วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต


826 ผู้ชม


วิวัฒนาการคือการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือหน้าที่หรือการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปร่างและหน้าที่ขององค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต โดยการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อยจนเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างบรรพบุรุษกับลูกหลานรุ่นหลังๆ ซึ่งได้สืบพันธุ์มาหลายชั่วอายุ   

วิวัฒนาการ

     วิวัฒนาการคือการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือหน้าที่หรือการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปร่างและหน้าที่ขององค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต โดยการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อยจนเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างบรรพบุรุษกับลูกหลานรุ่นหลังๆ ซึ่งได้สืบพันธุ์มาหลายชั่วอายุ
      นักวิทยาศาสตร์ศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการโยใช้หลักฐานด้านต่างๆ เช่น กายวิภาคศาสตร์ พันธุศาสตร์ ชีววิทยา การเจริญของแอมบริโอ ซากดึกดำบรรพ์ที่ขุดค้นพบในแถบต่างๆ ของโลกมาประกอบกันเพื่อใช้เป็นแนวทางในการว่า วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ สิ่งมีชีวิตในปัจจุบันเป็นผลของวิวัฒนาการที่ได้ดำเนินมาเป็นเวลาหลายล้านปีหรือกล่าวได้ว่าสิ่งมีชีวิตในปัจจุบันเป็นผล เนื่องมาจากการแปรเปลี่ยนของสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ในยุคก่อนๆ โดยมีการเปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งำให้สิ่งมีชีวิตในยุคก่อนๆแตกต่างจากสิ่งมีชีวิต ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ 
      วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตมีทั้งแบบที่เปลี่ยนแปลงจากสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวง่ายๆ ไปสู่สิ่งมีชีวิตที่มีความซับซ้อนมากขึ้น และเปลี่ยนแปลงจากสิ่งมีชีวิตซับซ้อนมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ซับซ้อน เพื่อการดำรงชีพและเผ่าพันธุ์ หลักฐานที่ใช้เป็นข้อสันนิษฐานว่า วิวัฒนาการเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ มีดังนี้ 

1. หลักฐานจากซากดึกดำบรรพ์
2. หลักฐานทางกายวิภาคเปรียบเทียบ
3. หลักฐานจากการเจริญของแอมบริโอ 
4. หลักฐานทางพันธุศาสตร์ 
5. หลักฐานจากร่องรอยของอวัยวะที่ไม่ใช้งาน
หลักฐานจากซากดึกดำบรรพ์
วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
ภาพฟอสซิลของแมลงในแท่งอำพัน ที่มา https://www.discovery.com (2001) 

     ปัจจุบันมีผู้ขุดพบซากสิ่งมีชีวิตต่างๆ ซึ่งตายมาแล้วและมีอายุนับหลายพันปีหรือหมื่นปีขึ้นไป เช่น ซากโครงกระดูกไดโนเสาร์ ซากหอยที่กลายเป็นหิน ซากมนุษย์โบราณยุคแรกๆ ซากแมลงในแท่งอำพัน ฯลฯ การเกิดซากดึกดำบรรพ์ นอกจากจะเกิดจากซากของสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้วยังคงสภาพเดิมอยู่ ยังเกิดจากการแทนที่ซากสิ่งมีชีวิตโดยสารอื่นแล้วทับถมอยู่ในชั้นหิน บางชนิดจะเหลือเพียงร่องรอยตกค้างบนหิน จากการศึกษาเกี่ยวกับซากดึกดำบรรพ์ต่างๆ พบว่า สิ่งมีชีวิตบางชนิด แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านรูปร่างน้อยมาก เช่น แมงดาทะเล ต้นเฟิร์น หอยปากเป็ด ฯลฯ ซากสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในอดีตเป็นหลักฐานว่า สิ่งมีชีวิตต่างๆ ได้ปรากฏอยู่บนโลกนี้มานานแล้ว และสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่มีอยู่ในสมัยโบราณนั้น ส่วนใหญ่มีความแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตในปัจจุบันมาก เช่นรูปร่าง ขนาด ฯลฯ สิ่งมีชีวิตในอดีตบางชนิดก็สูญพันธุ์ไปแล้ว ซากสิ่งมีชีวิตเป็นหลักฐานที่แสดงว่าวิวัฒนาการนั้นดำเนินอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้มีการแปรเปลี่ยนในลักษณะต่างๆ

หลักฐานกายวิภาคเปรียบเทียบ

วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
ความคล้ายกันทางกายวิภาคระหว่างสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ที่มา Deniel Ortleb Biggs ( 1994 : 141)

      การศึกษาเปรียบเทียบโครงสร้างของระบบอวัยวะเช่น โครงกระดูกขาหน้าของสัตว์ปีกและสัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบก จะพบว่ามีโครงสร้างและลักษณะการเรียงตัวเป็นคล้ายกัน ซึ่งแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของสายวิวัฒนาการของสัตว์เหล่านี้ว่า น่าจะสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษร่วมกัน 
นอกจากนี้สัตว์มีกระดูกสันหลังจำพวกสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต่างมีแบบแผนการเรียงตัวของโครงกระดูกขาหน้าเช่นเดียวกับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และสัตว์ปีก เช่น ครีบโลมา ปีกค้างคาวและแขนคน อวัยวะเหล่านี้เมื่อสังเกตภายนอกจะเห็นว่ามีรูปร่างต่างกัน และทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน แต่ถ้าศึกษาโครงสร้างภายใน เช่น 
    การเรียงตัวของโครงกระดูกจะพบว่าอวัยวะเหล่านั้นมีการเรียงตัวของโครงสร้างเหมือนกันและหากได้ศึกษาต้นกำเนิดของอวัยวะเหล่านั้น จะพบว่าเจริญมาจากกลุ่มเซลล์ชนิดเดียวกัน ซึ่งเป็นข้อสนับสนุนอีกอย่างว่าครั้งหนึ่งสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นสืบสายมาจากบรรพบุรุษร่วมกัน แต่ในสัตว์หลายชนิดจะมีอวัยวะบางอย่างที่มีรูปร่างภายนอกคล้ายคลึงกัน และทำหน้าที่เหมือนกัน เช่น ปีกนก ปีกแมลง ฯลฯ แม้จะมีรูปร่างคล้ายคลึงกัน แต่ถ้าศึกษาโครงสร้างภายในจะพบว่ามีความแตกต่างกัน แสดงว่าสัตว์เหล่านั้นมีบรรพบุรุษต่างกัน

หลักฐานจากการเจริญของเอมบริโอ
 วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
ภาพแสดงเปรียบเทียบการเจริญของเอมบริโอสัตว์มีกระดูกสันหลัง 
ที่มา Deniel Ortleb Biggs ( 1994 : 142 ) 

     นักชีววิทยาศึกษา พบว่าสัตว์บางชนิดมีระยะเป็นแอมบริโอคล้ายคลึงกัน เช่น ปลาฉลาม กบ สัตว์เลื้อยคลาน ไก ลิงและคน มีระยะเป็นเอมบริโอจะเจริญเติบโตเป็นขั้นๆ ตั้งแต่ไข่ที่ได้รับการผสมเป็นไซโกตแล้วไซโกตเจริญเป็นตัวเต็มวัย ่คล้ายคลึงกันซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ทางด้านวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต 
     เฮคเคล และ มัลเลอร์ (E.H. Haeckel และ HJ. Muller) 
กล่าวสรุปการเจริญเติบโตตามลำดับของตัวอ่อนว่า " การเจริญเติบโตพัฒนาตามลำดับของสิ่งมีชีวิตจะย้อนรอยลักษณะต่างๆ ของ บรรรพบุรุษ " ซึ่งต่อมาแนวความคิดนี้ได้รับการเชื่อถือ และตั้งเป็นทฤษฎี เรียก ทฤษฎีการย้อนรอยบรรพบุรุษ (The recapitulation theory)

หลักฐานทางพันธุศาสตร์

     ตามหลักทางพันธุศาสตร์  สิ่งมีชีวิตจะต้องเกิดจากสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน หรือเกิดจากสิ่งมีชีวิต    สปีชีส์ (species) เดียวกัน ลักษณะ ทางพันธุกรรมจะถ่ายทอดจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลานรุ่นต่อๆ มาโดยผ่านทางเซลล์สืบพันธุ์ซึ่งมีหน่วยพันธุรรมที่เรียกว่า ยีน (gene) เป็นตัวกำหนดลักษณะเช่นรูปร่างและหน้าที่ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิต ยีนอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ เพราะมีการผันแปรของหน่วยพันธุกรรมเกิดขึ้น จะเห็นได้จากพืชหรือสัตว์ที่มีลักษณะผิดแผกไปจากพ่อแม่ เรียกว่า การผ่าเหล่า หรือ มิวเตชั่น (mutation)ซึ่งอาจได้ลักษณะที่ดีกว่าพ่อแม่ หรืออาจได้ลักษณะที่ไม่ดีเท่าพ่อแม่ก็ได้

วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
ภาพแสดงชนิดและรูปร่างของจะงอยปาก นกฟินช์แห่งเกาะกาลาปากอส
ที่มา รูธ มัวร์ (2527:30 ) 

     ในปัจจุบันมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมากมายหลายสปีชีส์ นอกจากเกิดจากการผ่าเหล่าแล้วอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น สภาพการดื้อยา ( chemical resistance ) เป็นต้น
สภาพดื้อยา (Chemical resistance) ของสิ่งมีชีวิตหลายชนิด เช่นแบคทีเรียชนิด Escherichia coli 
ดื้อยาสเตรปโตมัยซิน (Streptomycin) และแมลงหวี่ Drosophilia melanogaster ดื้อยา ดีดีที สัตว์ทั้งสองนี้จะมีพฤติกรรมเหมือนกัน คือเมื่อได้รับยาครั้งแรกแบคทีเรียและแมลงหวี่ส่วนใหญ่จะตาย ส่วนน้อยที่เหลืออยู่รอดจะสืบพันธุ์เพิ่มจำนวนอีกหลายชั่วรุ่น ได้ประชากรที่ไม่ตายเพราะพิษของยาอีก เป็นเพราะประชากรส่วนน้อยที่เหลืออยู่ในระยะแรกสามารถต้านทานยาได้ทำให้ไม่ตายหรือรับยาปริมาณน้อยทำให้ยีนเกิดการเปลี่ยนแปลง แบคทีเรียและแมลงหวี่ที่รอดตายจะถ่ายทอดลักษณะต้านทานยาให้กับลูกหลานรุ่นต่อมา ทำให้ลูกหลานรุ่นหลังไม่ตายแม้จะได้รับยา เรียกสภาพนี้ว่าการดื้อยา


ที่มา : https://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=1544

อัพเดทล่าสุด