แต่ก็สามารถฉีดต่อเนื่องไปได้ระหว่างตั้งครรภ์หากไม่มีอาการข้างเคียง บางรายคุณหมออาจจะปรับปริมาณวัคซีนลดลงจากก่อนตั้งครรภ์ เพื่อลดโอกาสการแพ้วัคซีน แต่สำหรับคนที่ไม่เคยฉีดมาก่อน ไม่ควรเริ่มต้นการฉีดวัคซีนนี้ขณะตั้งครรภ์
+ ยา คุณหมอนิยมให้ใช้ยาพ่นสูดมากกว่ายากินเพราะเป็นยาเฉพาะที่ได้ผลดี มีผลข้างเคียงน้อยกว่ายากิน และดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดต่ำมาก และใช้ยาที่ใช้กันมานานแล้วมากกว่ายาที่เพิ่งวางตลาด แต่ช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก คุณหมอจะพยายามใช้ยาให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นเพราะเป็นช่วงที่ทารกกำลังสร้างอวัยวะต่างๆ แม้ว่าจากสถิติเราจะพบว่าในทารกที่พิการแต่กำเนิดนั้น สาเหตุที่มาจากการใช้ยามีไม่ถึง 1% ก็ตาม
- ระหว่างการเจ็บครรภ์ การคลอดและระยะให้นมบุตร เรามักใช้ยาเดียวกันกับที่ใช้มาระหว่างตั้งครรภ์
- ระหว่างให้นมบุตร เพื่อลดปัญหาของยาที่ผ่านน้ำนมแม่สู่ทารก คุณแม่ควรรับประทานยาหลังให้นมบุตร 15 นาที หรือ 3-4 ชั่วโมงก่อนให้นมลูก และยาเกือบทุกชนิดสามารถผ่านน้ำนมแม่สู่ทารกได้ ทารกจึงอาจได้รับยาไปด้วย แต่ในปริมาณเล็กน้อยจนมักไม่ค่อยเกิดปัญหา แต่ถ้าหากใช้ยาในปริมาณสูง อาจพบอาการข้างเคียงในทารกด้วย เช่น นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย แบบที่พบในยา Theophylline
+ ธรรมชาติบำบัด การดูแลตัวเองของคุณแม่จะส่งผลดีทั้งต่อสุขภาพของทั้งแม่และลูก หากดูแล ลด และเลี่ยง ปัจจัยที่จะทำให้เกิดโรคก็จะช่วยลดการใช้ยาลงได้
1. หมั่นตรวจวินิจฉัยโรคอย่างละเอียด เพื่อประเมินความรุนแรงของอาการภูมิแพ้อย่างถูกต้อง
2. ตรวจหาตัวกระตุ้นที่จะทำให้อาการกำเริบ ซึ่งควรทดสอบภูมิแพ้ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้อาการของโรคกำเริบ โรคภูมิแพ้และโรคหืด เป็นโรคที่มีเกี่ยวข้องกันประมาณ 75 -85 % ของผู้ป่วยโรคหืด มักแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้ชนิดใดชนิดหนึ่งหรือหลายชนิด เช่น ไรฝุ่น ละอองเกสร เชื้อรา โปรตีนสัตว์ การได้รับสารก่อภูมิแพ้เหล่านี้จะกระตุ้นให้อาการกำเริบ หรือซ้ำเติมให้อาการมากขึ้นได้ แต่หากรักษาและควบคุมอย่างถูกต้องก็จะลดความเสี่ยงดังกล่าวลงได้ด้วยการปฏิบัติตัวของคุณแม่
3. ดูแลสุขภาพให้ดีทั้งสุขภาพกายและใจ หลีกเลี่ยงอาหารที่เสี่ยงต่อการแพ้ หรือไม่รับประทานปริมาณมาก เช่น อาหารทะเล ถั่วลิสง แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าจะลดภูมิแพ้ในทารกลงได้
4. ดื่มนมวัวไม่เกินวันละ 2 แก้ว เพราะถ้าดื่มมากไป อาจมีผลให้ทารกแพ้นมวัวได้สูงกว่าปกติ
5. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดโอกาสที่โรคจะกำเริบ ไม่ควรซื้อยาใช้เอง ส่วนวิตามิน อาหารเสริม และควรใช้ปริมาณที่สูติแพทย์แนะนำ
6. หลังคลอดควรให้นมลูกอย่างน้อย 4-6 เดือน และระหว่างนี้ไม่ควรรับประทานอาหารที่เสี่ยงต่อการแพ้ในปริมาณมาก เพราะสารอาหารเหล่านี้อาจผ่านน้ำนมแม่ไปสู่ลูกได้ หากคุณแม่ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องก็จะปลอดภัยทั้งแม่และลูก
มั่นตรวจลดความเสี่ยง
การหมั่นตรวจเช็คสุขภาพทั้งแม่และทารกในครรภ์เป็นระยะๆ จะช่วยป้องกันอันตรายจากโรคนี้ได้ โดยดูจากอายุครรภ์และปัจจัยเสี่ยงของแม่เป็นหลัก
+ ตรวจอัลตร้าซาวนด์ สามารถตรวจได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 3 เดือนแรก และทำซ้ำได้เป็นระยะๆ หากสงสัยว่าทารกในครรภ์จะมีการเจริญเติบโตช้าผิดปกติ
+ ตรวจวัดการเต้นของหัวใจทารก (หรือที่เรียกว่า Non-stress Testing หรือ Contraction-stress Testing)
+ หากอาการโรคหืดกำเริบบ่อย นอกจากการตรวจวัดการเต้นของหัวใจทารกบ่อยๆ แล้ว คุณแม่ควรบันทึกการดิ้นของทารกทุกวัน เพื่อช่วยในการประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ และการวัดอัตราการเต้นหัวใจทารกจึงมีความจำเป็นควบคู่ไปกับการวัดสมรรถภาพปอดของแม่
ผลถึงลูกในท้อง
หากคุณแม่ดูแลตัวเองไม่ดี ลูกมีโอกาสที่จะน้ำหนักตัวน้อย คลอดก่อนกำหนด ตายขณะคลอด เพราะหากอาการหืดกำเริบ จะมีผลให้ออกซิเจนในเลือดแม่ต่ำลง ทำให้ทารกในครรภ์ซึ่งต้องการออกซิเจนผ่านเลือดแม่ทางสายสะดือ ได้รับออกซิเจนต่ำไปด้วย
การรักษาและควบคุมอย่างเหมาะสม พบคุณหมออย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจประเมินความรุนแรงของโรคและปรับยาให้เหมาะสม จะช่วยให้ทั้งแม่และลูกในครรภ์สุขภาพดีได้ค่ะ #
ภูมิแพ้กับหืด...เกี่ยวกันอย่างไร
ภูมิแพ้ เป็นกลุ่มของโรคที่มีความผิดปกติของระบบภูมิต้านทาน โดยเป็นผลมาจาก 2 ปัจจัยรวมกัน ทางกรรมพันธุ์คือได้รับยีนส์ (gene) ที่ทำให้ภูมิต้านทานตอบสนองผิดปกตินี้จากบรรพบุรุษ แล้วมาได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม คือได้รับสารก่อภูมิแพ้กระตุ้นอีกภายหลังทำให้เป็นโรคภูมิแพ้ขึ้น ดังนั้นถ้ามีแต่ยีนส์ผิดปกติแต่ไม่ได้รับสารก่อภูมิแพ้ หรือได้รับสารก่อภูมิแพ้แต่ยีนส์ปกติก็จะไม่เกิดโรคภูมิแพ้
จริงๆ แล้วอาการภูมิแพ้นั้นจะเกิดขึ้นตั้งแต่เด็ก เรียกว่าเกิดได้ทั้งจากการแพ้อาหาร เช่น นม และเมื่อโตขึ้นก็อาจจะแพ้สารก่อภูมิแพ้ที่หายใจเข้าไป เช่น ไรฝุ่น โปรตีนสัตว์ เชื้อเรา
สำหรับโรคภูมิแพ้ในคุณแม่ตั้งครรภ์นั้น ส่วนใหญ่แล้วทางการแพทย์จะเน้นในเรื่องของ โรคหืดและโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ เพราะพบได้บ่อยและส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์สูงกว่าโรคภูมิแพ้ชนิดอื่น
ในต่างประเทศมีหลักการส่งคุณแม่ท้องไปพบคุณหมอภูมิแพ้ใน 2 กรณีก็คือ 1.คุณแม่มีประวัติกรรมพันธุ์โรคภูมิแพ้ในครอบครัว และต้องการป้องกันทารกให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ 2.คุณแม่เป็นโรคหืดที่มีความรุนแรงปานกลางขึ้นไปหรือโรคหืดกำเริบบ่อยช่วงระหว่างที่ยังไม่ตั้งครรภ์
ขอขอบคุณ นิตยสาร Modern Mom
แหล่งที่มา : vcharkarn.com