แสงแดด พืชสีเขียว ออกซิเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ในการเกิด Photosynthesis
องค์ประกอบการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
เรื่องที่ 1 คลอโรพลาสต์
เป็นการเตรียมพร้อมก่อนเรียน
ผู้เรียนควรพยายามดึงความรู้ที่มีอยู่แล้ว เพื่อตอบคำถามข้างล่างนี้ หรืออย่างน้อยก็พยายาม
ตริตรองเพื่อทำความเข้าใจในประเด็นของคำถามเหล่านี้
คำถามนำ นักเรียนบอกได้ไหมว่า
- พลังงานแสงอาทิตย์เอาไปใช้ในขั้นตอนใดของกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
- ถ้าเราสกัดคลอโรฟิลล์และสารอื่นๆออกจากคลอโรพลาสต์ และฉายแสงเข้าไปในสารละลายดังกล่าว ท่านคิดว่าสารละลายดังกล่าว จะสามารถตรึงคาร์บอนไดออกไซด์และสร้างน้ำตาลได้หรือไม่
- ถ้าเราใช้ CO2 + H2O + คลอโรฟิลล์ + แสง จะทำให้เกิดการสังเคราะห์ด้วยแสงหรือไม่
จากรูปที่สรุปการสังเคราะห์ด้วยแสงอย่างสังเขป (ในหน้าวัตถุประสงค์ของบทเรียน) ท่านจะนำเอาความรู้เกี่ยวกับแสง พลังงานของแสง สเปคตรัม ปฏิกิริยาระหว่างควันตัมของแสงกับอิเล็กตรอน การใช้พลังงานศักย์ของอิเล็กตรอน การสร้างพันธะโควาเลนท์ และการรีดิวซ์ มาช่วยให้เกิดความเข้าใจได้มากขึ้นอย่างไร
กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะ
1.ให้นักเรียนศึกษาภาพการทดลองและเนื้อแล้วตอบคำถามก่อนที่เราจะได้เรียนกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช เราควรทราบถึงโครงสร้างของคลอโรพลาสต์ การสังเคราะห์ด้วยแสงเกิดขึ้นบริเวณส่วนที่เป็นสีเขียวของพืช เช่น ใบ สีเขียวของใบไม้เกิดขึ้นจากสารคลอโรฟิลล์ ซึ่งทำหน้าที่รับพลังงานจากแสงอาทิตย์ คลอโรฟิลล์พบอยู่ในคลอโรพลาสต์ โครงสร้างของไทลาคอยด์แสดงไว้ในรูป 1.2 พร้อมปฏิกิริยา
รูปที่ 1.1 องค์ประกอบของคลอโรพลาสต์ดังแสดงในรูปที่ 1.1 คลอโรพลาสต์ซึ่งประกอบด้วยเยื่อหุ้ม 2 ชั้น เยื่อหุ้มชั้นในพับซ้อนไปมา เป็นโครงสร้างที่เรียกว่า ไทลาคอยด์ (thylakoid) ซึ่งมีลักษณะคล้ายถุงใส่น้ำ เยื่อหุ้มไทลาคอยด์คือบริเวณที่มีสารสีที่ใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสงอยู่
รูปที่ 1.2 โครงสร้างของไทลาคอยด์ (thylakoid)
ไทลาคอยด์ เป็นโครงสร้างที่ใช้รับพลังงานจากแสงเพื่อใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสง สร้างขึ้นจากส่วนหนึ่งของเยื่อหุ้มชั้นในของคลอโรพลาสต์ (inner membrane) ไทลาคอยด์เรียงซ้อนกันเป็นตั้ง แต่ละตั้งเรียกว่ากรานัม (granum) ในไทลาคอยด์มีโพรงอยู่ภายในเรียกว่าลูเมน (lumen) ซึ่งมีของเหลวอยู่ภายใน ส่วนผนังหุ้มไทลาคอยด์เรียกว่า เยื่อหุ้มไทลาคอยด์ (thylakoid membrane) และจะมีท่อไทลาคอยด์เชื่อมติดต่อระหว่างกรานัมเรียกว่า สโตรมาไทลาคอยด์ (stromal thylakoid) หรือ stromal lamella ส่วนที่อยู่ภายนอกกรานัม เรียกว่า สโตรมา (stroma) ซึ่งประกอบด้วยของเหลวที่เป็นแหล่งของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาที่ไม่ต้องใช้แสง (ปฏิกิริยาตรึงคาร์บอนไดออกไซด์)
รูปที่ 1.3 ภาพตัดขวางของไทลาคอยด์บนเยื่อหุ้มของไทลาคอยด์ นอกจากจะมีสารสีที่ใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสง ยังมีองค์ประกอบสำหรับนำอิเล็กตรอน คือ ระบบแสง II ( photosystem II ) ทำหน้าที่ช่วยปั๊มโปรตอน เข้ามาในไทลาคอยด์ มีระบบไซโตโครม ( cytochrome system ) มีองค์ประกอบที่ช่วยในการสร้าง NADPH คือ ระบบแสง I ( photosystem I ) และสร้าง ATP คือ ATP synthase complex โดยการสร้าง NADPH และ ATP นี้จะเกิดนอกถุงไทลาคอยด์ ซึ่งจะได้ทราบรายละเอียดต่อไป
รูปที่ 1.4 ภาพขยายของเยื่อหุ้มไทลาคอยด์
เยื่อหุ้มไทลาคอยด์เป็นส่วนที่กั้นระหว่างสโตรมาที่อยู่ภายนอกไทลาคอยด์ และลูเมนที่อยู่ภายในไทลาคอยด์ โดยมีระบบแสง II (photosystem II หรือ P680) ระบบไซโตโครม (cytochrome system) ระบบแสง I (photosystem I หรือ P700) ทำหน้าที่ส่งผ่านอิเล็กตรอน โดยมีเอนไซม์ NADP reductase เป็นตัวสร้าง NADPH และเอนไซม์ ATP synthase เป็นตัวสร้าง ATP หน้าที่ของแต่ละองค์ประกอบมีโดยสรุปดังต่อไปนี้
ระบบแสง II ทำหน้าที่รับพลังงานแสงจากศูนย์เกิดปฏิกิริยา (reaction center) และส่งอิเล็กตรอน ซึ่งจะเคลื่อนที่ไปสู่ตัวรับส่ง อิเล็กตรอนตัวอื่นๆ เช่น ระบบไซโตโครมต่างๆ และระบบแสง I ส่วนอิเล็กตรอนที่สูญเสียไป จากระบบแสง II (P 680) ก็จะได้รับทดแทนมาจากการแตกตัวของโมเลกุลของน้ำไปเป็นโปรตอน อิเล็กตรอน และ ก๊าซออกซิเจน ( โปรดดูรายละเอียดในรูปที่ 2.4 และ 2.7 )
- ระบบไซโตโครม (cytochrome b6/f) ทำหน้าที่ส่งผ่านอิเล็กตรอน ซึ่งพลังงานจากการเคลื่อนที่ของ อิเล็กตรอนจะช่วยทำให้โปรตอนเคลื่อนที่จากภายนอกไทลาคอยด์หรือ สโตรมา เข้ามาภายในไทลาคอยด์ หรือลูเมน
- ระบบแสง I หน้าที่ส่วนหนึ่งคือรีดิวซ์ (reduce) สาร NADP+ ( ในที่นี้หมายความว่า NADP+ ได้รับอิเล็กตรอน และ/หรือ ไฮโดรเจน ) ไปเป็น NADPH ระบบแสง I ถูกกระตุ้นโดยอิเล็กตรอนที่ถูกส่งผ่านมาจากระบบไซโตโครมและส่งต่อไป เพื่อทำให้ NADP+ เปลี่ยนเป็น NADPH ( โปรดดูรายละเอียดในรูปที่ 2.4 - 2.6 )
- กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชต้องใช้ระบบแสง 2 ระบบทำงานร่วมกันคือระบบแสง I และระบบแสง II ซึ่งได้พิสูจน์โดยการทดลองของ R.Emerson
ATP synthase ทำหน้าที่สร้าง ATP จาก ADP และ Pi
ATP และ NADPH ที่ได้นี้จะนำไปใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงขั้นต่อไป คือปฏิกิริยาที่ไม่ต้องใช้แสง
ดูรายละเอียดของปฏิกิริยาที่ใช้แสง และปฏิกิริยาที่ไม่ใช้แสงในบทที่ 2 และ 3ตามลำดับ
ที่มา : https://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=1975