อันตรายกัมมันตภาพรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ " ฟูกูชิมะ ไดอิจิ " ปนเปื้อนถึงไทย
พบกัมมันตภาพรังสีปนเปื้อนใน ผักอูโด (Udo) นำเข้าจากญี่ปุ่น
ภาพผักจากประเทศญี่ปุ่น
จากเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ " ฟูกูชิมะ ไดอิจิ " ในจังหวัดฟูกูชิมะ ของญี่ปุ่น ระบบหล่อเย็น
ของเตาปฏิกรณ์ไม่ทำงาน และกัมมันตภาพรังสีจากแท่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์รั่วไหลสู่ภายนอก
จากผลของแผ่นดินไหวและสึนามิที่เกิดขึ้น ทำให้พบกัมมันตภาพรังสีปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2554 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ตรวจนักท่องเที่ยว
คนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศญี่ปุ่นที่ได้ซื้อผักอูโด (Udo) กลับมารับประทาน จำนวน 1 กิโลกรัม
ผลการตรวจพบสารไอโอดีน -131 ปริมาณ 12.92 เบคเคอเรลต่อกิโลกรัม ซีเซียม -134
ปริมาณ 3.50 เบคเคอเรลต่อกิโลกรัม และซีเซียม -137 ปริมาณ 5.12 เบคเคอเรลต่อกิโลกรัม
แม้ว่าสารทั้ง 3 ชนิดจะไม่ได้เกินค่ามาตรฐาน แต่ได้อายัดทั้งหมด เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
จากนี้จะหารือกับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) ในการนำไปศึกษาหรือทำลายทิ้งต่อไป
(ที่มาไทยรัฐออนไลน์ https://www.thairath.co.th/content/edu/160423)
ผักอูโด(Udo) เป็นผักพื้นเมืองตามฤดูกาล (Sansai) ของญี่ปุ่นที่มักจะเกิดตามบนภูเขา ในประเภท
เดียวกับผักอื่น ๆ เช่น ทาระ(Tara) ,ฟุคิโนโท(Fukinotou),โคโกะมิ(Kogomi..คล้ายผักกูด) ฯลฯ
ที่มีรสเผ็ด หรือ ขื่นเล็กน้อยก็นิยมนำมาชุบแป้งทอด เทมปุระเพื่อให้ทานง่ายขึ้นกลายเป็นของอร่อย
เนื้อหาเกี่ยวข้องกับ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ทุกระดับชั้น และผู้สนใจทั่วไป
สาระที่ 3 สารและสมบัติของสาร
มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจสมบัติของสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยว
ระหว่างอนุภาค มีกระบวนการสืบเสาะ หาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้
นำความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจหลักการและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร การเกิดสารละลาย
การเกิดปฏิกิริยา มีกระบวนการสืบเสาะ หาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้
และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
เรื่อง กัมมันตภาพรังสี
ธาตุกัมมันตรังสี (radioactive element) คือธาตุพลังงานสูงกลุ่มหนึ่งที่สามารถแผ่รังสี
แล้วกลายเป็นอะตอมของธาตุใหม่ได้
กัมมันตภาพรังสี คือ ปรากฏการณ์ที่ธาตุแผ่รังสีได้เองอย่างต่อเนื่อง
ปฏิกิริยาธาตุกัมมันตภาพรังสี
รังสีที่แผ่ออกมาจากธาตุนั้น แบ่งเป็น 3 ชนิดคือ
1.รังสีแอลฟา (สัญลักษณ์: α) คุณสมบัติ เป็นนิวเคลียสของอะตอมฮีเลียม (42He) มี p+ และ n อย่างละ
2 อนุภาค ประจุ +2 เลขมวล 4 อำนาจทะลุทะลวงต่ำ เบี่ยงเบนในสนามไฟฟ้าเข้าหาขั้วลบ
2.รังสีบีตา (สัญลักษณ์: β) คุณสมบัติ เหมือน e- อำนาจทะลุทะลวงสูงกว่า α 100 เท่า ความเร็วใกล้เสียง เบี่ยงเบนในสนามไฟฟ้าเข้าหาขั้วบวก
3.รังสีแกมมา (สัญลักษณ์: γ) คุณสมบัติเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Wave) ที่มี
ความยาวคลื่นสั้นมากไม่มีประจุและไม่มีมวล อำนาจทะลุทะลวงสูงมาก ไม่เบี่ยงเบนในสนามไฟฟ้า
เกิดจากการที่ธาตุแผ่รังสีแอลฟาและแกมมาแล้วยังไม่เสถียร มีพลังงานสูง จึงแผ่เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เพื่อลดระดับพลังงาน
ประโยชน์ของธาตุกัมมันตรังสี
นำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านต่าง ๆ มากมายทั้งในด้านการแพทย์ การเกษตร
อุตสาหกรรม รวมจนถึงด้านธรณีวิทยาการหาอายุของวัตถุต่าง ๆ โดยธาตุกัมมันตรังสีที่มีการใช้ประโยชน์
กันอย่างกว้างขวาง ได้แก่
1. ยูเรเนียม-235 (U-235) ใช้สำหรับเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ ใช้ใน
อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องบินและยานอวกาศ และใช้ในการผลิตรังสีเอ็กซ์ (X-ray) ซึ่งมีพลังงานสูง
2. โคบอลต์-60 (Co-60) เป็นธาตุกัมมันตรังสีที่สามารถแผ่กัมมันตรังสีชนิดแกมมา
ซึ่งมีผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ได้ จึงมีการนำมาใช้ในการยับยั้งการเจริญเติบโต
เชื้อจุลินทรีย์ในอาหาร ผักและผลไม้ และนำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง
3. คาร์บอน-14 (C-14) เป็นธาตุกัมมันตรังสีที่สามารถพบได้ในวัตถุต่าง ๆ เกือบทุกชนิด
บนโลก จึงสามารถนำระยะเวลาครึ่งชีวิตของธาตุนี้มาใช้ในการคำนวณหาอายุของวัตถุโบราณ
อายุของหินและเปลือกโลกและอายุของซากฟอสซิลต่าง ๆ ได้ (C-14 มีครึ่งชีวิตประมาณ 5,730 ปี)
4. ฟอสฟอรัส-32 (P-32) เป็นสารประกอบกัมมันตรังสีที่สามารถละลายน้ำได้
มีระยะเวลาครึ่งชีวิตประมาณ 14.3 วัน ทางการแพทย์นำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งของเม็ดโลหิตขาว
(ลิวคีเมีย) โดยให้รับประทานหรือฉีดเข้าในกระแสโลหิต นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการตรวจหา
เซลล์มะเร็ง และตรวจหาปริมาณโลหิตของผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัด
อันตรายจากธาตุกัมมันตรังสี
อันตรายจากธาตุกัมมันตรังสีเกิดขึ้นได้ เนื่องจากหากร่างกายของสิ่งมีชีวิตได้รับกัมมันตรังสีใน
ปริมาณที่มากเกินไปจะทำให้โมเลกุลของน้ำ สารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ต่าง ๆ ในร่างกายเสียสมดุล
ทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ในร่างกาย ซึ่งจะทำให้สิ่งมีชีวิตเกิดความเจ็บป่วย หรือหากได้รับใน
ปริมาณมากก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับรังสีจึงจะต้องมีอุปกรณ์ที่ช่วยป้องกัน
อันตรายจากรังสี และมีการกำหนดระยะเวลาในการทำงานเพื่อไม่ให้สัมผัสกับรังสีเป็นเวลานานเกินไป
ปริมาณรังสีที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์
2.2 มิลลิซีเวิร์ด เป็นระดับรังสีปกติในธรรมชาติ ที่มนุษย์แต่ละคนได้รับใน 1 ปี
5 มิลลิซีเวิร์ด เป็นเกณฑ์รังสีสูงสุดที่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปรับได้ใน 1 ปี
50 มิลลิซีเวิร์ด เป็นเกณฑ์สูงสุดที่อนุญาติให้ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับรังสีรับได้ใน 1 ปี
250 มิลลิซีเวิร์ด เป็นระดับที่ไม่ทำให้ร่างกายปรากฏอาการผิดปกติ ทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว
500 มิลลิซีเวิร์ด ทำให้ปริมาณเม็ดเลือดขาวลดลงเล็กน้อย
1,000 มิลลิซีเวิร์ด ทำให้เกิดอาการคลื่นเหียน อ่อนเพลีย และมีปริมาณเม็ดเลือดขาวลดลง
3,000 มิลลิซีเวิร์ด ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย อาเจียน ท้องเสีย เม็ดเลือดขาวลดลง ผมร่วง
เบื่ออาหาร ตัวซีด คอแห้ง มีไข้ และอาจเสียชีวิตได้ภายใน 3-6 สัปดาห์
6,000 มิลลิซีเวิร์ด ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย อาเจียน ท้องเสีย ท้องร่วงภายใน 1-2 ชั่วโมง
เม็ดเลือดลดลงอย่าง รวดเร็ว ผมร่วง มีไข้ อักเสบบริเวณปากและลำคออย่าง
รุ่นแรงและมีโอกาสเสียชีวิตได้ถึง 50% ภายใน 2-6 สัปดาห์
10,000 มิลลิซีเวิร์ด ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย อาเจียน ท้องเสีย ท้องร่วงภายใน 1-2 ชั่วโมง
เม็ดเลือดลดลงอย่าง รวดเร็ว ผมร่วง มีไข้ อักเสบบริเวณปากและลำคอ
อย่างรุ่นแรง ผิวหนังพองบวม ผมร่วง และเสียชีวิตภายใน 2-3 สัปดาห์
การเกิดปฏิกิริยาของธาตุกัมมันตรังสี
การเกิดปฏิกิริยาของธาตุกัมมันตรังสี เรียกว่า ปฏิกิริยานิวเคลียร์ ซึ่งมี 2 ประเภท คือ
1. ปฏิกิริยาฟิชชัน (Fission reaction) คือ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากการยิงอนุภาค
นิวตรอนเข้าไปยังนิวเคลียสของธาตุหนัก แล้วทำให้นิวเคลียร์แตกออกเป็นนิวเคลียร์ที่เล็กลงสองส่วนกับ
ให้อนุภาคนิวตรอน 2-3 อนุภาค และคายพลังงานมหาศาลออกมา ถ้าไม่สามารถควบคุมปฏิกิริยาได้อาจ
เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงที่เรียกว่า ลูกระเบิดปรมาณู (Atomic bomb) เพื่อควบคุมปฏิกิริยาลูกโซ่
ไม่ให้เกิดรุนแรงนักวิทยาศาสตร์จึงได้สร้างเตาปฏิกรณ์ปรมาณูเพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า
ปฏิกิริยาฟิชชัน
2. ปฏิกิริยาฟิวชัน (Fusion reaction) คือ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่นิวเคลียสของธาตุเบาหลอมรวมกันเข้า
เป็นนิวเคลียสที่หนักกว่า และมีการคายความร้อนออกมาจำนวนมหาศาลและมากกว่าปฏิกิริยาฟิชชันเสียอีก
ปฏิกิริยาฟิวชันที่รู้จักกันดี คือ ปฏิกิริยาระเบิดไฮโดรเจน (Hydrogen bomb)
ปฏิกิริยาฟิวชัน
หน่วยของรังสีและกัมมันตภาพรังสี
หน่วย คือ ชื่อเฉพาะที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้บอกขนาดและปริมาณของสิ่งต่างๆ
หน่วยของรังสีและกัมมันตภาพรังสี มีดังต่อไปนี้
ปริมาณ หน่วยเดิม หน่วยใหม่ (SI unit)
กัมมันตภาพรังสี (Radioactivity) คูรี (Ci) เบคเคอเรล (Bq)
รังสีที่ถูกดูดกลืน (Absorbed dose) แรด (Rad) เกรย์ (Gy)
รังสีที่ทำให้อากาศแตกตัว (Exposure) เรินท์เกน (R) คูลอมบ์ต่อกิโลกรัม (C/kg)
รังสีสมมูล (Dose Equivalent) เรม (Rem) ซีเวิร์ต (Sv)
ข้อมูลพิเศษ
ปริมาณสารกัมมันตรังสีวัดด้วยหน่วย เบ็กเคอเรล (Becquerel ; Bq) โดยที่ 1 เบ็กเคอเรล
คือสารกัมมันตรังสีนั้นมีการเปลี่ยนแปลงในนิวเคลียสและให้รังสีออกมา 1 ครั้งต่อวินาที
ซีเวิร์ต (Sv) เป็นหน่วยสำหรับวัดปริมาณรังสีสมมูลที่บุคคลได้รับ (dose equivalent) มีความ
ซับซ้อนกว่าที่วัตถุได้รับโดยปกติการได้รับรังสีของบุคคลในชีวิตประจำวัน น้อยกว่า 1 เรมมาก
หน่วยซีเวิร์ตจึงกลายเป็นหน่วยใหญ่ โดยทั่วไปจึงใช้เป็นมิลลิซีเวิร์ต
1 ซีเวิร์ต เท่ากับ 100 เรม
ภาพ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ " ฟูกูชิมะ ไดอิจิ " ในจังหวัดฟูกูชิมะ ของญี่ปุ่น
การระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ " ฟูกูชิมะ ไดอิจิ " ที่มา youtube.com
*** กัมมันตรังสีถึงจะมีประโยชน์มหาศาลก็มีโทษมหันต์ได้เหมือนกันนะคะ ***
คำถาม VIP ชวนคิด
1. กัมมันตภาพรังสี คืออะไร
2. กัมมันตภาพรังสี และธาตุกัมมันตรังสีต่างกันอย่างไร
3. ปฏิกิริยาของธาตุกัมมันตรังสี มีกี่ชนิด
4. หน่วย 1 ซีเวิร์ตมีค่าเท่ากับกี่เรม
5. ยูเรเนียม-235 (U-235) ใช้ประโยชน์ในด้านใด
กิจกรรมเสนอแนะ
1. ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเรื่องกัมมันตภาพรังสี เพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น ห้องสมุด
อินเตอร์เน็ต
2. ให้นักเรียนค้นคว้าและนำเสนอแนวทางในป้องกันอันตรายจากการกัมมันตภาพรังสี
การบูรณาการ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี
กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
ขอขอบคุณ สำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ กระทรวงพลังงาน
และแหล่งข้อมูลอ้างอิงเนื้อหาและรูปภาพประกอบ ดังนี้
1. https://www.thairath.co.th/content/edu/160423
2. https://th.wikipedia.org/wiki/ธาตุกัมมันตรังสี
3. https://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=3029
4. https://www2.egat.co.th/ned/index.php?option=com_content&view=article&id=164&Itemid=172
5. https://nakhamwit.ac.th/pingpong_web/m&c_web/Content_10.html
6. https://www.nppdo.go.th/about_us
7. https://nukenames.com/index.asp
8.https://www.moph.go.th/ops/iprg/include/admin_hotnew/show_hotnew.php?idHot_new=37694
9.https://www.cbsnews.com/8301-503543_162-20042753-503543.html
ที่มา : https://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=3589