เด็กดักแด้

เด็กดักแด้
โรคดักแด้ หรือ Epidermolysis Bullosa (EB) อยู่ ในกลุ่มโรคประเภทโรคผิวหนัง ซึ่งเกิดจากความผิดปกติที่ไม่ค่อยพบนัก มีสาเหตุจากการกลายพันธุ์จากยีนเคราติน มีอาการผิวแห้ง บอบบางอย่างรุนแรงและมีแผลพุพอง   
เด็กดักแด้

โรคดักแด้

         ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.นครปฐม พบมีเด็กป่วยเป็นโรคดักแด้ 1 ราย อายุ 4 เดือนเศษ คลอดก่อนกำหนดที่ รพ.ศูนย์นครปฐม ตอนอายุครรภ์ประมาณ 7 เดือนเศษ น้ำหนักแรกคลอด 1,500 กรัม มีผิวแข็งคล้ายเล็บไก่ ดวงตาปิดไม่ลง คล้ายตาถลน หูไม่ยอมกาง แพทย์ต้องนำไปรักษาต่อ โดยค่อยๆ ถอดผิวออก จนเหลือผิวปกติ แต่มีลักษณะแห้ง
ที่มาของข่าว : htts://news.sanook.com/

เด็กดักแด้  เด็กดักแด้  เด็กดักแด้  เด็กดักแด้  เด็กดักแด้  เด็กดักแด้  เด็กดักแด้     

กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ช่วงชั้นที่ 3 - 4
สาระที่ 1   สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต
        มาตรฐาน  ว 1.1   เข้าใจหน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต  ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตที่ทำงานสัมพันธ์กัน  มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และนำความรู้ไปใช้ในการดำรงชีวิตของตนเองและดูแลสิ่งมีชีวิต
        มาตรฐาน ว 1.2   เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม  วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต  ความหลากหลายทางชีวภาพ  การใช้เทคโนโลยีชีวภาพที่มีผลต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม  มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์  สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปประโยชน์

เด็กดักแด้

แหล่งที่มา : htts://122.155.0.199/jabchai/images_joke/7587/7587-2.jpg

          โรคดักแด้ หรือ Epidermolysis Bullosa (EB) อยู่ ในกลุ่มโรคประเภทโรคผิวหนัง ซึ่งเกิดจากความผิดปกติที่ไม่ค่อยพบนัก มีสาเหตุจากการกลายพันธุ์จากยีนเคราติน มีอาการผิวแห้ง บอบบางอย่างรุนแรงและมีแผลพุพอง โรคนี้ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะในสหราชอาณาจักรทางช่อง 4 รายการ The Boy Whose Skin Fell Off, chronicling the life and death of English sufferer Jonny Kennedy.

          ลอง จินตนาการถึงผู้ที่เจ็บปวดจากบาดแผลคล้ายแผลไฟไหม้ไปทั่วร่าง โดยที่บาดแผลเหล่านี้จะไม่หายไป สำหรับเด็ก การขี่จักรยาน เล่นเสก็ต หรือเล่นกีฬาอื่นๆเป็นสิ่งยากลำบากเพราะกิจกรรมปกติจะทำให้เกิดความเจ็บปวด เรื้อรัง แผลอาจปกคลุมถึง75%ของร่างกาย แผลในปากและหลอดอาหารทำให้ผู้ป่วยกินได้เพียงน้ำและอาหารอ่อนๆ เด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้ถูกเรียกว่า “เด็กผีเสื้อ” เพราะผิวของพวกเขาเปราะบางเหมือนปีกผีเสื้อนั่นเอง

          รศ. พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวว่า “เด็กดักแด้” หรือ “โรคเกล็ดปลา” เป็น อาการของโรคผิวหนังแห้งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมพบได้ไม่บ่อยนัก ลักษณะของเด็กที่เกิดมาจะมีเปลือกบาง ๆ มัน ๆ หุ้มอยู่ เหมือนกับดักแด้  ตัว แดง หนังลอก ตกสะเก็ดไปทั้งตัว และอาจมีตาปลิ้น ปากปลิ้น ร่วมด้วย ส่วนในคนไข้ที่มีอาการรุนแรง เมื่อแรกเกิดมักจะมีเปลือกหนา ๆ คลุมจมูก ใบหู ซึ่งกรณีหลังเด็กมักเสียชีวิตตั้งแต่แรกเกิด
 
          ความผิดปกติของเด็กดักแด้จะอยู่ที่เซลล์ผิวหนัง ปกติเซลล์ผิวหนังจะแบ่งตัวและเคลื่อนตัวขึ้นมาเปลี่ยนเป็นหนังกำพร้า และหนังกำพร้าจะถูกย่อยให้ละเอียดลงและหลุดออกไปเป็นหนังขี้ไคล แต่ในเด็กดักแด้ชั้นหนังกำพร้าจะไม่ยอมย่อย จะแข็งติดอยู่ ก็เลยทำให้หนาขึ้นเรื่อย ๆ

          โรคนี้แบ่งความรุนแรงได้หลายระดับ แต่ที่พบบ่อยที่สุดกลุ่มนี้จะถ่ายทอดทางกรรมพันทางยีน (gene) เด่นและยีนด้อย โดยปกติพบบ่อยในยีนเด่น คือถ้าหากพ่อหรือแม่เป็น ลูกก็จะมีโอกาสมีผิวแห้งสูง อาการจะปรากฏตั้งแต่ตอนเป็นทารกตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป ผิวจะแห้งตามแขนขาทั้งสองข้างลักษณะคล้ายเกล็ดปลา และตามฝ่ามือฝ่าเท้าก็จะแห้งเห็นเป็นเส้นลายมือชัด

          อาการ รุนแรงอื่นๆ ที่พบได้ ถ้าเป็นรุนแรงมากผิวจะแห้งลอกทั้งตัวตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของยีนด้อย ตัวอย่างเช่น เด็กดักแด้ เซลล์ผิวหนังจะสร้างมากผิดปกติแต่ไม่หลุดออกไป กรณีเด็กดักแด้นี้ต้องปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เล็กๆ ไปจนตลอดชีวิต ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ แต่จะอยู่ในกรณีของยีนด้อย สำหรับคนไข้ที่พบได้บ่อยๆ มักจะเป็นเฉพาะผิวหนังบางส่วนเท่านั้น

 โรคนี้สามารถแบ่งประเภทได้ดังนี้

1.Epidermolysis Bullosa simplex

เด็กดักแด้

                   EB Simplex มัก เป็นโดยกำเนิดจากยีนเด่นในโครโมโซมร่างกาย พ่อแม่คนหนึ่งของผู้ป่วยอาจมีอาการเช่นกันดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ อาการจะปรากฏ บุคคลที่เป็นEB Simplexไม่ว่าชายหรือหญิงมีโอกาสส่งผ่านอาการนี้สู่ลูกได้ ในการตั้งครรภ์หนึ่งครั้งมีโอกาส1ใน2ที่บุตรจะเป็นโรคนี้ด้วย
ปัจจัยที่เร่งการเกิดแผลมีดังนี้
     1.ความเครียดทางกาย
     2.ความเครียดทางอารมณ์
     3.อากาศร้อน
     4.การติดเชื้อ
     5.การมีวุฒิภาวะทางเพศ

แหล่งที่มา : htts://www.ebinfoworld.com/graphics/simplex_2.jpg

2.Junctional Epidermolysis Bullosa

เด็กดักแด้

                  

                 junctional EB โดย กำเนิดคือความผิดปกติของยีนด้อยในโครโมโซมร่างกาย คือพ่อแม่ของผู้ป่วยทั้งคู่แข็งแรงแต่เป็นพาหะของโรคคือไม่แสดงอาการ เมื่อมีบุตรจะมีโอกาส25%ที่บุตรจะเป็นโรคนี้ โชคร้ายคือ ยังไม่มีการตรวจหาพาหะของJEBได้ จะรู้ได้ต่อเมื่อบุตรเกิดมา

แหล่งที่มา : htts://www.ebinfoworld.com/graphics/junc_2.jpg

เด็กดักแด้ เด็กดักแด้ เด็กดักแด้ เด็กดักแด้ เด็กดักแด้ เด็กดักแด้ เด็กดักแด้ เด็กดักแด้ เด็กดักแด้ เด็กดักแด้ เด็กดักแด้ เด็กดักแด้

3.Dystrophic Epidermolysis Bullosa

เด็กดักแด้

               

                  Dystrophic Epidermolysis Bullosaสามารถแบ่งออกเป็น2ประเภทคือ
      1.)Dominant Dystrophic Epidermolysis Bullosa (DEBจากยีนเด่น)
     2.)Recessive Dystrophic Epidermolysis Bullosa (DEBจากยีนด้อย) โดยมีประเภทย่อยของRDEBดังนี้
              -Recessive Dystrophic Epidermolysis Bullosa- Hallopeau Siemens 
              -Recessive Dystrophic EB-non Hallopeau Siemens 
              -Recessive Dystrophic EB inversa

แหล่งที่มา : htts://www.ebinfoworld.com/graphics/rdeb-hands.jpg

           อาการทั่วไปของเด็กดักแด้ คือ เมื่อหนังแห้งจะตึงและหดตัว ตอนแรกผิวหนังก็ชุ่มฉ่ำเพราะยังอยู่ในน้ำคร่ำ พอคลอดออกมาโดนอากาศ ผิวหนังจะแห้ง พอผิวหนังแห้งจะเกิดการรัดตัว หดตัว และดึงทุกส่วนที่เป็นช่องเปิดเช่น ตา หนังเยื่อบุตาจะปลิ้นออกมา ดึงตรงปากเยื่อบุปากก็จะปลิ้นออกมา ทำให้เกิดปัญหา ตาปิดไม่สนิท เกิดการระคายเคือง แก้วตาขุ่นมัว หรือ ถ้าปากปลิ้นก็จะทำให้เด็กดูดนม ดูดน้ำไม่ได้ 
 
          เด็กดักแด้ที่อาการไม่รุนแรงสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ ถ้าให้อาหารและน้ำเพียงพอ สามารถควบคุมความชุ่มชื้นของผิวหนังได้ เพราะเด็กที่เป็นโรคนี้จะไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิของร่างกายได้ ทำให้เด็กมีไข้ ไม่สบาย และจะมีการสูญเสียของน้ำทางผิวหนังมาก ถ้าผ่านจุดนี้ไปได้ก็อาจจะมีชีวิตรอดได้ แต่หากผ่านจุดนี้ไม่ได้ก็อาจทำ ให้เสียชีวิตจากการเสียน้ำ หรือติดเชื้อ เกิดขึ้น
 
          การรักษาจึง มุ่งเน้นให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวหนังเพิ่มขึ้นควรใช้ครีมหรือน้ำมันทาผิว เนื่องจากโลชั่นจะมีส่วนผสมเป็นน้ำมากกว่า จึงแห้งหรือระเหยเร็วกว่านั่นเอง แต่ถ้าทาครีมที่มีน้ำมันมากไปก็ไม่ดี เพราะจะไปอุดตันทำให้การถ่ายเทอุณหภูมิของร่างกายไม่ดี ดังนั้นการทาครีมต้องระวังควรทาแต่พอดี มิใช่ทาเหนอะหนะจนเกินไป เพราะจะทำให้การถ่ายเทความร้อนไม่ดี มีไข้ตลอดเวลา และเพื่อป้องกันมิให้หนังแข็งหนังปริ เป็นแผลติดเชื้อก็ต้องดูแลรักษาความสะอาดของผิวหนัง ซึ่งการรับประทานยาในกลุ่มกรดไวตามินเอ จะทำให้เด็กค่อย ๆ ดีขึ้น 
 
          ต้องยอมรับว่า โรคนี้สร้างความทุกข์ทรมานทั้งตัวเด็กเองและพ่อแม่ของเด็ก เพราะพ่อแม่ต้องคอยดูแลเอาใจใส่ลูกเป็นอย่างมาก ดังนั้นถ้าลูกเกิดมาเป็นโรคนี้ การมีลูกคนต่อไปจะต้องให้ความรู้คู่สมรสว่า ลูกคนต่อไปมีโอกาสเป็นโรคนี้สูงมาก ถ้าเป็นไปได้ไม่ควรมีบุตรอีกต่อ ไป ก็จะสามารถป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นได้.

          สถิติ ในต่างประเทศพบผู้เป็นโรคผิวแห้งนี้อยู่ระหว่าง 1/50,000 - 1/100,000 และเด็กกว่าหนึ่งแสนคนในสหรัฐอเมริกาป่วยเป็นโรคนี้แต่ในประเทศไทยจะไม่มีสถิติที่แน่นอน


 ***เหตุ ที่ข้าพเจ้าเลือกศึกษาเรื่องโรคดักแด้นี้เพราะเคยเห็นจากในข่าวและสนใจ เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่พบเห็นบ่อยนัก รวมทั้งอาการที่ปรากฏก็แปลก ครั้งแรกที่ลงมือศึกษาอย่างจริงจังและได้พบเห็นรูปของผู้ป่วยโรคนี้เข้าถึง กับเศร้าสลดเพราะเป็นโรคที่ทรมาน รู้สึกสงสารเด็กที่เป็นโรคนี้มากเนื่องจากการรักษาที่ทำให้หายขาดก็ไม่มี เป็นโรคที่ข้าพเจ้าไม่อยากให้เกิดกับใครสักคนโรคหนึ่งทีเดียว  (ความคิดเห็นและความรู้สึกของ น้องจริยา  ผู้ค้นคว้า ซึ่งเราๆท่านๆ เมื่อได้อ่านก็คงมีความรู้สีกไม่แตกต่างกันนัก)

บรรณานุกรม

www.d-looks.com/showblog.php?Bid=13198  

www.clinicdek.com/index.php?option=com_content&task=view&id=644&Itemid=32  

htts://en.wikipedia.org/wiki/Epidermolysis_bullosa  

www.ebkids.orgwww.ebinfoworld.com  

ผู้เขียน : สุวิชช ถิระพงษ์
หน่วยงาน : สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2
อาทิตย์ ที่ 13 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2554

ที่มา : htts://www.ayutthaya2.org/km/?name=research&file=readresearch&id=767 

น้องอ้อม ผู้ป่วยโรคเด็กดักแด้
ที่มา : htts://www.youtube.com/watch?v=jmLjK8cbqUk&playnext=1&list=PLE7E17D45F743D7BD

 ที่มา : htts://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=3503