ข่าวหนังสือพิมพ์แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน พาดหัวข่าว กับ ตัวข่าว ตัวข่าวแบ่งเป็น วรรคนำ และ เนื้อข่าว
อ่านหนังสือพิมพ์ให้เป็น
การอ่าน เป็นเรื่องสำคัญ คนที่มีประสบการณ์การอ่าน จะสามารถรับความรู้ ข้อมูลข่าวสารได้รวดเร็ว
นักเรียนควรฝึกให้เกิดทักษะ สำหรับวันนี้ มาเรียนรู้วิธีอ่านหนังสือพิมพ์ ให้เป็น
ประเด็นข่าว
ภาพจาก : https://www.decorate.su.ac.th
ข้าวนึ่งไทยปั่นป่วนยอดขายทรุด
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มส่งออกข้าวไทยตั้งแต่เดือน
ส.ค. คาดว่า จะปรับลดลงอีกเดือนละ ๒๐๐,๐๐๐ ตันจากเฉลี่ย ๗๐๐,๐๐๐-๘๐๐,๐๐๐ ตัน เหลือ ๕๐๐,๐๐๐-๖๐๐,๐๐๐ ตันเท่านั้น โดยสาเหตุที่ทำให้การส่งออกข้าวไทยลด เนื่องจากประเทศอินเดียคู่แข่งการส่งออกของไทยจะกลับมา
ส่งออกข้าวอีกครั้ง หลังจากหยุดการส่งออกไปนานตั้งแต่เม.ย. ๕๑ โดยตอนนี้อินเดียมีปริมาณสต๊อกเพิ่มอยู่ที่ ๒๗ ล้านตัน เพียงพอต่อการส่งออกแล้ว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวนึ่งของไทยมากเพราะที่ผ่านมาอินเดีย
ถือว่าเป็นคู่แข่ง กับไทยโดยตรง
ส่วนการส่งออกข้าวเดือนพ.ค.มีปริมาณ ๘๐๓,๐๓๑ ตัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนถึง ๒๐.๑๘ 8% ขณะที่ยอดส่ง
ออกรวม ๕ เดือน ตั้งแต่ ๑ ม.ค.-๓๑ พ.ค. ๓๒ มีปริมาณ ๓,๕๕๘,๗๕๐ ตัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน ๒๙.๒๗% เช่นกัน
“ปัจจุบันการค้าข้าวโลกอยู่ที่ประมาณ ๒๙ ล้านตัน ซึ่งเป็นการค้าข้าวนึ่งประมาณ ๕ ล้านตัน โดยไทยส่งออก
ประมาณ ๒ ล้านตัน ถ้าอินเดียกลับมาส่งออกจะทำให้การ ส่งออกข้าวนึ่งของไทย ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ขณะที่แนวโน้มการส่งออกข้าวโดยรวมก็ลดลงทั้งปริมาณและราคา เพราะปีที่ผ่านมาเป็นสถาน การณ์พิเศษ
ที่ทั่วโลกกลัวว่าจะเกิดวิกฤติขาดแคลนอาหาร ทำให้ผู้ค้าแห่กันไปซื้อข้าวเก็บไว้มาก และทำให้ราคาข้าวสูงขึ้น”
นายชูเกียรติกล่าวต่อว่า ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกข้าวไทยทำได้ยากขึ้น เพราะราคาขายข้าวนึ่งไทยแพงกว่า
ประเทศคู่แข่ง โดยข้าวนึ่งไทยอยู่ที่ตันละ ๕๓๐ เหรียญสหรัฐ ขณะที่อินเดียอยู่ที่ตันละ ๔๒๐ เหรียญสหรัฐเท่านั้น
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ข้าวนึ่งไทยราคาสูง เพราะรัฐบาลตั้งรับจำนำราคาข้าวสูงมาก ทำให้ต้นทุนการส่งออกต้องปรับสูงตาม
หากรัฐบาลยังรับจำนำราคาสูงต่อเนื่อง จะทำให้ต้นทุนผู้ส่งออกสูงขึ้นอีก และทำให้ไทยสูญเสียตลาดข้าวนึ่ง
ไปให้อินเดียในอนาคตแน่นอน
ปัจจุบันข้าวนึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดโลกมาก โดยเฉพาะจากประเทศในแถบแอฟริกาและตะวันออกกลาง
ประกอบกับประเทศเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจน้อย ทำให้มีกำลังซื้อข้าวนึ่งเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
และทำให้ตลาดข้าวนึ่งในแต่ละปีมีการซื้อขายเพิ่มถึงปีละ ๕ ล้านตันทั่วโลกและยังมีแนวโน้มเพิ่มอีก
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดีย ได้ออกประกาศ
ผ่อนปรน ให้มีการส่งออกข้าวที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติ จากเดิมได้แบนส่งออกไว้ตามประ กาศฉบับที่ ๙๓
ซึ่งออกเมื่อ วันที่ ๑ เม.ย. ๒๕๕๑ โดยประกาศฉบับใหม่ได้กำหนดโควตาส่งออกข้าวให้กับ ๒๑ ประเทศ
ปริมาณ ๑ ล้านตัน.
ที่มา https://www.dailynews.co.th เดลินิวส์ วันพฤหัสบดีที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒ เวลา ๑๒.๓๐ น.
จากประเด็นข่าวข้างต้น
หัวข้อข่าว(พาดหัวข่าว) คือ ข้าวนึ่งไทยปั่นป่วนยอดขายทรุด
วรรคนำคือ นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มส่งออกข้าวไทยตั้งแต่
เดือนส.ค. คาดว่า จะปรับลดลงอีกเดือนละ ๒๐๐,๐๐๐ ตัน จากเฉลี่ย ๗๐๐,๐๐๐-๘๐๐,๐๐๐ ตัน
เหลือ ๕๐๐,๐๐๐-๖๐๐,๐๐๐ ตันเท่านั้น โดยสาเหตุที่ทำให้การส่งออกข้าวไทยลด เนื่องจากประเทศอินเดียคู่แข่ง
การส่งออกของไทยจะกลับมาส่งออกข้าวอีกครั้ง หลังจากหยุดการส่งออกไปนานตั้งแต่เม.ย. ๕๑ โดยตอนนี้อินเดีย
มีปริมาณสต๊อกเพิ่มอยู่ที่ ๒๗ ล้านตัน เพียงพอต่อการส่งออกแล้ว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวนึ่ง
ของไทยมากเพราะที่ผ่านมาอินเดียถือว่าเป็นคู่แข่งกับไทยโดยตรง
เนื้อข่าว คือ (ส่วนของข่าวที่เหลือทั้งหมด)
เนื้อหาสำหรับ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑-๔
การอ่านเพื่อพัฒนาความรู้ แบ่งออกเป็น
๑. ความรู้ทั่วไปหรือความรู้รอบตัว
๒. ความรู้เฉพาะ (คือความรู้ที่เกี่ยวกับอาชีพของตน)
ปกติคนที่รู้รอบ รู้กว้าง และรู้เฉพาะเรื่อง มักจะเป็นผู้ที่สดับตรับฟังและอ่านอยู่เสมอ เราอาจหาความรู้
เรื่องต่างๆ เช่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ อนามัย วิทยาการใหม่ๆ
เรื่องที่จะช่วย ให้เราปรับตนให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ได้จากหนังสือหลายประเภท ทั้งหนังสือเล่ม
หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร เอกสาร และสิ่งพิมพ์อื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นการอ่านเกี่ยวกับความรู้ทั่วไปหรือความรู้เฉพาะก็ตาม จะหาข้อมูลได้จากหนังสือเฉพาะวิชานั้นๆ
เช่น วิชาการแพทย์ วิศวกรรม นักปกครอง นักกฏหมาย ฯลฯ หนังสือพิมพ์ ข่าว โฆษณาต่างๆ หนังสือวารสาร
นิทาน นิยาย วรรณคดี ฯลฯ คนที่จะมีความรู้ทันโลกต้องอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ ซึ่งจะดีกว่าการฟังข่าวจาก
วิทยุ และดูโทรทัศน์
ข่าวหนังสือพิมพ์แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ
๑) พาดหัวข่าว นิยมพิมพ์ด้วยตัวอักษรใหญ่ ปรากฏเด่นชัดสะดุดตาผู้อ่าน ตรงนี้ให้เราอ่านผ่านๆ
เพียงเพื่อให้เข้าใจเรื่องโดยย่อเท่านั้น
๒) ตัวข่าว ประกอบด้วย วรรคนำ กับ เนื้อข่าว
วรรคนำ อาจเป็นส่วนที่สรุปข่าวนั้น หรืออาจเป็นส่วนที่นำจุดสำคัญของข่าวมาเกริ่นไว้เพื่อดึงดูดความสนใจ
เนื้อข่าว คือส่วนที่บรรยายข่าวละเอียด จะอ่านเฉพาะรายละเอียด
แต่การอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ก็มีข้อพึงระวังอยู่เหมือนกัน เพราะการเสนอข่าวมักจะไม่ใช่ข้อเท็จจริง
เสมอไป บางฉบับก็ลงไม่ตรงกัน ดังนั้นผู้อ่านต้องใช้วิธีเปรียบเทียบกัน หลายๆ ฉบับหรือไม่ก็สอบถาม
จากเพื่อนหรือผู้ใหญ่ หรือจากการเปรียบเทียบของบุคคลหลายๆ ฝ่าย แต่บางครั้งอาจใช้ประสบการณ์หรือ
ดุลยพินิจของเราเองก็ได้
ในการอ่านข่าว โดยทั่วๆ ไป เรามักอ่านอย่างผ่านๆ คือ อ่านแต่เพียงพาดหัวข่าว และวรรคนำ
ต่อเมื่อสนใจข่าวนั้นเป็นพิเศษ จึงจะอ่านโดยละเอียด
ข่าวที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ อาจไม่ใช่การรายงานเหตุการณ์ตามข้อเท็จจริงเสมอไป เพราะบางครั้ง
ผู้เสนอข่าวใช้ถ้อยคำหรือเพิ่มเติมข้อความบางอย่าง เพื่อให้ออกรสขึ้นตามแนวนิยมของหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น
ในการอ่านข่าว นักเรียนจึงควรอ่านโดยพิจารณาก่อนที่จะปลงใจเชื่อตามอย่างสื้นเชิง
วิธีหนึ่งซึ่งอาจช่วยนักเรียนในการพิจารณาคือ เปรียบเทียบข่าวเรื่องเดียวกันนั้นในหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ
สอบถามจากเพื่อนและจากผู้ใหญ่ หรือฟังความคิดเห็นจากหลายฝ่าย รวมทั้งใช้ดุลยพินิจของตน
ศัพท์สำคัญ ดุลยพินิจ คือการใช้ปัญญาไตร่ตรอง
ประเด็นคำถาม
๑. ให้อธิบายวิธีการอ่านข่าวได้รวดเร็วและได้สาระ
๒. อธิบายส่วนประกอบของข่าวในหนังสือพิมพ์ แบ่งเป็นกี่ส่วน อะไรบ้าง
๓. ให้อธิบายวิธีตรวจสอบข่าว
กิจกรรมเสนอแนะ
จัดให้มีการสาธิตการอ่านข่าว ในห้องเรียน ข่าวเดียวกัน จากหนังสือพิมพ์ ๒-๓ ฉบับ โดยเปรียบเทียบ
ใน ๒ ส่วน คือ พาดหัวข่าว วรรคนำ การนำเสนอข่าว และความน่าเชื่อถือ
การบูรณาการ
๑. กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ เรื่อง การอ่านข่าว
๒. กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้น ม.๔ เรื่อง การใช้ปัญญาไตร่ตรอง
๓. กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้น ม.๔ เรื่อง ความน่าจะเป็น
ที่มา : เพลินพิศ สุพพัตกุล แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ท๓๑๑๐๑
ที่มา : เพลินพิศ สุพพัตกุล เอกสารประกอบการเรียนรู้วิชาภาษาไทย
ขอบคุณ : https://www.jd.in.th
ที่มา : ภาษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ เล่ม ๑
ที่มา : https://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=580