ทฤษฎี หลักการ แนวคิด ของรูปแบบการเรียนการสอน


750 ผู้ชม


เสนอรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านพุทธิพิสัย(Cognitive domain) ว่าเป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่มุ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระต่าง ๆ ซึ่งเนื้อหาสาระอาจจะอยู่ในรูปของข้อมูล ข้อเท็จจริง มโนทัศน์ หรือความคิดรวบยอด   
 ทฤษฎี หลักการ แนวคิด ของรูปแบบการเรียนการสอน

0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

  • krushakirin
  • บุคคลทั่วไป


ทฤษฎี  หลักการ  แนวคิด   ของรูปแบบการเรียนการสอน

1. ทฤษฎี  หลักการ  แนวคิด   ของรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านพุทธิพิสัย (Cognitive    domain) 
                  ทิศนา  แขมณี(2545 : 223 - 230) ได้เสนอรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านพุทธิพิสัย(Cognitive   domain)  ว่าเป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่มุ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระต่าง ๆ  ซึ่งเนื้อหาสาระอาจจะอยู่ในรูปของข้อมูล  ข้อเท็จจริง  มโนทัศน์  หรือความคิดรวบยอด  ซึ่งมีหลายรูปแบบแต่ขอนำเสนอในบทนี้เพียง  3  รูปแบบ   ดังนี้
                 1.1  รูปแบบการเรียนการสอนมโนทัศน์
                 1.2  รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดของกานเย
                 1.3  รูปแบบการเรียนการสอนเน้นความจำ
1.1 รูปแบบการเรียนการสอนมโนทัศน์    
          ก. ทฤษฎี  หลักการ  แนวคิด  ดังนี้
จอยส์และวิลส์ (ทิศนา    แขมณี. 2545 : 223 ; อ้างอิงจาก Joyce & Weil , 1996 : 161 – 178) ได้พัฒนารูปแบบนี้ขึ้นโดยใช้แนวคิดของบรุนเนอร์    กู๊ดนาว  และออสติน เกี่ยวกับการเรียนรู้มโนทัศน์ที่ว่า  “การเรียนรู้มโนทัศน์ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น  สามารถทำได้โดยการค้นหาคุณสมบัติเฉพาะที่สำคัญของสิ่งนั้น   เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการจำแนกสิ่งที่ใช่และไม่ใช่สิ่งนั้นออกจากกัน” 
          ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มโนทัศน์ของเนื้อหาสาระต่าง ๆ  อย่างเข้าใจและสามารถให้คำนิยามของมโนทัศน์นั้นได้ด้วย
ตนเอง
         ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1    ผู้สอนเตรียมข้อมูลสำหรับให้ผู้เรียนฝึกหัดจำแนก
               1)   ผู้สอนเตรียมข้อมูล  2  ชุด  ชุดหนึ่งเป็นตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอน  อีกชุดหนึ่งไม่ใช่ตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอน
               2)   ในการเลือกตัวอย่างข้อมูล  2  ชุดข้างต้น  ผู้สอนจะต้องเลือกหาตัวอย่างที่มีจำนวนมากพอที่จะครอบคลุมลักษณะของมโนทัศน์ที่ต้องการนั้น
               3)   ถ้ามโนทัศน์ที่ต้องการสอนเป็นเรื่องยากหรือซับซ้อนหรือเป็นนามธรรมอาจใช้วิธีการยกเป็นตัวอย่างเรื่องสั้น ๆ  ที่ผู้สอนแต่งขึ้นเองนำเสนอแก่ผู้เรียน
               4)   ผู้สอนเตรียมสื่อการสอนที่เหมาะสมจะใช้ประกอบนำเสนอตัวอย่างมโนทัศน์เพื่อแสดงให้เห็นลักษณะต่าง ๆ  ของมโนทัศน์ที่ต้องการสอนอย่างชัดเจน
ขั้นที่ 2  ผู้สอนอธิบายกติกาในการเรียนให้ผู้เรียนรู้และเข้าใจตรงกัน
   ผู้สอนชี้แจงวิธีการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเข้าใจก่อนเริ่มกิจกรรมโดยอาจสาธิตวิธีการและลองให้ผู้เรียนลองทำตามที่ผู้สอนบอกจนกระทั่งผู้เรียนเกิดความเข้าใจพอสมควร
ขั้นที่ 3  ผู้สอนเสนอข้อมูลตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอน  และข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอน
การนำเสนอข้อมูลตัวอย่างนี้ทำได้หลายแบบ   แต่ละแบบมีจุดเด่น  จุดด้อยดังต่อไปนี้
    1) นำเสนอข้อมูลที่เป็นตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนทีละข้อมูลจนหมดทั้งชุด  โดยบอกให้ผู้เรียนรู้ว่าเป็นตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนแล้วตามด้วยการนำเสนอข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนแต่ละข้อมูล   จนครบหมดทั้งชุดเช่นกัน    โดยบอกให้ผู้เรียนรู้ว่าตัวอย่างชุดหลังนี้ไม่ใช่ชุดที่จะสอน    ผู้เรียนต้องสังเกตตัวอย่างทั้ง  2  ชุด   และคิดหาคุณสมบัติร่วมและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน   เทคนิควิธีนี้ช่วยให้ผู้เรียนสร้างมโนทัศน์ได้เร็ว  แต่ใช้กระบวนการคิดน้อย
     2) เสนอข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนสลับกันไปจนครบ  เทคนิควิธีนี้ช่วยสร้างมโนทัศน์ได้ช้ากว่าเทคนิคแรก   แต่ได้ใช้กระบวนการคิดมากกว่า
       3) เสนอข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนทีละ  1  ข้อมูล   แล้วเสนอข้อมูลที่เหลือทั้งหมดทีละข้อมูลโดยให้ผู้เรียนตอบว่าข้อมูลแต่ละข้อมูลที่เหลือนั้นใช่หรือไม่ใช่ข้อมูลที่จะสอน   เมื่อผู้เรียนตอบ  ผู้สอนจะเฉลยว่าผู้เรียนตอบถูกหรือผิด   วิธีนี้ผู้เรียนจะได้ใช้กระบวนการคิดในการทดสอบสมมติฐานของตนไปทีละขั้นตอน
       4) เสนอข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนทีละ  1  ข้อมูล  แล้วให้ผู้เรียนช่วยกันยกตัวอย่างข้อมูลที่ผู้เรียนคิดว่าใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอน  โดยผู้สอนจะเป็นผู้ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่   วิธีนี้ผู้เรียนจะมีโอกาสคิดมากขึ้น
ขั้นที่ 4   ให้ผู้เรียนบอกคุณสมบัติเฉพาะของสิ่งที่ต้องการสอน
                จากกิจกรรมที่ผ่านมาในขั้นต้น ๆ  ผู้เรียนจะต้องพยายามหาคุณสมบัติเฉพาะตัวของตัวอย่างที่ใช่และไม่ใช่สิ่งที่ผู้สอนต้องการสอน   และทดสอบคำตอบของตน   หากคำตอบของตนผิด  ผู้เรียนก็จะต้องหาคำตอบใหม่   ซึ่งก็หมายความว่าต้องเปลี่ยนสมมติฐานที่เป็นฐานของคำตอบเดิม    ซึ่งก็จะมาจากคุณสมบัติเฉพาะของสิ่งนั้นนั่นเอง
ขั้นที่ 5   ให้ผู้เรียนสรุปและให้คำจำกัดความของสิ่งที่ต้องการสอน
    เมื่อผู้เรียนได้รายการของคุณสมบัติเฉพาะของสิ่งที่ต้องการสอนแล้ว   ผู้สอนให้ผู้เรียนช่วยกันเรียบเรียงให้เป็นคำนิยามหรือจำกัดความ
ขั้นที่ 6   ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายร่วมกันถึงวิธีการที่ผู้เรียนใช้ในการแสวงหาคำตอบให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการคิดของตัวเอง
              ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับเรียนรู้จากแบบ
          เนื่องจากผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มโนทัศน์   จากการคิดวิเคราะห์  และตัวอย่างที่หลากหลาย  ดังนั้นผลที่ผู้เรียนจะได้รับโดยตรง คือ จะเกิดความเข้าใจในมโนทัศน์นั้น  และได้เรียนรู้ทักษะการสร้างมโนทัศน์ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการทำความเข้าใจมโนทัศน์อื่น ๆ  ต่อไปได้  รวมทั้งช่วยพัฒนาทักษะการใช้เหตุผลโดยการอุปนัย (inductive  reasoning) อีกด้วย
1.2 รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดของกานเย (Gangne’s Insfructional Model) 
            ก .ทฤษฎี  หลักการ  แนวคิด  ดังนี้
            (ทิศนา   แขมณี. 2545 : 225 ; อ้างอิงจาก Gangne’ , 1985 : 70 – 90 ) ได้พัฒนาทฤษฎีเงื่อนไขการเรียนรู้ (Condition  of  Learning) ซึ่งมี 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ  ทฤษฎีการเรียนรู้และทฤษฎีการจัดการเรียนการสอน   ทฤษฎีการเรียนรู้ของกานเยอธิบายว่า  ปรากฏการณ์เรียนรู้มีองค์ประกอบ  3  ส่วน คือ 
          1) ผลการเรียนรู้หรือความสามารถด้านต่าง ๆ  ของมนุษย์  ซึ่งมีอยู่  5  ประเภท  คือ         
               - ทักษะทางปัญญา  (Intellectual  skill) ซึ่งประกอบด้วยการจำแนกแยกแยะ  การสร้างความคิดรวบยอด   การสร้างกฎ  การสร้างกระบวนการหรือกฎชั้นสูง        
              - กลวิธีในการเรียนรู้ (Cognitive  strategy) 
              - ภาษาหรือคำพูด (verbal  information)
              - ทักษะการเคลื่อนไหว (motor  skills) 
              - และเจตคติ (attitude) 
          2) กระบวนการเรียนรู้และจดจำของมนุษย์  มนุษย์มีกระบวนการจัดกระทำข้อมูลในสมอง   ซึ่งมนุษย์จะอาศัยข้อมูลที่สะสมไว้มาพิจารณาเลือกจัดกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  และในขณะที่กระบวนการจัดกระทำข้อมูลภายในสมองกำลังเกิดขึ้น   เหตุการณืภายนอกร่างกายมนุษย์มีอิทธิพลต่อการส่งเสริมหรือการยับยั้งการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นภายในได้   ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอน    กานเยจึงได้เสนอแนะว่า  ควรมีการจัดสภาพการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับการเรียนรู้แต่ละประเภท   ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน  และส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ภายในสมอง   โดยการจัดสภาพภายนอกให้เอื้อต่อกระบวนการเรียนรู้ภายในของผู้เรียน
          ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
     เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาสาระต่าง ๆ ได้อย่างดี   รวดเร็ว และสามารถจดจำสิ่งที่เรียนได้นาน
          ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
                กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบกานเย   ประกอบด้วยการดำเนินการเป็นลำดับขั้นตอนรวม  9  ขั้น   ดังนี้
      ขั้นที่ 1   การกระตุ้นและดึงดูดความสนใจของผู้เรียน   เป็นการช่วยให้ผู้เรียนสามารถรับสิ่งเร้า  หรือสิ่งที่จะเรียนรู้ได้ดี
      ขั้นที่ 2   การแจ้งวัตถุประสงค์ของบทเรียนให้ผู้เรียนทราบ  เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้รับรู้ความคาดหวัง
      ขั้นที่ 3   การกระตุ้นให้ระลึกถึงความรู้เดิมเป็นการช่วยให้ผู้เรียนดึงข้อมูลเดิมที่อยู่ในหน่วยความจำระยะยาวให้มาอยู่ในหน่วยความจำเพื่อใช้งาน (working  memory) ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม
      ขั้นที่4   การนำเสนอสิ่งเร้าหรือเนื้อหาสาระใหม่ ผู้สอนควรจะจัดสิ่งเร้าให้ผู้เรียนเห็นลักษณะสำคัญของสิ่งเร้านั่นอย่างชัดเจน  เพื่อความสะดวกในการเลือกรับรู้ของผู้เรียน
      ขั้นที่5   การให้แนวการเรียนรู้  หรือการจัดระบบข้อมูลให้มีความหมาย   เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถทำความเข้าใจกับสาระที่เรียนได้ง่ายและเร็วขึ้น
      ขั้นที่6   การกระต้นให้ผู้เรียนแสดงความสามารถ   เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือสาระที่เรียน   ซึ่งจะช่วยให้ทราบถึงสาระการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน
      ขั้นที่7   การให้ข้อมูลป้อนกลับ  เป็นการให้การเสริมแรงแก่ผู้เรียน  และข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับผู้เรียน
      ขั้นที่8  การประเมินผลการแสดงออกของผู้เรียน  เพื่อช่วยให้ผู้เรียนทราบว่าตนเองสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้มากน้อยเพียงใด
      ขั้นที่9  การส่งเสริมการคงทนและการถ่ายโอนการเรียนรู้  โดยการให้โอกาสผู้เรียนได้มีการฝึกฝนอย่างพอเพียงและในสถานการณ์ที่หลากหลาย   เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น  และสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้ไปสู่สถานการณ์อื่น ๆ ได้
                   ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจาการเรียนตามรูปแบบ
  
                   เนื่องจากการเรียนการสอนตามรูปแบบนี้   จัดขึ้นให้ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และจดจำของมนุษย์   ดังนั้น  ผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้สาระที่นำเสนอได้อย่างดี  รวดเร็วและจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้นาน  นอกจากนั้นผู้เรียนยังได้เพิ่มพูนทักษะในการจัดระบบข้อมูลสร้างความหมายของข้อมูล  รวมทั้งการแสดงความสามารถของตนด้วย
1.3รูปแบบการเรียนการสอนเน้นความจำ  (memory  model)
             ก .ทฤษฎี  หลักการ  แนวคิด  ดังนี้  
            จอยส์และวิลส์ (ทิศนา    แขมณี. 2545 : 229 ; อ้างอิงจาก Joyce & Weil , 1996 : 209 - 231) ได้พัฒนาขึ้นโดยอาศัยหลัก  6  ประการเกี่ยวกับ
               1)   การตระหนักรู้ (awareness) ซึ่งกล่าวว่าการที่บุคคลจะจดจำสิ่งใดได้ดีนั้น  จะต้องเริ่มจากการรับรู้สิ่งนั้น  หรือการสังเกตสิ่งนั้นอย่างตั้งใจ  และ
               2)   การเชื่อมโยง (assosiation) กับสิ่งที่รู้แล้วหรือจำได้
               3)   ระบบการเชื่อมโยง ( link  system) คือระบบในการเชื่อมความคิดหลายความคิดเข้าด้วยกันในลักษณะที่ความคิดหนึ่งจะไปกระตุ้นให้จำอีกความคิดหนึ่งได้ 
               4)   การเชื่อมโยงที่น่าขบขัน (ridiculous assosiation) การเชื่อมโยงที่จะช่วยให้บุคคลจดจำได้ดีนั้น  มักจะเป็นสิ่งที่แปลกไปจากปกติธรรมดา  การเชื่อมโยงในลักษณะที่แปลก  เป็นไปไม่ได้  ชวนให้ขบขัน  มักจะประทับในความทรงจำของบุคคลเป็นเวลานาน
               5)   ระบบการใช้คำทดแทน
               6)   การใช้คำสำคัญ (key  word) ได้แก่  การใช้คำ  อักษรหรือพยางค์เพียงตัวเดียว  เพื่อช่วยกระตุ้นให้จำสิ่งอื่น ๆ  ที่เกี่ยวกันได้
               ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
                รูปแบบนี้มีวัตถุประสงค์ช่วยให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาสาระที่เรียนรู้ได้ดีและได้นาน  และได้เรียนรู้กลวิธีการจำ  ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้สาระอื่น ๆ ได้อีก
               ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
    
               ในการเรียนการสอนสาระใด ๆ ผู้สอนสามารถช่วยให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาสาระนั้นได้ดีและนานโดยการดำเนินการดังนี้
               ขั้นที่1    การสังเกตหรือศึกษาสาระอย่างตั้งใจ
                            ผู้สอนช่วยให้ผู้เรียนตระหนักรู้ในสาระที่เรียน  โดยการใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น  ให้อ่านเอกสารแล้วขีดเส้นใต้คำ / ประเด็นที่สำคัญให้ตั้งคำถามจากเรื่องที่อ่าน  ให้หาคำตอบของคำถามต่าง ๆ  เป็นต้น
               ขั้นที่2   การสร้างความเชื่อมโยง  
         เมื่อผู้เรียนได้ศึกษาสาระที่ต้องเรียนรู้แล้วให้ผู้เรียนเชื่อมโยงเนื้อหาส่วนต่าง ๆ  ที่ต้องการจดจำกับสิ่งที่ตนคุ้นเคย เช่น  กับคำ  ภาพ  หรือความคิดต่าง ๆ   (ตัวอย่างเช่น  เด็กจำไม่ได้ว่าค่ายบางระจัน  อยู่จังหวัดอะไร  จึงโยงความคิดว่า  ชาวบ้านบางระจัญเป็นคนกล้าหาญ  สัตว์ที่ถือว่าเก่งกล้าคือสิงห์โต  บางระจันจึงอยู่ที่จังหวัดสิงห์บุรี) หรือให้หาหรือคิดคำสำคัญที่ไม่คุ้นหรือยากด้วยคำ  ภาพ  หรือความหมายอื่น ๆ  หรือการใช้การเชื่อมโยงความคิดเข้าด้วยกัน
                ขั้นที่3   การใช้จินตนาการเพื่อให้จดจำสาระได้ดีขึ้น  ให้ผู้เรียนใช้เทนนิคการเชื่อมโยงสาระต่าง ๆ  ให้เห็นเป็นภาพที่น่าขบขัน  เกินความเป็นจริง
ขั้นที่4   การใช้เทคนิคต่าง ๆ  ที่ทำไว้ข้างต้นในการทบทวนความรู้และเนื้อหาสาระต่าง ๆ  จนกระทั่งจดจำได้
   
                 ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
    
                  การเรียนโดยใช้เทคนิคช่วยความจำต่าง ๆ ของรูปแบบ  นอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถจดจำเนื้อหาสาระต่าง ๆ  ที่เรียนได้ดีและได้นานแล้ว  ยังช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้กลวิธีการจำ  ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้สาระอื่น ๆ ได้อีกมาก
ที่มา : https://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=1710

อัพเดทล่าสุด