คือภาวะที่มีเนื้อกระดูกบางตัวลง เนื่องจากมีการสร้างกระดูกน้อยกว่า
กระดูกพรุน คือภาวะที่มีเนื้อกระดูกบางตัวลง เนื่องจากมีการสร้างกระดูกน้อยกว่า การทำลายกระดูก ทำให้มีความเสี่ยงต่อการหัก หรือยุบตัวได้โดยง่าย จุดที่มีการหักบ่อย ได้แก่ กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก และกระดูกข้อมือก่อให้เกิดปัญหาในผู้สูงอายุ 50% ของสตรีที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป เป็นโรคกระดูกพรุน
ผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนจะมีปัญหาอะไรบ้าง
- ปวดหลัง กระดูกสันหลังยุบตัวลง หลังค่อม ตัวเตี้ยลง
- กระดูกแขนขาเปราะ และหัก ได้แก่ กระดูกข้อมือ กระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง ทำให้เกิดการพิการเดิน
ไม่ได้ - อาการแทรกซ้อนจากกระดูกหัก เช่น ปอดบวม แผลกดทับ ติดเชื้อ แขนขาใช้งานไม่ได้ ทำให้ผู้สูงอายุ
เสียชีวิตได้โดยง่าย
เราจะป้องกันโรคกระดูกพรุนได้อย่างไร
การป้องกันโรคกระดูกพรุนในวัยสูงอายุ และวัยหมดประจำเดือนทำ ได้โดยการเริ่มเสริมสร้างให้กระดูกหนาแน่น และแข็งแรง ตั้งแต่วัยหนุ่มสาว คือ ก่อนอายุ 30 ปี เพราะหลังอายุ 30 ปีแล้ว โอกาสในการเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกทำได้ยาก ทำได้เพียงแต่ชะลอการทำลายกระดูกเท่านั้น วิธีการป้องกัน คือ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งๆ ละ 1 ชั่วโมง ผู้สูงอายุ สตรีวัยหมดประจำเดือนควร
ออกกำลังกายที่ลงน้ำหนัก เช่น เดินไกลๆ วิ่งเหยาะ รำมวยจีน เต้นรำ เพื่อป้องกันการสูญเสียกระดูก - รับประทานเนื้อสัตว์ แป้ง ผัก ผลไม้ และอาหารที่มีแคลเซียม เช่น ดื่มนมทุกวัน วันละ 1 แก้ว หรือ
รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียม เพื่อให้ได้รับแคลเซียมเพียงพอกับความต้องการในแต่ละวัน - ลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ได้แก่ งดสูบบุหรี่ งดดื่มสุรา ไม่ซื้อยาชุดทานเอง ดื่มกาแฟไม่เกินวันละ 2 แก้ว
ปริมาณความต้องการแคลเซียมแต่ละวัน
สถานภาพและอายุ | ปริมาณแร่ธาตุ แคลเซียมที่ต้องการ คิดเป็นมิลลิกรัม/วัน |
วัยเด็กอายุ 1-10 ปี | 800-1,000 |
วัยหนุ่มสาวอายุ 11-25 ปี | 1,200 |
สตรีก่อนวันหมดประจำเดือน (อายุ 26-49 ปี) | 1,000 |
สตรีหลังหมดประจำเดือน (อายุ 50 ปีขึ้นไป) | 1,000-1,500 |
สตรีระยะตั้งครรภ์ และสตรีระหว่างให้นมบุตร | 1,200-1,500 |
ระยะกระดูกหัก | 1,500 |
ข้อมูลจาก National Institutes of Health แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา
ในสตรีวัยหมดประจำเดือนถ้าได้รับฮอร์โมนทดแทน ควรได้รับแคลเซียมอย่างน้อยวันละ 1,000 มิลลิกรัม และถ้าไม่ได้รับฮอร์โมนทดแทนควรได้รับวันละ 1,500 มิลลิกรัม
จาก การศึกษาของ นพ.สุรัตน์ โคมินทร์ และคณะ (1994) พบว่าปริมาณแคลเซียมที่คนไทยได้รับจากอาหารจัดอยู่ในระดับต่ำ คือประมาณ 360 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเป็นปริมาณไม่ถึงครึ่งหนึ่งของแคลเซียมที่ควรได้รับในแต่ละวัน
แหล่งอาหารที่ดีที่สุดของแคลเซียมคือ นม และผลิตภัณฑ์จากนมรองลงมาคือ ปลาเล็กที่กินทั้งกระดูก กะปิ แต่แคลเซียมจากผักจะดูดซึมไม่ดี เนื่องจากปริมาณไฟเตต และออกซาเลตจะรบกวนการดูดซึมแคลเซียม
นมสด 1 แก้ว (250 ซีซี) จะมีแคลเซียมประมาณ 200 มิลลิกรัมฉะนั้น เด็กที่ต้องการแคลเซียมวันละ 800 มิลลิกรัม จะต้องดื่มนมสด 4 แก้ว ขณะที่สตรีวัยหมดประจำเดือน และผู้สูงอายุที่ต้องการแคลเซียมวันละ 1,000-1,500 มิลลิกรัม จึงต้องดื่มนมวันละ 5-7 แก้ว ซึ่งถ้าไม่สามารถดื่มได้ก็ให้ท่านดื่มเท่าที่จะดื่มได้ แล้วเติมแคลเซียมเสริมสำหรับผู้ใหญ่ ถ้าได้รับแคลเซียมวันละ 400 มิลลิกรัม ยังไม่เพียงพอสำหรับป้องกันโรคกระดูกพรุน แต่ถ้าได้รับแคลเซียมมากกว่าวันละ 1,000 มิลลิกรัม ร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมจนถึงจุดสมดุลย์ทั้งในกระดูกและเลือด แคลเซียมส่วนที่เกินจะขับถ่ายออกทางอุจจาระตามปกติ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับแคลเซียมมากเกินไป
หลักในการเลือกผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียม
- ควร ดูตัวยาสำคัญที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมนั้นก่อนว่าเป็นแคลเซียม อย่างเดียว หรือมีวิตามินอื่นผสม เนื่องจากการได้รับวิตามินบางตัว เช่น วิตามินซี หรือวิตามินดีมากเกินไป ทำให้เกิดอันตรายได้ ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนให้ผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินอื่นๆ ผสมอยู่
- ควร ดูว่าผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียม 1 เม็ด ให้อนุมูลแคลเซียมเท่าไร เพื่อความสะดวกในการรับประทาน เนื่องจากเราต้องการอนุมูลแคลเซียมอย่างน้อยวันละ 800 มิลลิกรัม ดังนั้นถ้าใน 1 เม็ด มีอนุมูลแคลเซียมน้อยเกินไปอาจต้องให้จำนวนหลายเม็ด
- ควร ดูว่าผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมนั้นอยู่ในรูปแบบใด เนื่องจากแคลเซียมละลายน้ำ และถูกดูดซึมได้ยาก ดังนั้นควรให้ผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมที่เป็นเม็ดฟู่ จะทำให้การละลาย และการดูดซึมดีกว่าแบบเม็ดธรรมดา
- นอก จากนี้อาจจะต้องดูว่า แคลเซียมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เป็นเกลือแคลเซียมอะไร เนื่องจากเกลือแคลเซียมต่างชนิดกัน จะดูดซึมต่างกันในสภาวะกรดในกระเพาะต่างๆ กัน เช่น แคลเซียม คาร์บอเนตจะดูดซึมได้น้อยลง ถ้าผู้ป่วยมีกรดในกระเพาะอาหารน้อย
ข้อสงสัยเกี่ยวกับกระดูกงอก
การ ทานแคลเซียมเสริม ไม่มีความเกี่ยวข้องกับภาวะกระดูกงอก เพราะกระดูกงอกเกิดจากกระดูมีการช้ำจากการออกแรง หรือกระทบกระทั่งบริเวณกระดูกมากเกินไป ทำให้มีการเสริมสร้างกระดูกผิดปกติไป
ที่มา : แผ่นพับ บริษัท โนวาร์ตีส (ประเทศไทย) จำกัด
ที่มา : https://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=803