แนวพระราชดำริในการดำเนินชีวิตแบบพอเพียง
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับคณิตศาสตร์
การดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริพอเพียง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเข้าใจถึงสภาพสังคมไทย ดังนั้น เมื่อได้พระราชทานแนวพระราชดำริ หรือพระบรมราโชวาทในด้านต่างๆ จะทรงคำนึงถึงวิถีชีวิต สภาพสังคมของประชาชนด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางความคิด ที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในทางปฏิบัติได้
แนวพระราชดำริในการดำเนินชีวิตแบบพอเพียง
๑. ยึดความประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่ายในทุกด้าน ลดละความฟุ่มเฟือยในการใช้ชีวิต
๒. ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้อง ซื่อสัตย์สุจริต
๓. ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์และแข่งขันกันในทางการค้าแบบต่อสู้กันอย่างรุนแรง
๔. ไม่หยุดนิ่งที่จะหาทางให้ชีวิตหลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ด้วยการขวนขวายใฝ่หาความรู้ให้มีรายได้เพิ่มพูนขึ้น จนถึงขั้นพอเพียงเป็นเป้าหมายสำคัญ
๕. ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดี ลดละสิ่งชั่ว ประพฤติตนตามหลักศาสนา
ความสำคัญของทฤษฎีใหม่
๑. มีการบริหารและจัดแบ่งที่ดินแปลงเล็กออกเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน เพื่อประโยชน์สูงสุดของเกษตรกร ซึ่งไม่เคยมีใครคิดมาก่อน
๒. มีการคำนวณโดยใช้หลักวิชาการเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่จะกักเก็บให้พอเพียงต่อการเพาะปลูกได้อย่างเหมาะสมตลอดปี
๓. มีการวางแผนที่สมบูรณ์แบบสำหรับเกษตรกรรายย่อย โดยมีถึง ๓ ขั้นตอน
ทฤษฎีใหม่ขั้นต้น
ให้แบ่งพื้นที่ออกเป็น ๔ ส่วน ตามอัตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ ซึ่งหมายถึง
พื้นที่ส่วนที่หนึ่ง ประมาณ ๓๐% ให้ขุดสระเก็บกักน้ำเพื่อใช้เก็บกักน้ำฝนในฤดูฝน และใช้เสริมการปลูกพืชในฤดูแล้ง ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์และพืชน้ำต่างๆ
พื้นที่ส่วนที่สอง ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกข้าวในฤดูฝนเพื่อใช้เป็นอาหารประจำวันสำหรับครอบครัวให้เพียงพอตลอดปี เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและสามารถพึ่งตนเองได้
พื้นที่ส่วนที่สาม ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวัน หากเหลือบริโภคก็นำไปจำหน่าย
พื้นที่ส่วนที่สี่ ประมาณ ๑๐% เป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนหนทาง และโรงเรือนอื่นๆ
ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สอง
เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบัติในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว ก็ต้องเริ่มขั้นที่สอง คือให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูป กลุ่ม หรือ สหกรณ์ ร่วมแรงร่วมใจกันดำเนินการในด้าน
(๑) การผลิต (พันธุ์พืช เตรียมดิน ชลประทาน ฯลฯ)
- เกษตรกรจะต้องร่วมมือในการผลิต โดยเริ่ม ตั้งแต่ขั้นเตรียมดิน การหาพันธุ์พืช ปุ๋ย การจัดหาน้ำ และอื่นๆ เพื่อการเพาะปลูก
(๒) การตลาด (ลานตากข้าว ยุ้ง เครื่องสีข้าว การจำหน่ายผลผลิต)
- เมื่อมีผลผลิตแล้ว จะต้องเตรียมการต่างๆ เพื่อการขายผลผลิตให้ได้ประโยชน์สูงสุด เช่น การเตรียมลานตากข้าวร่วมกัน การจัดหายุ้งรวบรวมข้าว เตรียมหาเครื่องสีข้าว ตลอดจนการรวมกันขายผลผลิตให้ได้ราคาดีและลดค่าใช้จ่ายลงด้วย
(๓) การเป็นอยู่ (กะปิ น้ำปลา อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ)
- ในขณะเดียวกันเกษตรกรต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีพอสมควร โดยมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต เช่น อาหารการกินต่างๆ กะปิ น้ำปลา เสื้อผ้า ที่พอเพียง
(๔) สวัสดิการ (สาธารณสุข เงินกู้)
- แต่ละชุมชนควรมีสวัสดิภาพและบริการที่จำเป็น เช่น มีสถานีอนามัยเมื่อยามป่วยไข้ หรือมีกองทุนไว้กู้ยืมเพื่อประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน
(๕) การศึกษา (โรงเรียน ทุนการศึกษา)
- ชุมชนควรมีบทบาทในการส่งเสริมการศึกษา เช่น มีกองทุนเพื่อการศึกษาเล่าเรียนให้แก่เยาวชนของชมชนเอง
(๖) สังคมและศาสนา
- ชุมชนควรเป็นที่รวมในการพัฒนาสังคมและจิตใจ โดยมีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยว
โดยกิจกรรมทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าส่วนราชการ องค์กรเอกชน ตลอดจนสมาชิกในชุมชนนั้นเป็นสำคัญ
ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สาม
เมื่อดำเนินการผ่านพ้นขั้นที่สองแล้ว เกษตรกร หรือกลุ่มเกษตรกรก็ควรพัฒนาก้าวหน้าไปสู่ขั้นที่สามต่อไป คือติดต่อประสานงาน เพื่อจัดหาทุน หรือแหล่งเงิน เช่น ธนาคาร หรือบริษัท ห้างร้านเอกชน มาช่วยในการลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวิต
ทั้งนี้ ทั้งฝ่ายเกษตรกรและฝ่ายธนาคาร หรือบริษัทเอกชนจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน กล่าวคือ
- เกษตรกรขายข้าวได้ราคาสูง (ไม่ถูกกดราคา)
- ธนาคารหรือบริษัทเอกชนสามารถซื้อข้าวบริโภคในราคาต่ำ (ซื้อข้าวเปลือกตรงจากเกษตรกรและมาสีเอง)
- เกษตรกรซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคได้ในราคาต่ำ เพราะรวมกันซื้อเป็นจำนวนมาก (เป็นร้านสหกรณ์ราคาขายส่ง)
- ธนาคารหรือบริษัทเอกชน จะสามารถกระจายบุคลากร เพื่อไปดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ ให้เกิดผลดี
ที่มาของข้อมูลและภาพ https://www.chaipat.or.th/chaipat/content/
ปรัซญาเศราฐกิจพอเพียง เป็นแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชที่พระราชทานแก่ประชาชน ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจที่ใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเลี้ยงสังคมนั้นๆ "ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยต่างๆ ที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของ
เนื้อหา คณิตศาสตร์ การคำนวณหาพื้นที่ตามอัตราส่วน การทำแผนภูมิรูปวงกลม การคิดวิเคราะห์ และเขียนสื่อความ ร้อยละ
บูรณาการ สังคมศึกษา โครงงานคุณธรรม ความพอประมาณ การประหยัด ความพอดี การประกอบอาชีพ
การงานอาชีพ ฯ การประกอบอาชีพ ทำนา ทำสวน ค้าขาย ฯ
กรณีศึกษาเศรษฐกิจพอเพียง ที่ใช้บริหาร จัดการที่ดินและนำเพื่อการเกษตรตามแนว การเกษตรทฤษฏีใหม่
1 การบริหารจัดการที่ดินและนำเพื่อการเกษตรตามแนว การเกษตรทฤษฏีใหม่ มีอย่างไร
พื้นที่ปลูกข้าว 30 % พื้นที่ปลูกพืชผักผลไม้ 30 %
พื้นที่เป็นแหล่งน้ำ 30 % พื้นที่เป็นที่อยู่อาศัยและเลี้ยงสัตว์ 10 %
2 ตามแนว การเกษตรทฤษฏีใหม่ หากเรามีที่ดิน 40 ไร่ เราจะแบ่งที่ดินสำหรับปลูกข้าว ปลูกพืชผักผลไม้ เป็นแหล่งนำ เป็นที่อยู่อาศัยและเลี้ยงสัตว์ เป็นพื้นที่อย่างละกี่ไร่
ทักษะการคิด
- พื้นที่ 100 ไร่ เป็นพื้นที่ปลูกข้าว 30 ไร่
พื้นที่ 1 ไร่ เป็นพื้นที่ปลูกข้าว 30 ÷ 100
พื้นที่ 40 ไร่ ไร่ เป็นพื้นที่ปลุฏข้าว
30 ÷ 100 × 40 = 12 ไร่
พื้นที่ปลูกข้าว 12 ไร่
การหาพื้นที่พืชผักผลไม้ คิดเช่นเดียวกัน
พื้นที่ปลูกผักผลไม้ 30 ÷ 100 × 40 = 12 ไร่
การหาพื้นที่แหล่งนำ คิดเช่นเดียวกัน
พื้นที่แหล่งน้ำ 30 ÷ 100 × 40 = 12 ไร่
การหาพื้นที่ที่อยู่อาศัยและเลี้ยงสัตว์
พื้นที่ที่อยู่อาศัยและเลี้ยงสัตว์ 10 ÷ 100 × 40 = 4 ไร่
รวมพื้นที่ทั้งหมด ปลูกข้าว 12 ไร่ พื้นที่ปลูกผักผลไม้ 12 ไร่
พื้นที่แหล่งน้ำ 12 ไร่ และพื้นที่ที่อยู่อาศัยและเลี้ยงสัตว์ 4 ไร่
รวมพื้นที่ทั้งหมด 12 + 12 + 12 + 4 = 40 ไร่
ข้อเสนอแนะ
ฉะนั้นในการทำเกษตรตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ไม่จำเป็นต้องเป็นกฏตายตัวพอประมาณ ถ้าบริหารจัดการที่ดินตามนี้เป็นการดี และใครมีที่ดินเท่าใดก็สามารถทำได้
ประเด็นคำถาม
1 ลุงดำทำการเกษตรตามแนว การเกษตรทฤษฏีใหม่ หากลุงดำปลูกข้าว 21 ไร่ อยากทราบว่า ลุงดำ มีที่ดินทั้งหมดกี่ไร่ และพื้นที่ที่เหลือใช้ทำอะไร อย่างละกี่ไร่
ผู้จัดทำ นางบุญส่ง ใหญ่โต ครูชำนาญการพิเศษโรงเรียนอนุบาลสรรคบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชัยนาท
ที่มา : https://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=1575