ยารักษาโรคกระเพาะ ยารักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ยาโรคกระเพาะ
ยารักษาโรคกระเพาะอาหาร |
เมื่อกล่าวถึงโรคกระเพาะอาหาร หลายๆ คนคงรู้จักและคุ้นเคยกับโรคนี้เป็นอย่างดี และอาจมีประสบการณ์เป็นโรคนี้กันมาบางแล้ว โดยอาการของโรคจะเรื้อรัง และเป็นๆ หายๆ แต่จริงๆ แล้วโรคนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยการรักษาและปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง แต่ถ้าไม่ทำการรักษาและปล่อยทิ้งไว้ให้มีอาการมากขึ้นจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่อันตรายได้ เช่น ทางเดินอาหารอุดตันหรือทะลุ ในบทนี้เราจะมาทำความรู้จักกับโรคกระเพาะอาหารและยาที่ใช้ในการรักษา รวมถึงการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องด้วย
โรคกระเพาะอาหารคือ อะไร“โรคกระเพาะอาหาร” ในทางการแพทย์ หมายถึง โรคที่มีแผลบนเยื่อบุกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งการตรวจเพื่อยืนยันว่า เป็นโรคกระเพาะอาหาร ได้แก่ การส่องกล้องหรือเอกซเรย์ โดยการกลืนแป้ง ส่วนการวินิจฉัยเบื้องต้นจากการซักประวัติเพียงอย่างเดียวนั้น อาจทำให้ยากในการแยกจากโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกัน เช่น โรคตับ โรคอาหารไม่ย่อย เป็นต้น โรคกระเพาะอาหารมีอาการอย่างไรอาการทั่วไปที่พบบ่อย คือ ปวดท้องแบบเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ และมักสัมพันธ์กับอาหาร เช่น ปวดหลังกินอาหาร นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น จุกเสียด ท้องอืด เรอ คลื่นไส้อาเจียน ถ้าเป็นเรื้อรังอาจเกิดอาการแทรกซ้อน คือ อาเจียนเป็นเลือด หรือ ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ เนื่องจากมีเลือดออกในทางเดินอาหาร และมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง เราอาจสังเกตจากอาการได้ว่าเกิดแผลที่ส่วนใดของทางเดินอาหาร โดยสังเกตอาการดังนี้ แผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น พบมากในผู้ชาย มักมีอาการปวดท้องหลังกินอาหารประมาณ 1-3 ชั่วโมง และปวดมากตอนกลางคืน แต่อาการปวดจะดีขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อกินอาหาร ผู้ป่วยจึงมักมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น แผลที่กระเพาะอาหาร พบทั้งในผู้ชายและผู้หญิง จะมีอาการปวดท้องหลังกินอาหาร ประมาณครึ่ง – 1 ชั่วโมง ผู้ป่วยมักมีอาการเบื่ออาหารร่วมด้วย ทำให้ผู้ป่วยมักมีน้ำหนักตัวลดลง การสังเกตอาการเพื่อแยกว่าเกิดแผลที่ตำแหน่งใดจะช่วยในการกำหนด ระยะเวลาของการรักษา เนื่องจากถ้าเกิดแผลที่กระเพาะอาหารจะต้องใช้เวลาในการรักษานานกว่า โรคกระเพาะอาหารเกิดจากอะไร สาเหตุหลักของการเกิดโรคกระเพาะอาหาร คือ ความไม่สมดุลกัน ระหว่างกรดในกระเพาะอาหารและประสิทธิภาพของเยื่อบุกระเพาะอาหาร ดังนี้ 1. กระเพาะอาหารหลั่งกรดมากขึ้น - ความเครียด - เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ - เครื่องดื่มที่มีคาแฟอีน เช่น ชา กาแฟ - การสูบบุหรี่ - กินอาหารไม่ตรงเวลา 2. การทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร - เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ - อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด - การใช้ยา เช่น แอสไพริน ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ยาแก้ปวดข้อ (ไดโคลฟีแนค) ยาสเตียรอยด์ - การติดเชื้อแบคทีเรีย H.pyroli เชื้อแบคทีเรีย H.pyroli H.pyroli เป็นเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุสำคัญ ของผู้ป่วยโรคกระเพาะ เชื่อว่าติดต่อโดยการ กินอาหารและน้ำ เชื้อจะทำลายเยื่อบุ และฝังตัวที่กระเพาะอาหาร โดยมีกรดจาก กระเพาะอาหาร ช่วยเร่งการทำลายเยื่อบุ ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร แนวทางการรักษา การรักษาโรคกระเพาะอาหารแบ่งเป็น 2 วิธี ซึ่งจะต้องปฏิบัติควบคู่กันอย่างเคร่งครัด คือ 1. การปฏิบัติตัวเพื่อกำจัดสาเหตุการเกิดโรค - กินอาหารให้เป็นเวลา ไม่ปล่อยให้ท้องว่าง - งดอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด - งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ - งดดื่มชา และ กาแฟ - งดสูบบุหรี่ - พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด ไม่หงุดหงิดโมโหง่าย - งดการใช้ยาที่มีผลต่อกระเพาะอาหาร 2. การรักษาด้วยยา ยาที่ใช้ในการรักษามีหลายกลุ่ม แต่สิ่งสำคัญในการใช้ยาคือ ต้องกินยาให้สม่ำเสมอ ครบตามจำนวนและระยะเวลาที่กำหนด โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 4 - 6 สัปดาห์ แผลจึงจะหาย หลังกินยาไประยะหนึ่งถึงแม้อาการ จะดีขึ้น ก็ห้ามหยุดยา ต้องกินต่อจนครบ ตามกำหนด เพื่อให้แน่ใจว่าแผลหาย และ ไม่กลับมาเป็นซ้ำ นอกจากนี้หลังกินยาจนครบกำหนด ก็ควรปฏิบัติตัวเพื่อหลีกเลี่ยงสาเหตุของโรค อย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นอาจกลับมาเป็นซ้ำได้ ยารักษาโรคกระเพาะอาหาร 1. ยาลดกรด ยากลุ่มนี้มักใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดท้อง จากการหลั่งกรดมากเกินไป เพราะออกฤทธิ์ได้เร็ว แต่ไม่สะดวกในการนำมาใช้เพราะต้องกินบ่อย รูปแบบยาที่มีจำหน่าย ยาลดกรดจะมี 2 รูปแบบ คือ ยาน้ำแขวนตะกอน และ ยาเม็ดแบบเคี้ยว บางตำรับอาจมีผสมยาขับลม หรือ ยาลดการปวดเกร็งช่องท้อง ชื่อการค้าที่มีจำหน่าย ยาน้ำแขวนตะกอน อะลั่ม มิ้ลค์ (Alum milk), แอนตาซิล เยล (Antacil Gel), เบลสิด (Belcid), ไบร์เยล (Brygel), บูราเจล (Burajel) ยาเม็ด - ยาลดกรด เช่น แอนตาซิล, กาซีด้า (Gacida) - ยาลดกรดผสมยาขับลม เช่น วอราแกส (Voragas), แม๊ก-77 (Mag 77) - ยาลดกรดผสมยาขับลมและลดการปวดเกร็ง เช่น แครมมิล-เอส (Kremil-S), เวอราเยล-ดีเอ็มเอส (Veragel-DMS) วิธีการใช้ยา ชนิดยาน้ำแขวนตะกอน กินวันละ 4 ครั้ง ครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ หลังอาหาร 1 ชั่วโมง และต้องเขย่าขวดก่อนใช้ทุกครั้ง ชนิดยาเม็ด กินวันละ 4 ครั้ง ครั้งละ 1-2 เม็ด โดยเคี้ยวยาให้ละเอียดก่อนกลืน ผลข้างเคียงจากการใช้ยา อาจเกิดอาการท้องผูกหรือท้องเสีย ขึ้นกับปริมาณของเกลืออะลูมิเนียม หรือ เกลือแมกนีเซียมในตำรับ ซึ่งอาการไม่รุนแรงและจะหายไปเมื่อหยุดใช้ยา ข้อควรระวังในการใช้ยา 1.ไม่ควรใช้ยาลดกรดที่มีส่วนผสมของเกลือแมกนีเซียมในผู้ป่วยโรคไต เพราะอาจทำให้สะสมจนเป็นอันตรายได้ 2.ยากลุ่มนี้เกิดปฏิกิริยากับยาหลายชนิด เช่น - ยาฆ่าเชื้อ : เตตร้าซัยคลิน (tetracycline), ไซโปรฟล๊อคซาซิน (Ciprofloxacin) - ยารักษาโรคหัวใจ : ไดจ๊อกซิน (digoxin) - ยารักษาวัณโรค : ไอโซไนอาซิด (isoniazid) - ยาบำรุงเลือด เช่น ธาตุเหล็ก - ยารักษาโรคกระเพาะกลุ่มยับยั้งตัวรับฮิสทามีนชนิดที่ 2 (H2-receptor antagonist) ได้แก่ ซัยเมททิดีน (cimetidine), รานิทีดีน (ranitidine), ฟาโมทิดีน (famotidine) ดังนั้น ควรกินยาลดกรดห่างจากยาดังกล่าวประมาณ 2 ชั่วโมง และควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเมื่อใช้ยาดังกล่าว 2. ยายับยั้งการหลั่งกรด ออกฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งกรดใช้รักษาและป้องกันโรคกระเพาะอาหารและภาวะที่มีกรดหลั่งมากกว่าปกติ ก. ยากลุ่มยับยั้งตัวรับฮิสทามีนชนิดที่ 2 (H2-receptor antagonist)
(* ไม่มีขนาดแนะนำการใช้ในเด็ก) ผลข้างเคียงจากการใช้ยา คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว มึนงง สำหรับซัยเมททิดีน อาจเกิดจากอาการอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ คือ มีผื่นขึ้น ในผู้ชายอาจมีเต้านมโตขึ้น *ยารานิทิดีน และ ฟาโมทิดีน เหมาะสมในการรักษามากกว่า เพราะมีอาการไม่พึงประสงค์และเกิดปฏิกิริยากับตัวยาอื่นน้อยกว่า ข้อควรระวังในการใช้ยา 1.กรณีใช้ยาร่วมกับยาลดกรด ควรกินห่างกัน 2 ชั่วโมง 2.ระวังการใช้ยาในผู้ป่วยโรคไต 3.ระวังการใช้ยาในสตรีมีครรภ์ หรือให้นมบุตร 4.ซัยเมททิดีน เกิดปฏิกิริยากับยาอื่นหลายชนิด เช่น ยาขยายหลอดลม ยากันชัก และยาต้านการแข็งตัวของเลือด เป็นต้น ดังนั้น ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถ้าใช้ยาตัวอื่นร่วมด้วย ข.ยากลุ่มยับยั้งการทำงานของโปรตอนปั๊ม (Proton pump inhibitor) ยากลุ่มนี้มีประสิทธิภาพยับยั้งการหลั่งกรดได้นานและมีประสิทธิภาพสูงกว่ายากลุ่มยับยั้งตัวรับฮิสทามีนชนิดที่ 2 ผลข้างเคียงจากการใช้ยา อาการไม่รุนแรง เช่น ปวดหัว คลื่นไส้ ท้องผูก หรือท้องเสีย ข้อควรระวังในการใช้ยา 1.ระวังการใช้ยาในผู้ป่วยโรคตับ 2.ระวังการใช้ยาในสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร 3.การใช้ยาติดต่อการนานเกิน 2 เดือน อาจเกิดภาวะกรดในกระเพาะสูง 4.ไม่ควรใช้ยากลุ่มนี้ร่วมกันยาต่อไปนี้ คือ ยากันชัก ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาฆ่าเชื้อรา เช่น คีโตโคนาโซล (ketovonazole) ดังนั้น ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถ้าใช้ยาดังกล่าวร่วมด้วย
(ไม่มีขนาดแนะนำการใช้ในเด็ก) 3. ยาปกป้องเยื่อบุกระเพาะอาหาร ยากลุ่มนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเยื่อบุทางเดินอาหาร จึงมักมีผู้เรียกยากลุ่มนี้ว่า “ยาเคลือบกระเพาะ” ¨ ซูครับเฟต (Sucrafate) ยาจะไปเคลือบเนื้อเยื่อที่เป็นแผล ป้องกันไม่ให้กรดสัมผัสเนื่อเยื่อที่เป็นแผล รูปแบบยาที่มีจำหน่าย : เช่น อัลซานิค (Ulsanic) - ชนิดเม็ด ขนาด 500 มก., 1 กรัม - ชนิดยาน้ำแขวนตะกอน ขนาด 1 กรัม ต่อ 1 ช้อนชา วิธีการใช้ : รับประทานครั้งละ 1 กรัม วนละ 4 ครั้ง หรือครั้ง 2 กรัม วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง เป็นเวลา 8 สัปดาห์ หรือจนกว่าแผลหาย ผลข้างเคียงจากการใช้ยา : ท้องผูก ปวดท้อง ซึ่งลดอาการดังกล่าวโดยกินอาหารที่มีกากใย เช่น ผัก ผลไม้ และดื่มน้ำตามมากๆ ข้อควรระวังในการใช้ยา 1.ยานี้มีส่วนผสมของเกลืออลูมิเนียมจึงควรระวังการใช้ในผู้ป่วยโรคไต 2.ระวังการใช้ยาในสตรีมีครรภ์ หรือ ให้นมบุตร 3.รบกวนการดูดซึมยากันชัก ยาฆ่าเชื้อ เตตร้าซัยคลิน (tetracyclone), ไซโปรฟล๊อคซาซิน (ciprofloxacin) จึงควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อนใช้ยานี้ ¨ ทีพรีโนน (Teprenone) มีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างสารเมือกในกระเพาะ จึงปกป้องและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น แต่ไม่นิยมใช้เนื่องจากประสิทธิภาพด้อยกว่ากลุ่มที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งกรด รูปแบบยาที่มีจำหน่าย : เซลเบ็คซ์ (ZelbexÒ) ชนิดแคปซูลขนาด 50 มก. วิธีใช้ยา : กินครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร ผลข้างเคียงของการใช้ยา : ท้องผูก ท้องเสีย ท้องอืด ปวดท้อง
4. ยากลุ่มอื่นๆ นอกเหนือจากยากลุ่มหลักที่ใช้ รักษาแผลในกระเพาะแล้ว กรณีที่มีอาการท้องอืด จุกเสียด หรือ ปวดมวนท้องมาก ผู้ป่วยอาจได้รับยาอื่นๆ ร่วมด้วย ¨ยาลดอาการปวดมวนท้อง ¨ยาขับลม -ยาไซเมทิโคน (Simethicone) เช่น แอร์-เอกซ์ (Air-X), ดิสฟาติล (Disflatyl) เป็นต้น -สมุนไพรขับลม ยาน้ำขับลม (Carminative) 5. ยารักษากรณีติดเชื้อ Hy.pyroli ถ้าสาเหตุการเกิดโรคจากากรติดเชื้อแบคทีเรีย H.pyroli จำเป็นจะต้องได้รับการรักษาโรคกระเพาะอาหาร คือ โอมิพราโซล (Omeprazole) ร่วมกับปฏิชีวนะ 2 ชนิด ได้แก่ อะม๊อกซซิลลิน (Amoxicillin), เมโทรนิดาโซล (Metronidazole) หรือ คลาริโทรมัยซิน (Clarithromycin) เพื่อฆ่าเชื้อสาเหตุ กรณีที่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ H.pyroli จะต้องกินยาติดต่อการนาน 1 สัปดาห์ และหลีกเลี่ยงการกินยาลดกรด เพื่อบรรเทาอาการเพราะนอกจากไม่เป็นการแก้ที่ต้นเหตุแล้วยังทำให้เชื้อเจริญได้ดีขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารได้ ยารักษาโรคกระเพาะที่แนะนำให้ใช้ในเด็ก ¨ เด็กทารก-เด็กเล็ก แนะนำให้ใช้ยาน้ำสำหรับขับลม และหลังจากให้ยาควรอุ้มพาดบ่าและเขย่าเบาๆ เพื่อให้เรอออกมา ผลิตภัณฑ์ที่มีจำหน่าย เช่น -ไมลอม ชนิดหยด (Mylom drop) -แอร์-เอ็กซ์ ชนิดหยด (Air-X drop) -ไกร๊ปวอเตอร์ (Gripewater) -เบบี้ดอล (Babydol) ¨ เด็กอายุ 1-5 ปี ยาลดกรดชนิดน้ำ ให้จิบวันละ 3-4 ครั้ง งดน้ำอัดลมและกินอาหารให้ตรงเวลา |
แหล่งที่มา : srinagarind-hph.kku.ac.th